บทที่ 467 นารีเป็นเหตุ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ระหว่างทางที่ทั้งสองคนถูกคุมตัวกลับวังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ที่เจอไม่ใช่กองกำลังทหารตระกูลอวิ๋น แต่เป็นท่านแม่ทัพฉี

เมื่อมาถึงตำหนักเฟิ่งอี๋หนานกงเย่ก็ย่างเท้าเดินเข้าไป ตำหนักเฟิ่งอี๋เวลานี้เป็นหน้าที่อารักขาของท่านแม่ทัพฉี เมื่อเห็นหนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋น คนของท่านแม่ทัพฉีก็ได้เดินขึ้นหน้าเข้าไปทำความเคารพ

“ท่านเขย คุณหนู…”

ฉีเฟยอวิ๋นมองออกไป : “ในวังหลวงมีกฎเกณฑ์ ต้องเรียกว่าท่านอ๋องเย่”

“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่!”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ ซึ่งหนานกงเย่ได้กล่าวว่า : “เรียกท่านเขยเถอะ ข้าชอบเช่นนี้มากกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน!”

เมื่อเจอกับท่านแม่ฉี ได้ยินท่านแม่ทัพฉีเรียกเขาว่าท่านเขย สภาพจิตใจของหนานกงเย่ที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัวก็ดีขึ้นไม่น้อย จากนั้นก็กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นตรงเข้าไปในตำหนักเฟิงอี๋

คนที่อยู่นอกตำหนักเฟิงอี๋มีจำนวนมาก แต่ภายในห้องบรรทมของตำหนักเฟิงอี๋กลับไม่มีผู้อื่นมากมายนัก คนที่รออยู่ด้านในรีบเดินเข้ามาแสดงความเคารพหนานกงเย่ทันที : “ท่านอ๋อง เราเจอเส้นทางหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปดูเอง”

หนานกงเย่เดินเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เดินตามเข้าไปด้วยเช่นกัน หนานกงเย่หันกลับมาปล่อยมือ : “เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปดูเอง”

“ท่านอ๋อง ลักษณะคนชุดดำผู้นั้นไม่ได้แตกต่างจากหม่อมฉันมากนัก นางไม่ได้โดนพิษ หม่อมฉันสงสัยว่านางจะเป็นฮองเฮาเพคะ” ระหว่างทางที่มาที่นี่ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดเรื่องนี้ตลอด คนที่ใช้ยาพิษเก่งที่สุดในวังหลวงก็มีแค่ฮองเฮาเท่านั้น ยาพิษของฮองเฮาก็ไม่ได้มีฤทธิ์น้อยแต่อย่างใด

จากคำพูดของหนานกงเซวียนและคนรอบตัวก็น่าจะมีคนใช้พิษได้บ้าง แต่หนานกงเซวียนและคนรอบตัวไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศในวัง

นางเข้ามาในวังไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจพื้นที่ในวังหลวง

ฮองเฮาเชี่ยวชาญพิษตะวันตก เมื่อครู่พิษที่อยู่บนร่างกายของนางถูกคนชุดดำสัมผัสเข้า แต่คนชุดดำยังหนีไปได้ เห็นได้ชัดว่าต้องมีปัญหาเป็นแน่

เรื่องนี้นางรู้ดี เช่นนั้นหนานกงเย่ก็ต้องรู้เป็นแน่

เขารู้ว่าในตำหนักเฟิงอี๋แห่งนี้มีทางลับแห่งหนึ่ง เขายังมีอะไรที่ไม่รู้อีกบ้าง

“อวิ๋นอวิ๋นมีเรื่องในใจมากมาย หากข้าไม่พาอวิ๋นอวิ๋นมายังทางลับในตำหนักเฟิงอี๋ อวิ๋นอวิ๋นจะไม่มีทางเอ่ยความคลางแคลงสงสัยในใจ ใช่หรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นถูกอ่านความคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังแต่อย่างใดอีก : “ใช่เพคะ”

หนานกงเย่ขบขัน : “เจ้ายังตรงไปตรงมาเหมือนเดิมเลยนะ?”

“ท่านอ๋องและหม่อมฉันเป็นสามีภรรยากัน หากสามีภรรยาล้วนไม่ตรงไปตรงมา แล้วยังจะมีสิ่งใดเชื่อใจกันได้ละเพคะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง พวกเขาอยู่ด้วยกันมาเนิ่นนานเช่นนี้ เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องบอกเขาหรอกหรือ?

หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นและลูบอย่างอ่อนโยน : “ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ระหว่างทางที่มาเมื่อครู่ก็ไม่เห็นอวิ๋นอวิ๋นจะกล่าวสิ่งใด?”

“ระหว่างทางมานี้หม่อมฉันยังไม่แน่ใจ มาถึงที่นี่จึงได้มั่นใจ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่พอใจความแคลงใจสงสัยของหนานกงเย่ได้ จึงได้ดึงมือของเขาออกจากมือของตนเอง

หากสามีภรรยากันเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่มีความหมายใด

มือของหนานกงเย่ลื่นออก คาดไม่ถึงว่ามือของฉีเฟยอวิ๋นจะดิ้นหลุดออกจากมือของตน เขาจึงหันไปมองยังฉีเฟยอวิ๋น มือที่ว่างเปล่า จิตใจก็ว่างเปล่าเช่นกัน

รู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นโกรธแล้ว หนานกงเย่จึงยื่นมือออกไปทันที ถือโอกาสขอโทษฉีเฟยอวิ๋น!

“ข้าผิดไปแล้ว!”

มือของฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงไป นางปรายตามองหนานกงเย่แวบหนึ่ง รู้ว่าหนานกงเย่ต้องตามมาหยอกล้อตน ฉีเฟยอวิ๋นจึงแกล้งโกรธเขา

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปกล่าวว่า : “เวลานี้ท่านอ๋องยังมีใจคิดล้อเล่นได้อีก หม่อมฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าท่านอ๋องเป็นคนอย่างไรกันแน่”

“ข้าเป็นคนอย่างไรอวิ๋นอวิ๋นยังไม่รู้ บัดนี้ข้าถูกอวิ๋นอวิ๋นมองทะลุปรุโปร่งทั้งภายนอกและภายในแล้ว หากยังไม่รู้อีก ข้าก็คงหมดปัญญา”

ฉีเฟยอวิ๋นหมดคำพูดลงทันใด ราวกับยังติดค้างเขาอย่างไรอย่างนั้น

ภายใต้การโต้เถียงนี้นางไม่ได้แสดงให้เขาเห็นอย่างชัดเจน คิดผิดจริง ๆ

สิ่งสำคัญ ฉีเฟยอวิ๋นได้เดินตามหนานกงเย่เข้าไปในวังหลวงโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก

เส้นทางลับตรงหน้ามีระยะทางสองลี้ ภายในล้วนเต็มไปด้วยหินที่ถูกสร้างขึ้น สองข้างทางมีโคมไฟ จึงเดินเข้าไปโดยง่าย

ฉีเฟยอวิ๋นสังเกตไปตลอดทาง สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นนานแล้ว แต่เหตุใดถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเฉินอวิ๋นชู

ภูมิประเทศภายในวังตามหลักเหตุผลแล้วนอกจากจักรพรรดิอวี้ตี้แล้วไทเฮาก็ทรงทราบเรื่องนี้ ส่วนเรื่องภายในหนานกงเย่จะรู้ได้อย่างไร?

“อวิ๋นอวิ๋นมีคำถามคลางแคลงใจใช่หรือไม่?” เขาเข้าใจความคิดของฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่จึงได้เอ่ยถาม

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า : “อื้อ”

“สถานที่แห่งนี้?” หนานกงเย่มีใบหน้าอ่อนโยน ระหว่างทางเขาคอยมองนาง ช่วงนี้สภาพจิตใจของฉีเฟยอวิ๋นไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องสำคัญนัก ซึ่งเขาก็มักจะหนีห่างจากฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้!

แต่ที่น่าหงุดหงิดคือ หญิงสาวผู้นี้ล้วนนิ่งสงบไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด ราวกับมีแค่เขาเท่านั้นที่รู้

ชำเลืองมองเพียงแวบเดียว หนานกงเย่ก็รีบอธิบายทันทีว่า : “สถานที่แห่งนี้ข้าเจอตอนที่ข้ายังเด็กมาก ตอนนั้นข้าอายุได้ไม่กี่ขวบเท่านั้น คนที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋คือเสด็จแม่ ข้ามักจะมาเล่นอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋ทุกวัน คนที่หาที่แห่งนี้เจอมีน้อยมาก

ต่อมาฮองเฮาก็เข้ามาอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋ ข้าจึงมาที่นี่น้อยลง

แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของข้าเสมอ หากมีคนเข้ามาข้าต้องรู้เรื่องอย่างแน่นอน”

“ท่านอ๋องเจ้าเล่ห์เสียจริง ตอนที่ยังทรงวัยเยาว์ยังรู้เรื่องภายในลุกเช่นนี้” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทงหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่ได้เจ้าเล่ห์ แค่ไม่อยากทำลายของที่อยู่ภายใน ของที่อยู่ในวังล้วนเป็นของเชื้อพระวงศ์ทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าผู้ใดในวังหลวง นอกจากฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด มีแค่ข้าเท่านั้น

ตอนที่ข้ายังวัยเยาว์ข้ามีความอยากรู้อย่างเห็น เหตุใดที่แห่งนี้ถึงมีทางลับ ข้าจึงวิ่งไปบอกอดีตจักรพรรดิ เมื่ออดีตจักรพรรดิได้ยินดังนั้นก็ให้ข้าจัดการด้วยตนเอง ข้าได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ จึงย่อมมีสิทธิ์ในการปกครองที่แห่งนี้”

“ดังนั้นที่นี่จึงกลายเป็นอำนาจจัดการภายใต้อาณัติของท่านอ๋อง และเป็นตำหนักเฟิ่งอี๋ที่เป็นพำนักของฮองเฮาหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นคิดได้ ในตอนแรกเริ่มนั้นหนานกงเย่เองก็รู้ว่ามีเส้นทางลับแห่งนี้อยู่ภายใน จึงวิ่งไปบอกลักษณะแห่งอดีตจักรพรรดิ ซึ่งอดีตจักรพรรดิมีความหวังดี หากเด็กน้อยผู้หนึ่งสามารถปกปิดความลับนี้ได้ ไม่ยอมบอกใคร ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้ใดคอยปลุกระดม เด็กผู้นั้นจะต้องกลายเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่

เมืองต้าเหลียงจำเป็นต้องมีเด็กเช่นนี้

แต่เด็กผู้นี้เป็นอย่างไรละ?

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ : “ท่านอ๋อง ท่านเคยเสียใจหรือไม่เพคะ?”

“ไม่เคยเสียใจ ข้าไม่เคยเสียใจมาแต่ไหนแต่ไร!” ท่าทางสงบของหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะตะบันหน้าเขาให้รู้แล้วรู้รอด
“เช่นนั้นในตอนที่ท่านอ๋องและหม่อมฉันแต่งงานกัน…”

หนานกงเย่หยุดชะงัก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน : “เหตุใดอวิ๋นอวิ๋นถึงได้เอ่ยเรื่องนี้?”

“ท่านอ๋องพูดเองนี่เพคะ ว่าไม่เคยเสียใจ!” ฉีเฟยอวิ๋นหลุดขำ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปแตะใบหน้าของหนานกงเย่ และพรมจูบเขาอย่างแผ่วเบา : “เช่นนี้ละ?”

ใบหน้าของหนานกงเย่แดงระเรื่อขึ้นมาทันใด : “ข้าจะกลับไปสะสางกับเจ้า!

กล่าวจบก็จูบฉีเฟยอวิ๋นอย่างแผ่วเบาเช่นกัน ก่อนจะผละออกและเดินไป

ฉีเฟยอวิ๋นมองตามหนานกงเย่ไป หูของเขาในตอนนี้แดงเป็นลูกมะเดื่อ ดูท่าทางจะถูกหยอกล้อจนขวยเขินไม่น้อย

หนานกงเย่เป็นอย่างไรฉีเฟยอวิ๋นรู้ดี เขามีหน้าที่ต้องแบกรับเมืองต้าเหลียงมาโดยตลอด ครานี้ถูกบีบให้ต้องสละภาระหน้าที่เขาได้รับการกระตุ้น ย่อมโกรธเกรี้ยวเป็นธรรมดา!

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเข้าไป หนานกงเย่จึงได้กล่าวขึ้นว่า : “ข้ารู้ว่าอวิ๋นอวิ๋นตั้งใจ รอข้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนข้าจะกลับไปจ่ายเงินเดือนให้อย่างงามเลย อวิ๋นอวิ๋นไม่รู้เรื่องรู้ราว เวลานี้ยังกล้าหลอกล่อข้า! ทำลายความคิดของข้า!”

ฉีเฟยอวิ๋นกระตุกยิ้มเล็กน้อย : “นารีเป็นเหตุ ท่านอ๋องต้องระวังนะเพคะ!”

“…..” หนานกงเย่หมุนตัวทันที ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ทันได้ตั้งตัว จนชนเขาอย่างแรง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าที่ดูหล่อเหลามีราศีผู้นั้น กำลังแสดงสีหน้าที่ทั้งโกรธและเกลียดชัง หนานกงเย่กัดฟันกรอด : “ข้าไม่กลัวนารีเป็นเหตุหรอก ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำลายข้า! หึ!”

จากนั้นก็ถลึงตาใส่ฉีเฟยอวิ๋นแวบหนึ่ง หนานกงเย่ดึงตัวฉีเฟยอวิ๋นและเดินไป มุมปากของเขายิ้มอย่างชั่วร้ายแม้แต่สายตาก็ยังโหดเหี้ยม แต่มือที่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้นั้นกลับอ่อนโยนและอบอุ่น

ดุเจ้าตัว ก็ต้องวางอากัปกิริยาบางอย่างลง แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน มีแค่ทางนี้เท่านั้น คือนี้จึงค่อยขึ้นเตียง…..