ตอนที่ 462 พบกันโดยบังเอิญ
คณะทูตจากแคว้นอี๋ได้หาที่พักบริเวณใกล้ ๆ กับเขตเมือง ในที่สุดพวกเขาก็ได้พักผ่อนเสียที
เยียนเหลียงเจ๋อหารือกับเปียนมู่หยูว่าเรื่องนี้จะต้องหาทางออกให้จงได้ พวกเขาจะต้องหาจุดอ่อนของฟู่เสี่ยวกวนให้พบ มิมีมนุษย์คนใดไร้ข้อบกพร่อง ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เทพเจ้า เขาจะต้องมีความหลงใหลในบางสิ่งอย่างแน่นอน
เพียงแค่รู้ว่าเขาชื่นชอบอะไร ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ทำให้เขารู้สึกพอใจได้ ต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้แคว้นอี๋เสียผลประโยชน์ระหว่างการเจรจาน้อยที่สุด จึงจะเป็นเรื่องที่ดี
เยียนเหลียงเจ๋อล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับรางวัลจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูที่จะประทานให้ ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขาจะยอมรับและชดเชยในบางส่วนให้อีกด้วย
ส่วนเรื่องจำนวนเงินที่จะชดเชยนั้น ต้องดูก่อนว่าจะสามารถเติมเต็มความต้องการของฟู่เสี่ยวกวนได้หรือไม่
“พาหรงเอ๋อร์และท่านแม่ทัพหลานไปด้วย ส่วนคนที่เหลือกินข้าวรออยู่ที่นี่”
“องค์ชายจะทรงไปที่ใดกัน ? ”
“ในเมื่อมาแล้ว พวกเราจะต้องหาวิธีให้จงได้ บัดนี้กินข้าวกินปลากันก่อนเถอะ หลายวันมานี้มิได้แม้แต่จะกินข้าวให้อิ่มหนำ พวกเราทั้งสี่คนจะไปที่หอซื่อฟางกัน”
เยียนเหลียงเจ๋อและอีก 3 คนเดินทางออกจากโรงเตี๊ยม พวกเขาเรียกรถม้ามา 2 คันจากนั้นก็ตรงไปยังหอซื่อฟางทันที
ในขณะเดียวกัน ฟู่เสี่ยวกวนและฮั่วหวยจิ่นได้เดินทางไปเชิญหนิงหยู่ชุน จึงได้รู้ว่าฉินโม่เหวินกลับมาแล้ว ดังนั้นทั้งสามคนจึงได้เดินทางทางไปยังจวนฉินพร้อมกัน แต่กลับมิพบฉินโม่เหวิน เจ้าหมอนี่หนีไปอยู่ที่จวนของฉินปิ่งจงเป็นแน่
ดังนั้นพวกเขาจึงได้หันรถม้ากลับไปยังจวนของฉินปิ่งจง หลังจากได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันพอควรแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเคยสัญญากับฉินปิ่งจงว่าจะนำตำราหลี่เสวียของสิงเหวินโจวกลับมาให้กับเขา
“ตำรานั้นข้าเคยได้อ่านแล้ว ยังคงจำได้ขึ้นใจ สองสามวันนี้ข้าจะคัดลอกออกมาแล้วจะนำมามอบให้กับท่านพี่ในภายหลัง ! ”
เมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้ว ฉินปิ่งจงจึงมิได้รั้งฟู่เสี่ยวกวนไว้ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ จึงได้ออกเดินทางอีกคราเพื่อไปยังหอซื่อฟาง
เมื่ออยู่ในรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนพิจารณามองดูฉินโม่เหวินอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งฉินโม่เหวินกล่าวขึ้นว่า “มีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้ามิรู้จักข้าหรือเยี่ยงไรกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วตอบกลับไปว่า “มิได้เจอตั้ง 1 ปี เจ้ายังคงหล่อเหลาตามเคย คาดว่าเจ้าจะมีชีวิตรื่นรมย์ดีที่ซูเฉิน ! ”
“รื่นรมย์บ้าบออันใดกัน ! ” ฉินโม่เหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยออกมาว่า “ข้าเพิ่งจะคุ้นเคยกับเจียงเป่ยได้มินาน ก็ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้กลับมารับตำแหน่ง วันนี้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาททรงจะให้ข้าไปยังกวนซีเต้า…ที่แห่งนั้นช่างไกลมากยิ่งนัก วันนี้ข้าได้ทำความเข้าใจมาว่าเฟิงโจว หยินโจวและเซี่ยโจวที่อยู่ภายใต้การปกครองนั้นยากจนข้นแค้นเสียจนไร้ซึ่งคำบรรยาย ! ”
ฉินโม่เหวินหยุดไปชั่วครู่ “เดิมทีข้าคิดว่าหากเจ้าได้เป็นหัวหน้ากรมการค้าอะไรนั่นแล้ว ข้าจะได้เข้าไปอยู่ในกรมของเจ้าด้วย นี่อะไรกัน มิเห็นแม้แต่เงา…เจ้ากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูกแล้วหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็ยุ่งเป็นอย่างมาก ! อยากจะมีสักสามหัวหกขา ข้าว่าเจ้าอย่าได้พล่ามบ่นไปเลยจะดีกว่า นี่นับว่าฝ่าบาททรงประทานรางวัลให้แก่เจ้าแล้ว จากที่ข้ารู้มา ที่กวนซีเต้านั้นในปีหน้าจะมีเขตทดลองทางเศรษฐกิจถึง 2 เขต หากเจ้าทูลขอฝ่าบาท บางทีอาจจะได้เพิ่มขึ้นอีกสักสองสามเขต”
แววตาของฉินโม่เหวินเป็นประกายขึ้นมาทันใด รูปแบบการค้าของเขตเหยานั้นเขาได้เห็นมากับตาของตนเองแล้ว
จากการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมซีซานและนโยบายที่ฝ่าบาททรงลดหย่อนและยกเลิกการเก็บภาษีการค้า ทำให้บัดนี้ที่เขตเหยามิได้มีเพียงอุตสาหกรรมซีซานเท่านั้น
หลินเจียงเป็นพื้นที่ที่แม่น้ำทั้งสองสายมาบรรจบกัน มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เดิมทีก็มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมากอยู่แล้ว พ่อค้าค่อนข้างมีความกล้าหรืออาจจะกล่าวได้ว่าพวกเขาว่องไวต่อโอกาสทางการค้า ในฤดูร้อนปีนี้เขตเหยาได้เพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมถึง 7 แห่งด้วยกัน
จากมุมมองของฉินโม่เหวินแล้ว นี่เพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น
เขาเข้าใจดีว่าเขตทดลองการค้านี้เป็นโอกาสที่ดี เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวดังนั้น เขาจึงรู้สึกดีใจขึ้นมา เขามีแผนการไว้ในหัวแล้วว่า อีกสองสามวันเขาจะไปเข้าเฝ้าทูลขอฝ่าบาทเพิ่มอีกสัก 2 แห่ง
หนิงหยู่ชุนรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันพลัน จึงได้กล่าวออกมาว่า “เจ้านั้นยิ่งเดินยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดูข้าสิ วันหนึ่งมีเรื่องร้องทุกข์เข้ามามากมาย แต่ละวันวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เมื่อใดจึงจะสิ้นสุดลงเสียที ! ”
“เจ้ารีบร้อนอันใดไป ? ทำงานในศาลจินหลิงสามารถผูกสัมพันธกับพวกบู๊บุ๋นได้มากมาย อีกทั้งยังสามารถทำความรู้จักกับราษฎรได้อีกด้วย หากเป็นข้าละก็ ข้ายอมอยู่ที่ศาลจินหลิงดีกว่ายอมไปยังเต้าถาย ที่นั่นมีเรื่องให้ปวดหัวมากนัก เอาล่ะถึงแล้ว ประเดี๋ยวค่อยสนทนากันใหม่ แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้านั้นลำบากถึงเพียงใด ! ”
เมื่อทั้งสี่คนลงจากรถม้า หลงจู๊ก็ได้เดินตรงเข้ามาทักทายต้อนรับ เมื่อพวกเขากำลังจะก้าวเข้าไปด้านใน ก็พบว่ามีรถม้าอีกคันหนึ่งจอดไว้ข้าง ๆ พวกเขา
เยียนเหลียงเจ๋อเพิ่งเดินทางมาถึงเช่นกัน
พวกเขาลงจากรถม้า ทั้งสองฝ่ายต่างก็มองหน้ากันแต่พวกเขามิได้รู้จัก ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปข้างใน ส่วนเยียนเหลียงเจ๋อกล่าวขึ้นมาว่า “ในตอนนั้นที่ข้าเดินทางมาเมืองจินหลิงหอซื่อฟางก็เป็นเช่นนี้ ที่นี่เป็นที่นิยมขึ้นชื่อมากว่าร้อยปีแล้ว ด้านในมีอาหารเลิศรสมากมาย แคว้นอี๋ของเรามิอาจเทียบเคียงได้ ประเดี๋ยวข้าจะให้พวกเจ้าได้ลองชิม”
ขาของฟู่เสี่ยวกวนก้าวเข้าไปด้านในแล้ว แต่เมื่อหูของเขาได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้าว่าแคว้นอี๋ หรือนี่จะเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋กัน ?
ดังนั้นเขาจึงได้หยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับไปมอง แต่เนื่องจากระยะค่อนข้างห่างจึงมองเห็นได้มิชัดเจนเท่าใดนัก เขาจึงตัดสินใจเดินกลับไป
ฮั่วหวยจิ่นและอีกสองคนคิดว่าเป็นคนที่ฟู่เสี่ยวกวนรู้จัก จึงได้ยืนคอยอยู่ที่เดิม พวกเขาเห็นฟู่เสี่ยวกวนทำท่าทางลับ ๆ ล่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นั้น
เยียนเหลียงเจ๋อตกใจขึ้นมาทันพลัน เจ้านี่คือผู้ใดกัน ? เขารู้จักข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
ท่านแม่ทัพหลานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงเข้ามาเช่นนั้น ร่างกายกำยำก็ได้เข้าปกป้องเยียนเหลียงเจ๋อเอาไว้ด้านหลัง
ฟู่เสี่ยวกวนพิจารณามองดูเยียนเหลียงเจ๋อแล้ว อืม ! เจ้าหมอนี่มั่นคงกว่าเยียนหานยวี่มากเสียทีเดียว
เยียนเหลียงเจ๋อเองก็มองดูฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน ชายหนุ่มผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา แต่ในความทรงจำของเขาแล้วเขามิเคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อน เขาต้องการทำสิ่งใดกัน ?
ขณะที่เยียนเหลียงเจ๋อกำลังจะเอ่ยถามออกมา ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หันหลังเดินจากไปทันที
“ประหลาดแท้ ! ” หรงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เยียนเหลียงเจ๋อเอ่ยออกมา
นี่เป็นคราแรกที่ทั้งสองได้พบกัน ณ ด้านหน้าหอซื่อฟางแห่งนี้ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ทั้งสองเพียงสบตากันแต่ก็มิได้เอ่ยอันใดออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม เยียนเหลียงเจ๋อและพรรคพวกนั้นขึ้นไปที่ชั้นสอง
ณ ห้องชั้นสามอันโอ่อ่า หนิงหยู่ชุนได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ผู้ใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “คณะทูตเจรจาจากแคว้นอี๋ องค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อ”
หนิงหยู่ชุนตกตะลึงขึ้นทันพลัน “เหตุใดจึงมิมีคนจากกรมพิธีการหรือหงหลูซื่อติดตามมาด้วยกัน ? มิใช่สิ ! ข้าได้ยินมาว่าการเจรจาในครานี้ เจ้าเป็นผู้นำทูตเจรจา จะเชิญพวกเขามาร่วมดื่มหน่อยหรือไม่ ? ”
นี่คือท่าทีของผู้ชนะที่ควรจะมี ในมุมมองของหนิงหยู่ชุนและคนอื่น ๆ นั้น สงครามครานี้พวกเขาพ่ายแพ้ พวกเขาได้ยอมยกธงขาวขอสันติแล้ว ก็ควรจะไว้หน้าพวกเขาเป็นเรื่องปกติ
แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ชาวราชวงศ์หยูโดยกำเนิด เขามิเห็นดีเห็นงามกับความคิดเช่นนี้ ในเมื่อข้ารบชนะ ต่อจากนี้พวกเจ้าก็ควรจะอยู่เบื้องใต้ ข้าจะไปสนใจพวกเจ้าทำไมกัน ?
จะมัวเสียแรงเสียเวลาไปทำไมกัน ?
หน้าตาของแคว้น สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว มิได้สำคัญไปกว่าเงินทองที่พวกเขาจะต้องชดเชย
“เจ้ามีเงินมากเยี่ยงนั้นหรือ ? จะไปเชิญพวกเขาเนื่องด้วยเหตุใดกัน ? ว่าแต่เจ้า ควรจะให้ทหารยามจับตามองคนกลุ่มนี้ให้ดี หากว่าเกิดเรื่องขึ้นมาจงจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ต่อหน้ากฎหมายนั้น ทุกคนเท่าเทียมกัน ! ”