องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 466 ช่องทางลับตำหนักเฟิ่งอี๋
หนานกงเซวียนเหอหัวเราะขบขันแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ “เพียงเพราะจงชินอย่างพวกข้าเป็นเพียงแค่ของตกแต่งในอาณาจักรต้าเหลียงเท่านั้น หากต้องการเข้าไปอยู่ในสายตาของจวนกั๋วกงนั้นเป็นสิ่งที่ยากราวกับขึ้นสวรรค์
นี่ก็เป็นเพียงเรื่องรองลงมา โดยปกตินั้นจวนกั๋วกงมักปฏิบัติต่อคนนอกเท่าเทียมกันเสมอมา หากเป็นคนดีก็สามารถแต่งงานกับหญิงสาวในจวนกั๋วกงได้
แต่เป็นเพราะครอบครัวของข้าถูกตราหน้าเอาไว้ และไม่สามารถแต่งงานกับฉวนเอ๋อร์ได้
ข้าพยายามแสดงให้เห็นและยกระดับตัวตนของข้า และคิดว่าจะมีสักวันหนึ่งสามารถเข้าไปเป็นขุนนางได้ และได้รับการยอมรับ จากนั้นก็จะแต่งงานกับฉวนเอ๋อร์
เสด็จพ่อกลับบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นที่ทำการกบฏวังหลวง เสด็จพ่อเป็นผู้วางแผนทั้งหมด ต่อให้ไม่คิดอะไรกับเขาแล้วก็คงไม่ยอมอภัยให้ข้าได้!
ข้าไม่เชื่อ และอยากจะลองดู
ก่อนจะจากไปข้าได้เข้าร่วมการสอบขุนนางถึงสองครั้ง ความสามารถทางด้านวรรณกรรมของข้านั้นไม่อาจบอกได้ว่าเป็นที่หนึ่ง แต่ก็เป็นผู้นำในหมู่นักรู้ทุกคน
แต่กลับถูกเสนาบดีฝ่ายกรมขุนนางปัดตกในรอบแรก ไม่เพียงแค่นั้น เสนาบดีฝ่ายกรมขุนนางยังส่งคนมาเตือนที่จวนว่าหากยังมีเรื่องเช่นนี้อีก จะกราบทูลจักรพรรดิและลงโทษจวนท่านอ๋องห้า
ข้ารู้สึกไม่พอใจนักและไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมใดๆ จากนั้นจึงเข้าร่วมการสอบขุนนางในครั้งที่สอง สุดท้ายเสนาบดีฝ่ายกรมขุนนางส่งคนมาจับข้าถึงในจวน และทำการโบยข้าโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า
หนานกงเย่……เจ้าและข้ามาจากรากเหง้าเดียวกัน
ประชาชนภายใต้อาณาจักรเมืองต้าเหลียงมีเจ้าและมีข้า
แต่เจ้ากลับถูกเลี้ยงดูอย่างดีตั้งแต่เล็ก ออกไปข้างนอกก็ได้รับการปรนนิบัติอย่างดี แถมยังไม่เข้าร่วมกองกำลังทหารตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วข้าล่ะ?
ข้าเพียงแค่ต้องการเป็นขุนนางในราชสำนัก แต่กลับถูกโบย!
ตอนนั้นข้าก็ได้รู้ว่า ข้าต้องการมีชีวิตอยู่อย่างสงบและต้องการแต่งงานกับฉวนเอ๋อร์นั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก
ทางเดินเดียวไม่สามารถเดินต่อไปได้ ข้าทำได้เพียงคิดหาวิธีอื่น
หนานกงเย่ เสนาบดีคนหนึ่งมาโบยข้า แล้วเจ้าล่ะ?
ใครกล้าลงโทษโบยเจ้า?
ผลสุดท้ายของการถูกโบยคืออะไรน่ะหรือ?”
หนานกงเซวียนเหอหัวเราะจากนั้นจึงหันไปและปล่อยลูกปัดแก้วลงกับพื้น ลูกปัดแก้วกลิ้งไปบนพื้นออกไปไกล หนานกงเซวียนเหอหันกลับมามองหนานกงเย่ “ข้าไปจากที่นี่ก็ได้ และปล่อยทุกคนในวังหลวง ปล่อยวางราชบัลลังก์ของเมืองต้าเหลียง แต่ข้าต้องการเพียงหนึ่งคน และหลังจากนี้ไปจงชินจะออกไปจากเมืองต้าเหลียง และไม่กลับมาอีก!”
“เจ้าต้องการให้พระชายาตวนเป็นพระชายาของเจ้า!” หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา และมองหนานกงเซวียนเหอด้วยสายตาที่เย็นเฉียบ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกโศกเศร้า ถามผิดคนหรือเปล่า!
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีคนเดินเข้ามาจากด้านหลัง ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับไป ท่านอ๋องตวนได้ถือดาบเดินเข้ามาแล้ว!
ดาบนั้นมีรอยเลือดเป็นหยดๆ ไหลลงมา!
“หนานกงเซวียนเหอ เจ้าต้องการพระชายาของข้า เจ้าได้ถามข้าหรือยัง?” ท่านอ๋องตวนถือดาบเดินเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นจึงค้นพบว่าข้างหลังของท่านอ๋องตวนนั้นมีรอยคราบเลือดเป็นแนวยาว และค้นพบว่าภายนอกท้องพระโรงของพระที่นั่งบำรุงฤทัยนั้นมีคนตายเป็นจำนวนมาก บนพื้นก็มีศพอยู่จำนวนหนึ่ง
จากที่ประเมินด้วยสายตานั้นมีราวๆ หนึ่งร้อยกว่าคน
และนักรบชุดเกราะก็ได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่ววังหลวงไว้ได้แล้ว และท่านอ๋องตวนก็มาพร้อมกับคนเหล่านี้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกชื่นชม ความสามารถของหนานกงเย่นั้นทำให้ผู้คนตกตะลึง ตอนที่พวกเขาพูดกัน คนของเขาได้เข้ามายึดครองอำนาจภายในวังหลวงไว้ทั้งหมดแล้ว
คนเหล่านี้ฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ คนจำนวนมากถูกฆ่าตายลงกับพื้น แต่กลับไม่มีเสียงดังออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว!
เป็นการสังหารที่แยบยลและน่าหวาดกลัวเหลือเกิน!
“เสด็จแม่ทั้งสองต่างปลอดภัยดี เพียงยังไม่พบฉวนเอ๋อร์และจักรพรรดิ พวกเจ้าออกไปกันก่อน ท่านแม่ทัพฉีและทหารของตระกูลอวิ๋นได้บุกเข้ามาแล้ว ข้าจะจัดการเขาด้วยมือข้าเอง”
ดวงตาของท่านอ๋องตวนราวกับเปลวเพลิง และขณะนี้มีลมค่อนข้างแรง ฉีเฟยอวิ๋นหลบไปอยู่ข้างหนานกงเย่และเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเย่ “ท่านอ๋องเพคะ”
“เขาสามารถย้ายเสือออกจากภูเขา ข้าก็สามารถ แต่สำหรับข้าแล้วไม่เรียกว่าเป็นการย้ายเสือออกจากภูเขา แต่เป็นการจับเต่าในไห”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นคาดเดาสถานการณ์ไม่ถูกจึงไม่ได้พูดอะไร
ท่านอ๋องตวนยกดาบขึ้นและชี้ไปที่หนานกงเซวียนเหอ “เจ้าพาฉวนเอ๋อร์ไปไว้ที่ไหน?”
“ความร้ายกาจของท่านอ๋องตวนนั้นข้าได้เห็นแล้ว ที่แท้ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ยังมีคนที่เก่งกาจเช่นนี้ ข้าประมาทมาโดยตลอด ภายในเมืองหลวงนี้ยังมีท่านอ๋องตวน ดูเหมือนว่าข้าจะถูกหลอกเข้าให้แล้ว!”
หนานกงเซวียนเหอหยิบดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง “ข้าได้สั่งให้คนนำตัวฉวนเอ๋อร์ออกไปแล้ว และจะไม่มีวันให้เจ้าหาเจอ และวันนี้เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ต่อให้ทำลายข้าได้ เจ้าก็ไม่มีทางหาฉวนเอ๋อร์เจอ!”
“เช่นนั้นข้าก็จะหั่นเจ้าเป็นแปดชิ้น และสับให้ละเอียด” ท่านอ๋งอตวนยกดาบฟันเข้าไป
หนานกงเซวียนเหอหัวเราะ “ข้าคิดว่ามีเพียงเจ้าคนเดียวที่แอบซ่อนเก่งจริงๆ หรือ? หากไม่ใช่เป็นเพราะข้าอดทนต่อเจ้าในทุกๆ ครั้ง เจ้าก็เป็นวิญญาณที่ตายไปแล้วตั้งนานแล้ว”
ทั้งสองคนลงมือฟันกันในไม่ช้า ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองหนานกงเย่ “ท่านอ๋องเพคะ บริเวณรอบๆ ของที่นี่ยังมีคนของเขา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้าหยิ่งผยองเช่นนี้ จะต้องหาพวกเข้าให้เจอ”
“ข้าไปไม่ได้ อวิ๋นอวิ๋นออกไปก่อน” หนานกงเย่กลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะได้รับอันตราย เขาดึงมือเธอสักพักจากนั้นจึงปล่อยเธอไป เมื่อสักครู่ที่ยิงปืนออกมานั้นยังพอมีโอกาส ตอนนี้ท่านอ๋องตวนและหนานกงเซวียนเหอกอดเกี่ยวเข้าด้วยกัน การยิงปืนออกไปนั้นง่ายที่จะถูกเข้ากับท่านอ๋องตวน หากไม่สามารถยิงปืนได้ก็ต้องคิดหาวิธีอื่น
ผู้คนรอบๆ กำลังรอหาโอกาสลงมือ หนานกงเย่ต้องรีบจัดการคนเหล่านี้เสียก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปบริเวณรอบๆ “ท่านอ๋อง……”
“อืม!”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบเครื่องเคลือบเอกรงค์ขวดเล็กในตัวออกมา หนานกงเย่มองลงไปจากนั้นจึงดม ฉีเฟยอวิ๋นมองเขาด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนักและหยิบยาเม็ดออกมาหนึ่งเม็ดใส่เข้าไปในปากของเขา
หนานกงเย่กลืนยาลงไปจากนั้นจึงโยนขวดยาในมือลงไปบนพื้น ขวดกระทบกับพื้นจนแตก แต่ก๊าซไร้สีไร้กลิ่นเริ่มทำการระเหยออกมา
ท่านอ๋องตวนเริ่มทนไม่ไหวและมีความรู้สึกปวดหัว หนานกงเย่รีบเข้าไปนำตัวของท่านอ๋องตวนออกมา
“ดูแลท่านอ๋องตวนให้ดี”
เมื่อนำท่านอ๋องตวนมาส่งให้กับฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่ก็รีบกลับเข้าไปลากตัวหนานกงเซวียนเหอ หนานกงเซวียนเหอรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย ถอยหลังไปไม่กี่ก้าวและเตรียมจะออกคำสั่ง มือที่ยกขึ้นมาก็ตกลงและไม่มีใครตอบสนองใดๆ คนที่จัดเตรียมไว้บนหลังคาก็ตกลงมา
หนานกงเซวียนเหอถอยหลัง “ช่างชั่วช้าจริงๆ!”
หนานกงเย่ยกดาบขึ้นมาวางบนคอของหนานกงเซวียนเหอ “ชั่วช้านั่นเป็นเจ้าต่างหาก! ข้าก็แค่เอาคืน!”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบยาและป้อนเข้าไปในปากของท่านอ๋องตวน ไม่นานท่านอ๋องตวนก็ไม่เป็นอะไร เมื่อมือและเท้ามีแรงท่านอ๋องตวนก็ต้องการเข้าไปจัดการหนานกงเซวียนเหอ
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เมื่อหยิบดาบขึ้นมา ท่านอ๋องตวนก็ยกขึ้นแล้วฟันเข้าไป ก่อนที่เงาดำจะแวบเข้ามา และมาอยู่ที่หลังของฉีเฟยอวิ๋น
หนานกงเย่หันหลังกลับและเล็งออกมา อีกฝ่ายหลบตัวไว้ได้ทัน หนานกงเย่หันกลับไปมองด้วยสายตาที่ดุร้าย “ปล่อยนางไป?”
เสียงของชายชุดดำถูกสะกด “ปล่อยจงชินอ๋องซะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ข้างๆ และมองไปที่หนานกงเย่ “ท่านอ๋องเพคะ……”
“……” หนานกงเย่บีบคอหนานกงเซวียนเหอเอาไว้ เขาเหวี่ยงหนานกงเซวียนเหอออกไป หนานกงเซวียนเหอนิ่งลง จากนั้นก็มีคนเข้ามาด้วยความเร็วและนำตัวหนานกงเซวียนเหอออกไป
ชายชุดดำผลักฉีเฟยอวิ๋นออก และหันกลับออกไปอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองดูคนที่จากไป และหันกลับไปมองหนานกงเย่
หนานกงเย่เหลือบมองท่านอ๋องตวน “พี่รองไปที่ตำหนักเฉาเฟิ่ง ข้าจะไปตามพระชายาตวน!”
ถึงแม้ว่าท่านอ๋องตวนจะฝืนใจ แต่ชีวิตของอวิ๋นหลัวฉวนอยู่ในมือของอีกฝ่าย เขาไม่สามารถปล่อยวางได้
ท่านอ๋องตวนยกดาบขึ้นมาและรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นเดินกลับมาตรงหน้าของหนานกงเย่ “ในวังหลวงน่าจะควบคุมได้ทั้งหมดแล้ว ดูเหมือนว่าการก่อจลาจลของจงชินอ๋องนั้นไม่ได้สร้างเรื่องราวให้วุ่นวายมากนัก แต่ตอนนี้คนในวังหลวงต่างล้มตายเป็นจำนวนมาก พระชายาตวนก็หายไป เรื่องนี้……”
“ไปหาจักรพรรดิก่อน”
หนานกงเย่หันหลังกลับไปที่ด้านหลังของพระที่นั่งบำรุงฤทัย หลังจากนั้นก็ไปตำหนักเฟิ่งอี๋ ฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่ไปและพลางถามว่า “ดูเหมือนท่านอ๋องจะรู้ว่าจักรพรรดิอยู่ที่ไหน?”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ และไม่เคยได้ยินหนานกงเย่พูดเรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขากลับมีความมั่นใจมาก