บทที่ 468 สังหารเฉินอวิ๋นชู

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ฉีเฟยอวิ๋นตลกขบขัน หนานกงเย่หันกลับมาเคาะศีรษะนางด้วยความโกรธ : “อยู่อย่างสงบเถอะ!”

ระหว่างที่กล่าวนั้น สีหน้าของหนานกงเย่ได้เคร่งขรึมลง ยังไม่ทันที่หนานกงเย่จะหมุนตัวกลับไป เบื้องหน้าก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งมาตรงหน้าอกของเขา ฉีเฟยอวิ๋นเอี้ยวตัวไปตรงหน้าของเขาเพื่อขวางลูกธนูดอกนั้น หนานกงเย่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะโอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ และพานางหลบเลี่ยงไปยังทิศทางที่ตรงข้ามกับลูกธนูดอกนั้นอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวคำหนึ่งในระหว่างที่กำลังสับสน : “นี่ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้!”

หนานกงเย่บีบคอคนที่ยิงธนูผู้นั้น จนเกิดเสียงแกรก : “ตายซะ!”

คนชุดดำผู้นั้นคอเอียงไปด้านข้าง มือของหนานกงเย่สะบัดออก ส่วนศพก็ล้มลงไปกองบนพื้น

หนานกงเย่หันไปอุ้มฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งฉีเฟยอวิ๋นในตอนนี้ได้สลบไปแล้ว

เมื่อไม่เห็นผู้ใด หนานกงเย่ได้จับธนูขนนกดอกนั้น จากนั้นก็ลองดึงออกมาสองสามครั้ง

ฉีเฟยอวิ๋นร้องเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวด แต่เจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นแต่อย่างใด มีแต่เลือดไหลรินออกมาจำนวนหนึ่ง

หนานกงเย่มองไปทางธนูในมือ บนธนูขนนกนั้นเต็มไปด้วยหนาม ซึ่งเปื้อนไปด้วยเลือดเนื้อ มือของหนานกงเย่จับไปบนส่วนที่เปื้อนไปด้วยเลือดเนื้อ หนามเหล่านั้นได้ทิ่มแทงฝ่ามือของเขา เลือดสีแดงสดไหลรินออกมาตามฝ่ามือนั้น

คนที่อยู่ด้านหลังผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า : “ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะลึกซึ้งกับนางเช่นนี้ ก็แค่หญิงสาวผู้หนึ่งเท่านั้น เจ้าคงหวั่นไหวจริง ๆ แล้วสิท่า?”

หนานกงเย่วางฉีเฟยอวิ๋นลง จากนั้นก็หันไปมองหนานกงเซวียนเหอที่ยืนอยู่ตรงข้าม

หนานกงเซวียนเหอหมุนตัว : “พวกเขาล้วนอยู่ที่นี่”

หนานกงเซวียนเหอเดินเข้าไป หนานกงเย่มองไปทางฉีเฟยอวิ๋นและเดินตามเข้าไปด้านใน

มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ภายในห้องลับนั้น หนานกงเย่หยุดอยู่หน้าประตู ในมือของเขายังคงถือธนูขนนกดอกนั้นไว้

หนานกงเซวียนเหอนั่งบนเก้าอี้สีทองอร่ามตัวหนึ่ง ที่แห่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นสถานที่ที่พักพิงชั่วคราว ไม่ว่าจะอาหารการกินหรือว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนครบถ้วนสมบูรณ์

ภายในยังมีเสาอีกสองสามต้น พระสนมเอกเซียวและมู่เหมียนล้วนถูกหมัดอยู่บนเสาเหล่านั้น เฉินอวิ๋นชูนั่งอยู่ในชุดคลุมยาวด้านข้าง กำลังเฝ้ามองจักรพรรดิอวี้ตี้ที่กำลังหลับใหล

จักรพรรดิอวี้ตี้นอนหลับตาสนิทอยู่บนเตียงตัวหนึ่ง สีหน้าสดใส ลมหายใจคงที่

หนานกงเย่เข้าไปหาหนานกงเซวียนเหอ : “เจ้าทำร้ายอวิ๋นอวิ๋น ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

หนานกงเซวียนเหอเลิกคิ้วสูง : “เจ้ารู้จักอวิ๋นอวิ๋นของเจ้า เหตุใดถึงมีคนรู้จักฉวนเอ๋อร์ของข้า”

“พระชายาตวนเป็นพี่สะใภ้ของข้า และก็เป็นพระชายาตวนด้วย แม้แต่น้องสะใภ้แห่งเมืองต้าเหลียง เจ้าก็ยังดูหมิ่นได้ถึงเพียงนี้?” หนานกงเย่เดินบีบเข้าไปใกล้ จวินเซียวเซียวได้ตื่นขึ้นมาจากการสลบไสล เมื่อเห็นหนานกงเย่มาหาหนานกงเซวียนเหอก็ยิ่งร้อนใจ

“ท่านอ๋องเย่ ท่านรีบหนีไป!”

หนานกงเย่เดิมทีไม่เข้าใจเหตุผล เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าของหนานกงเซวียนเหอ หนานกงเย่ก็ปักธนูดอกนั้น คนชุดดำที่อยู่ด้านข้างได้พุ่งเข้ามาทำร้ายหนานกงเย่ทันที

บาดแผลของฉีเฟยอวิ๋นฟื้นตัวเร็วยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ สมองของฉีเฟยอวิ๋นเกิดการสับสนไม่น้อย แต่นางก็ยังนึกได้เรื่องหนึ่ง นางรีบฟื้นตัวทันที จากนั้นก็รีบมองหาหนานกงเย่

หนานกงเย่และคนชุดดำกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด เห็นได้ชัดว่าคนชุดดำไม่ใช้คู่ต่อสู้ของหนานกงเย่ เมื่อสู้ไม่ได้ก็ทำการสะบัดแขนเสื้อ ไม่นานก็มีงูตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากแขนเสื้อนั้น หนานกงเย่หลบเลี่ยง คว้าธนูดอกหนึ่ง และกวาดใส่งูตัวนั้นทันที คนชุดดำมองไปทางหนานกงเซวียนเหอแวบหนึ่ง หนานกงเซวียนเหอลุกขึ้น และสั่งให้อีกสองคนเข้าไปต่อสู้กับหนานกงเย่

ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปในห้องลับ เห็นการต่อสู้ตรงหน้าก็ได้ตกตะลึงจนเหงื่อเย็นผุดพราย นางดึงเข็มเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากร่างกาย เตรียมจะเข้าไปช่วยหนานกงเย่

เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น จวินเซียวเซียวก็ผงะไปชั่วขณะ แต่นางไม่ได้ส่งเสียงแต่อย่างใด แค่มองไปทางเฉินอวิ๋นชูที่อยู่ด้านในอย่างระมัดระวัง

จวินเซียวเซียวรู้สึกว่า หนานกงเซวียนเหอไม่น่าจะรับมือได้ยากนัก อีกทั้งเป้าหมายของหนานกงเซวียนเหอเองก็ชัดเจน เขาแค่อยากได้อวิ๋นหลัวฉวน

แต่การรับมือที่ยากที่สุดกลับเป็นเฉินอวิ๋นชู ตั้งแต่ถูกจับตัวมาที่นี่ ฝ่าบาทก็ไม่เคยฟื้นขึ้นมา ยังคงนอนหลับใหลอยู่บนเตียง ส่วนเฉินอวิ๋นชูก็ไม่เคยห่างจากฝ่าบาทแม้แต่วินาทีเดียว

ชีวิตของฝ่าบาทอยู่ในเงื้อมมือของเฉินอวิ๋นชูแล้ว!

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นการเตือนของจวินเซียวเซียว จากนั้นก็มองไปทางคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังต่อสู้อยู่กับหนานกงเย่อีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าหนานกงเย่จะไม่เป็นอะไรจึงเดินอ้อมไปตรงหน้าของเฉินอวิ๋นชู

ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักลง เฉินอวิ๋นชูค่อย ๆ ถอยห่างจากจักรพรรดิอวี้ตี้ จากนั้นก็กันไปมองเฉินอวี้ตี้

“ในที่สุดเจ้าก็มา?” เฉินอวิ๋นชูลุกขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นมองพิจารณาเฉินอวิ๋นชูครู่หนึ่ง กระทั่งพบว่านางมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

แต่เฉินอวิ๋นชูเวลานี้อยู่ในด้วยชุดนอนส่วนตัวสีดำ ซึ่งแต่งกายเหมือนกับคนที่คุมตัวนางมา ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถามว่า : “เจ้าคงจับกุมคนชุดดำของข้าสินะ?”

“ไม่ได้หรืออย่างไร?” เฉินอวิ๋นชูมองไปทางหนานกงเซวียนเหอแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางฉีเฟยอวิ๋นอีกครั้ง แต่ครานี้กลับยิ้มประหลาดและเหยียดหยาม

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่า เฉินอวิ๋นชูนั้นไม่ชอบนาง ดังนั้นจึงไม่สนใจว่านางจะทำสิ่งใด เฉินอวิ๋นชูล้วนไม่ชอบทั้งสิ้น ไม่แปลกที่รอยยิ้มนี้ของเฉินอวิ๋นชู จะมีหลากหลายความหมาย

จึงได้เอ่ยถามไปหนึ่งคำว่า : “เจ้ากำลังรอข้าอยู่ใช่หรือไม่?”

จริง ๆ แล้วฉีเฟยอวิ๋นนั้นแปลกใจอย่างมาก นางไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัด ในฐานะฮองเฮา แม้ว่าจะอิจฉาริษยา อย่างไรก็ต้องอิจฉาริษยาเฉินเซียวเซียวและมู่เหมียนสิ นางเป็นคนอย่างไรกันแน่?

“คนที่ข้ารอก็คือเจ้า หรือว่าพระชายาเย่มองไม่ออกหรือ?” เฉินอวิ๋นชูยิ้มอย่างดูถูกยิ่งกว่าเดิม

“ฮองเฮามีเรื่องใดหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงประหลาดใจต่อไป

“ไหน ๆ ก็มากันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว เช่นนั้นทุกคนก็ต้องใช้ยาจิตสงบ” เฉินอวิ๋นชูหยิบกล่องใบเล็กใบหนึ่งออกมา ภายในนั้นคือยาสีดำจำนวนหนึ่ง เมื่อฉีเฟยอวิ๋นได้ยินก็รู้สึกว่ายาเม็ดนี้ไม่ใช่ยาที่ดีเป็นแน่ เมื่อกินเสร็จจะต้องหลับใหลอย่างแน่นอน

“ของดีเช่นนี้ เก็บไว้ให้ตนเองเถอะเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นจัดการเสื้อผ้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดสด จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าของเฉินอวิ๋นชู

เฉินอวิ๋นชูหยิบกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากด้านหลัง จากนั้นก็วางพาดผ่านไปทางจักรพรรดิอวี้ตี้ : “หากเจ้าไม่กิน ข้าจะสังหารฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”

ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักลง : “หากข้ากินแล้วเจ้าจะปล่อยฝ่าบาทไปใช่หรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นเสนอเงื่อนไข เฉินอวิ๋นชูขบขัน : “เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาต่อรองกับข้า? นี่คือชีวิตเจ้าเช่นนั้นหรือ?”

“ฮองเฮา ท่านกลับตัวตอนนี้ยังทันนะเพคะ ฝ่าบาทล้วนให้อภัยท่านเสมอ เหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้?” ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เหตุใดถึงได้กล่าวเช่นนี้ออกมา อาจจะเพราะเป็นผู้หญิงด้วยกัน และบางครั้งก็สงสารฮองเฮา วางแผนมาครึ่งชีวิต สุดท้ายกลับได้รับสิ่งเหล่านี้ ผู้หญิงคนหนึ่งช่างน่าเศร้าใจนัก!

ฉีเฟยอวิ๋นเศร้าใจเพราะนึกถึงเรื่องนี้ นางเองก็ไม่คิดว่าตนเองจะมีใจห่วงใยผู้อื่น

ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น โต๊ะที่อยู่ด้านข้างถูกกระแทกเข้าอย่างแรง ฉีเฟยอวิ๋นมองแวบหนึ่ง ซึ่งคนที่กระแทกนั้นคือคนชุดดำ

โต๊ะล้มระเนระนาด ในระหว่างที่คนชุดดำคิดจะลุกขึ้นมา หนานกงเย่ก็ยิงธนูไปบนหน้าอกของคนชุดดำ คนชุดดำจึงล้มลงไปกองกับพื้นอย่างไร้ลมหายใจ

หนานกงเย่ไปต่อกรกับหนานกงเซวียนเหอที่เตรียมจะเดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหนานกงเย่เมื่อมั่นใจว่าเขาไม่เป็นไร จึงมองไปทางเฉินอวิ๋นชู

“ที่นี่ไม่มีทางให้หนีแล้ว เจ้านำตัวฝ่าบาทมาข่มขู่ถึงที่นี่ หากข้าปล่อยเขา ถึงอย่างไรการก่อกบฏของจงชินอ๋องก็มีความผิดทางอาญาต้องรับโทษประหารชีวิต เจ้าจะแสวงหาผลประโยชน์กับเขาได้อย่างไร?”

“หุบปาก ข้าไม่อยากฟัง เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะหลงกลคำพวกนี้ง่าย ๆ เจ้าไม่ใช่ข้าแล้วเจ้าจะมาโน้มน้าวให้ข้าวางมีดลงได้อย่างไร”

หากข้าไม่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ทุกอย่างจะกลายเป็นเช่นนี้หรือไม่? เฉินอวิ๋นชูหยิบชาเม็ดหนึ่งให้ฉีเฟยอวิ๋น : “กินสิ”

ฉีเฟยอวิ๋นนำยาเม็ดนั้นโยนออกไปด้านข้าง : “ผู้ใดอยากกินก็กินไปเถอะ ข้าไม่อยากกิน ความปรารถนาที่ดีของฮองเฮา คงยากที่ใครจะยอมเชื่อฟัง!”

ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม : “ในเมื่อเจ้าไม่ยอม เช่นนั้นข้าก็ทำได้แค่ต้องสังหารฝ่าบาท”

เฉินอวิ๋นชูหมุนตัว และฟันดาบออกไป : “ฝ่าบาท ชาติต่อไปหวังว่าเราจะได้เกิดมาพบกันอีก…..”

“เจ้ากล้า?” หนานกงเย่เดินมาตรงหน้าของเฉินอวิ๋นชูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งผลักเฉินอวิ๋นชูออกไป เฉินอวิ๋นชูกระแทกกับกำแพง กระทั่งกระอักเลือดสดออกมา และล้มลงไปกองกับพื้น

ฉีเฟยอวิ๋นยืนอึ้งงัน ในตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมาดาบของหนานกงเย่ก็บีบเข้ามาใกล้เฉินอวิ๋นชู เขาต้องการฆ่าเฉินอวิ๋นชู!