ตอนที่ 461 ยุ้งข้าวเต็มเปี่ยมจึงรู้จักมารยาท
ณ ค่ายทหารรักษาพระองค์แห่งวังหลวง กระโจมแม่ทัพ
ฮั่วหวยจิ่นจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง กลืนน้ำลายหนึ่งอึก และกล่าวออกมาว่า “เจ้าจริงจังหรือไม่ ? ”
“อากาศหนาวถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าข้าถูกภรรยาไล่ออกมาและมาหาเจ้าที่นี่เพื่อฆ่าอารมณ์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่ นั่น 30,000 คนเชียวนะ 1 กระโจมของกองทัพอยู่ได้ 30 คน ก็แน่นขนัดแล้ว ให้อยู่ 40 คนนั่นย่ำแย่เป็นอย่างมาก แล้วยังต้องการมากถึง 800 กระโจม เจ้าทำเยี่ยงนี้ คลังของข้าก็ว่างเปล่ากันพอดีน่ะสิ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “กล่าวเยี่ยงนี้แสดงว่ามีพอใช่หรือไม่ เยี่ยงนั้นก็ดี ข้ามิสนว่าคลังของเจ้าจะว่างเปล่าหรือไม่ วันรุ่งขึ้น ตั้งแต่เช้าตรู่ รบกวนให้เจ้าส่งคนนำกระโจมเหล่านี้ไปส่งที่เรือนหนานซานด้วย ตั้งไว้ที่ริมแม่น้ำมิต้องข้ามฝั่งไป”
ฮั่วหวยจิ่นยังจะสามารถทำอันใดได้อีกกัน ?
เขาย่อมไร้หนทางปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าด้วยความคับแค้นใจ “เจ้าได้ทำให้ตนเองกลายเป็นผู้กอบกู้ใต้หล้านี้อย่างแท้จริงไปแล้ว วันเวลาที่ข้าอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงน้อยกว่าเจ้ามากนัก แต่หากจะกล่าวถึงความเข้าใจของเมืองหลวงนี้ เจ้ากลับสู้ข้ามิได้เลยแม้แต่น้อย”
เขาเติมชาให้กับฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวไปด้วยความปลงตกว่า “ที่ตรงนั้นข้าเข้าใจเป็นอย่างดี เป็นสถานที่ที่วุ่นวายอย่างแท้จริง เจ้าลองคิดดูเถิด แม้แต่หอชิงเฟิงซี่หยู่ขององค์ชายห้าก็ยังมิไปตั้งสาขาที่นั่นเลย เพียงแค่คิดก็รู้ได้แล้วว่าสถานที่ตรงนั้นมันเหลือทนถึงเพียงใด
ผู้คนในสถานที่แห่งนั้นมาจากทั่วสารทิศ แต่ละคนต่างก็มีอาณาเขตของตนเอง พวกเขาต่อสู้เพื่อเลี้ยงปากท้อง เหมือนกับเพื่อหมั่นโถวลูกเดียวนั่น ทะเลาะต่อยตีกันเป็นเรื่องปกติ การสังหารคนมิใช่เรื่องแปลก เจ้าเห็นว่าเมื่อคืนวานท่านหนิงมีท่าทีประหลาดใจหรือไม่เล่า เขาเห็นจนชินแล้ว ดังนั้นถึงแม้ข้าจะชื่นชมการกระทำนี้ของเจ้า แต่ผู้คนเหล่านั้น เกรงว่ายากที่จะควบคุมอย่างแท้จริง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และยกชาขึ้นดื่มไปอีกหนึ่งอึก “ผู้คนเหล่านี้ บาปดั้งเดิมของพวกเขาคือความจน”
“ตำรา ‘ก๋วนจื่อ ชายเลี้ยงสัตว์’ กล่าวว่า ยุ้งข้าวเต็มเปี่ยมจึงรู้จักมารยาท ทราบถึงการมีเกียรติเมื่ออาหารและอาภรณ์เพียงพอ ความหมายก็คือผู้คนมีแต่ต้องเติมยุ้งฉางให้เต็ม ในสถานการณ์ที่มิต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ จึงจะให้ความสำคัญกับมารยาท จึงจะตระหนักได้ถึงการมีเกียรติ
เจ้าลองไตร่ตรองดูว่า เหตุใดเด็กชายผู้นั้นจึงต้องไปขโมยหมั่นโถว เพราะพวกเขามิมีเสบียงแล้ว เหตุใดพอถูกจับได้แล้วเขาถึงยังมิยอมปล่อยวางจากหมั่นโถวลูกนั้น เพราะเขาทราบว่าหากมิมีหมั่วโถวลูกนี้ เขาคงมิสามารถใช้ชีวิตผ่านคืนนี้ไปได้อย่างแน่นอน แต่มิว่าทางใดต่างก็คือความตาย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะคว้าโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเอาไว้ โดยคิดว่าท้ายที่สุดเจ้าของร้านผู้นั้นจะปล่อยเขาไป”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ “นี่คือตัวอย่าง แต่ก็เป็นการยกตัวอย่างที่สามารถทำให้มองเห็นภาพรวมได้ ก็เหมือนกันกับที่เจ้ากล่าวออกมาเมื่อครู่ เหตุใดสลัมจึงวุ่นวาย นั่นก็เพราะพวกเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ มิมีผู้ใดคิดอยากจะตาย นี่คือสัจธรรมของมนุษย์ ในสถานการณ์ที่ยากจะรักษาตนเองเอาไว้ได้ มิว่าเวลาใดเขาก็ต้องทำการเลือกหนทาง นั่นก็เพื่อให้ตนเองหรือคนของตนเองยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ต่อให้ต้องถือดาบเพื่อสังหารคน พวกเขาก็ต้องทำเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วอย่างแท้จริง”
“พวกเขาต้องการสังหารคนจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“บางทีอาจจะมีคนที่เลวมาตั้งแต่กำเนิดเลยก็เป็นได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นจำนวนที่น้อยมากยิ่งนัก ผู้คนส่วนใหญ่ในใต้หล้านี้ หากยุ้งข้าวเต็มเปี่ยม เสบียงเพียงพอ ก็จะมิมีผู้ใดที่คิดจะเข่นฆ่ากันแล้ว และจะมิมีคนที่คิดจะก่อกบฏด้วยเช่นกัน”
เป็นคราแรกที่ฮั่วหวยจิ่นได้ฟังหลักการที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้
เขาคือบุตรของกษัตริย์แห่งเจิ้นซี เขาเกิดมาสูงศักดิ์ ในความคิดของเขา เขาไม่เคยเห็นความเป็นความตายของชาวบ้านในสลัมอยู่ในสายตามาก่อน
นี่มิใช่ความคิดของเขาแต่เพียงผู้เดียว แม้แต่หนิงหยู่ชุนก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเรื่องนโยบายของสลัม ในอดีตจวนผู้ว่าเขตจินหลิงก็ได้ใช้กำลังปราบปรามมาโดยตลอด
ส่วนผู้ตายนั้น… ชีวิตของพวกเขาช่างไร้ค่าอย่างแท้จริง !
ดังนั้นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งเต้นมาที่นี่เพื่อขอยืมกระโจมสำหรับฮั่วหวยจิ่นนั้น เขาทำเพื่อแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของชาวบ้านในสลัมเหล่านั้น ในสายตาของเขาฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงคนที่สมองมีปัญหาก็เท่านั้น
นี่มิใช่ความผิดของเขาหรือหนิงหยู่ชุน นี่คือปัญหาที่มีอยู่ทั่วไป
ชนชั้นวรรณะมีมาเนิ่นนานแล้ว ผู้คนถูกแบ่งออกเป็นสาม หก เก้าและอื่น ๆ ได้หยั่งรากลึกมาเนิ่นนานแล้ว
คำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวน กลับทำให้ฮั่วหวยจิ่นได้ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
จนถึงบัดนี้ เขาเพิ่งได้เข้าใจว่าหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าทำลายกงเซินจ่างที่ผิงหลิงไปแล้ว เหตุใดจึงต้องรีบดำเนินการก่อสร้างที่ผิงหลิงและชวูอี้…
หากมิมอบหนทางมีชีวิตอยู่ต่อให้แก่พวกเขาเหล่านั้น น่ากลัวว่าพวกเขาจะขึ้นไปเป็นโจรบนภูเขากันอีก !
การลงมือของฟู่เสี่ยวกวนได้แก้ไขความยากลำบากในการดำรงชีวิตของเหล่าชาวบ้าน ความกังวลในการเอาชีวิตรอด รวมไปถึงการกำจัดความคิดที่จะกลับไปเป็นโจรของพวกเขาอีกครา เพราะพวกเขาอาศัยกำลังของตนเอง เพื่อให้ได้รับเงินที่เพียงพอต่อการดำรงชีพแล้ว
บางทีนี่อาจจะยังมิเพียงพอที่จะกล่าวว่ามีเสื้อผ้าอาภรณ์และอาหารเต็มยุ้งฉาง แต่อย่างน้อยก็ไร้กังวลกับปัจจุบัน อีกทั้งยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่
หลังจากที่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาก็ได้ลงมืออย่างเร่งด่วน เพื่อมอบหนทางมีชีวิตรอดให้กับชาวบ้านที่สลัมเหล่านั้นเช่นกัน
คนผู้นี้ ฮั่วหวยจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กำหมัดและคำนับ “หากฟ้ามิส่งฟู่เสี่ยวกวนลงมาเกิด ค่ำคืนที่มืดมิดคงยาวนานนับพันปี ! ข้าชื่นชมเจ้าอย่างแท้จริง ไป ไปดื่มสุรากัน ! ”
“บัดซบ ! อากาศหนาวถึงเพียงนี้ เอาสุรามาดื่มที่นี่จะดีกว่าหรือไม่ ? ”
ฮั่วหวยจิ่นจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอยากให้ข้าต้องม้วนเสื่อไสหัวไปในวันพรุ่งนี้เยี่ยงนั้นหรือ… นี่คือค่ายทหาร หากมีกลิ่นของสุราลอยไปแตะจมูกของฝ่าบาทเข้า เกรงว่าข้าจะต้องไปแก้ตัวที่ราชสำนัก ณ พระราชวังจินเตี้ยนในวันพรุ่งนี้เป็นแน่ ! ”
เขาลืมมันไปเสียแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า ลุกขึ้นยืนและปัดสะโพก แล้วกล่าวกับซูซูว่า “ไป ซูซู พวกเราไปดื่มสุรากันเถอะ ! ”
“อือ”
เขารู้สึกเสมอมาว่าซูซูแปลกไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็บอกมิได้เช่นกันว่าแปลกที่ตรงไหน เขาพลางคิดไปว่าซูซูอายุครบ 15 ปีแล้ว เกรงว่าคงจะมีวันที่ผิดปกติสักสองสามวันของทุกเดือน แต่เขาก็ยังคงมิค่อยสบายใจเท่าใดนัก ออกไปจากค่ายทหาร แล้วเดินขึ้นรถม้า ฮั่วหวยจิ่นยังคงขี่ม้าตัวใหญ่ของเขา และทั้งสามก็ได้ตรงไปยังหอซื่อฟาง
…..
…..
ในช่วงเวลาที่ประตูเมืองใกล้จะปิดลงคณะทูตจากแคว้นอี๋ก็ได้เร่งรีบเข้าไปในเมืองจินหลิง
สีหน้าขององค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อมืดครึ้มยิ่งกว่าท้องนภาบัดนี้เสียอีก !
อำนาจของแคว้นใหญ่เล่า ?
พิธีการของแคว้นแนวหน้าเล่า ?
แหล่งต้นกำเนิดของคำสอนศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าโยนคำสอนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นลงไปในท้องสุนัขแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
คาดมิถึงว่าจะมิมีขุนนางมาต้อนรับพวกเขาแม้แต่คนเดียว จนถึงขั้นเมื่อครู่หากช้าไปเพียงชั่วอึดใจเดียว ผู้คนนับร้อยกว่าคนของตนนั้น คงได้ถูกขังเอาไว้ที่ด้านนอกเมืองเป็นแน่
มารดามันเถอะ ! เดิมทีคิดว่าเย็นนี้จะได้อยู่พร้อมหน้ากับขุนนางระดับสูงของราชวงศ์หยู กินดื่มอย่างสุขสันต์ หลังจากนั้นก็มีเตียงอันอบอุ่นให้นอน
หลังจากที่กินและดื่ม เพื่อสะสมพลังอยู่หลายวัน ก็จะเริ่มหาโอกาสประจบสอพลอราชวงศ์หยู และราชทูตผู้มาเจรจาสันติ จากนั้นก็มอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่ราชทูตผู้นั้น ได้ยินมาว่าขุนนางของราชวงศ์หยูชอบสิ่งนี้ยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น แคว้นอี๋แทบจะมิได้เสียผลประโยชน์อันใดเลย
แต่บัดนี้เล่า ?
คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นทูตเจรจาสันติ เห็นได้ชัดว่าเขาเพิกเฉยคณะทูตจากแคว้นอี๋ อีกทั้งยังแสดงอำนาจต่อข้าอีกด้วย !
ในวันที่อากาศหนาวและมีหิมะตกเยี่ยงนี้ จะทำเยี่ยงไรต่อไปดี ?
การเคลื่อนไหวของฟู่เสี่ยวกวน ทำให้เยียนเหลียงเจ๋อหัวหมุนไปหมดแล้ว เขามิเคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้
“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าการเดินทางมาครานี้จะมีตัวแปรอยู่มากมาย แต่ในตอนนี้พวกเราควรจะหาที่พักก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เปียนมู่หยูได้แสดงความคิดเห็นของตนเองออกไป
ตอนนี้เขาได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ มิใช่ผู้ที่จะต่อกรด้วยได้อย่างง่ายดาย เป็นเรื่องที่มิดียิ่ง เกรงว่าแคว้นอี๋จะต้องประสบกับความสูญเสียคราใหญ่เสียแล้ว จะต้องหาหนทางทำความเข้าใจแผนการของฟู่เสี่ยวกวนให้ชัดเจนเสียก่อน !