“หยุดพูดจาไร้สาระ! ” หลานเยวี่ยหลีลุกขึ้นพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม
สาวใช้ผู้นั้นคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตกใจ
“ผู้ใดให้เจ้าพูดจาไร้สาระเช่นนี้? หากยังกล้าพูดอีก ข้าจะสั่งโบยเจ้าให้ตาย”
สาวใช้รีบโขกศีรษะราวกับทุบกระเทียม “คุณหนู บ่าวไม่กล้าแล้ว ต่อไปบ่าวไม่กล้าพูดอีกแล้วเจ้าค่ะ! ”
หลานเยวี่ยหลีไม่ได้สอบถามข้อเท็จจริงในเรื่องที่สาวใช้พูด ทั้งยังสั่งให้สาวใช้ปิดปากให้สนิท เห็นได้ว่าข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องของซูอวี้ ไม่ได้มีเพียงสาวใช้ข้างกายของนางเท่านั้นที่ได้ยิน กระทั่งตัวนางเองก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน
เพียงแต่… ในใจลึกๆ ของนางไม่ยอมรับ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ซูอวี้เดินทางกลับมาถึงจวนโยวอ๋อง
หมอเทวดาหวา แม่นมฮวา และพ่อบ้าน ต่างยืนรออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าจวนโยวอ๋อง พวกเขาเดินวนไปวนมาและชะเง้อมองไปยังปากทางที่อยู่ไกลๆ
ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นรถม้าของซูอวี้เลี้ยวเข้ามา จึงรีบออกไปต้อนรับ
“คุณชายน้อยอวี้ เป็นอย่างไรบ้าง? ”
“ได้มาแล้ว! ”
ซูอวี้กระโดดลงจากรถม้าและพูดคุยกับทั้งสามคนเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในเรือนชิงโยว
นับตั้งแต่ซูอวี้เข้ามาในตำหนักฝูอวิ๋น แม่นมฮวากับลวี่หลีก็ถูกกันให้รออยู่ด้านนอกไม่ให้เข้าไป พวกนางทั้งสองทำได้เพียงเฝ้ารออยู่ด้านนอกกับหมอเทวดาหวาและคนอื่นๆ รอผลการรักษาอย่างใจจดใจจ่อ
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดประตูของตำหนักฝูอวิ๋นก็เปิดออก
หมอเทวดาหวา แม่นมฮวา ลวี่หลี พ่อบ้าน และเหล่าองครักษ์ที่คุ้มกันเรือนชิงโยว ต่างมองไปที่ประตูตำหนักฝูอวิ๋นด้วยความสนใจ แต่ละคนตื่นเต้นจนหัวใจแทบตกลงไปที่ตาตุ่ม
ผู้ที่ออกมาเป็นคนแรกคือซูอวี้
“คุณชายน้อยอวี้ เป็นอย่างไร? ”
“ผู้นำอวี้… พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง? ”
“ผู้นำอวี้ ท่านพูดอันใดบ้างสิ! ”
……
ทว่าใบหน้าของซูอวี้กลับเคร่งขรึม เขานิ่งเงียบไม่พูดอันใด ท่าทางเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนวิตกกังวลมากขึ้น
จากนั้นอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านหลังซูอวี้ก็เดินออกมายืนเบื้องหน้าพวกเขา อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังคงมองไม่เห็นท่าทียินดี
บางคนแทบหมดหวัง
ใบหน้าของแม่นมฮวาเศร้าหมอง ความคิดน่ากลัวเริ่มปรากฏในจิตใจ ทว่านางไม่ยอมให้ความกลัวมากดดันตนเอง นางยังคงดึงดันบอกกับตนเองว่าต้องสำเร็จ พระชายาต้องทำได้อย่างแน่นอน! นางจะต้องปลอดภัย
ในที่สุด หมอเทวดาหวาก็กล่าวอย่างเป็นกังวล “หมอหลวงอวิ๋น ผู้นำอวี้ เกิดอันใดขึ้นกันแน่? พวกท่านบอกความจริงมาเถิด! ข้างในเกิดอันใดขึ้น? พวกเราทั้งหมดเป็นกังวลจะตายอยู่แล้ว”
ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปาก เขายกมือปาดหน้าผากตนเองและพูดว่า “ในเวลาหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลาวิกฤติที่ต้องต่อสู้กับท่านยมบาล ข้ากับผู้นำอวี้ต่างเหน็ดเหนื่อยกันมากจนลืมทุกคนไปจริงๆ ขออภัยด้วย ข้าต้องขออภัยทุกท่าน ณ ที่นี้! พวกท่านวางใจได้ โชคดีที่ผู้นำอวี้นำยามาได้ทันเวลา หลังจากที่พระชายาเสวยยา นางก็พ้นขีดอันตราย ไม่เป็นอันใดแล้ว! ”
อวิ๋นจิ่นพูดพลางโค้งคำนับให้ทุกคน
พวกเขาต่างเผยความรู้สึกออกมาให้เห็นทันที มีเพียงแม่นมฮวาที่ตกตะลึงนิ่งอึ้งราวกับรูปปั้นหิน ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด จึงมีท่าทางแข็งทื่อเช่นนี้
“นางหนูลวี่หลี แม่นมฮวา พระชายาพ้นขีดอันตรายแล้ว พวกเจ้าสามารถเข้าไปดูแลได้! ”
ลวี่หลีได้ยินเช่นนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น
แม่นมฮวาตกประหม่าเกินไป นางกังวลเกี่ยวกับซูจิ่นซียิ่งนัก เมื่อครู่จึงตกใจแทบแย่ แม้อวิ๋นจิ่นจะบอกว่าซูจิ่นซีพ้นขีดอันตรายแล้ว ทว่านางยังไม่อาจฟื้นคืนความเข้มแข็งกลับมาได้
แม่นมฮวายิ้มแห้งให้อวิ๋นจิ่น ก่อนจะเดินไปทางตำหนักฝูอวิ๋น ทว่าสองเท้าของนางเหมือนมีตะกั่วหนักพันชั่งถ่วงเอาไว้ ต้องใช้พลังอย่างมากในการก้าวเท้า
นางเดินได้ไม่ถึงสองก้าวก็ล้มลงบนพื้น
“แม่นมฮวา! ”
หมอเทวดาหวาที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบรับตัวแม่นมฮวาไว้ ผู้คนจำนวนมากต่างวิ่งมาห้อมล้อม
หมอเทวดาหวาตรวจชีพจรให้แม่นมฮวา ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ไม่เป็นอันตราย แม่นมฮวาเพียงกังวลใจมากเกินไป ไม่เป็นอันใด เพียงพักผ่อนสักหน่อย กินยาสักหน่อยก็หายดีแล้ว”
“เร็ว มาพยุงแม่นมฮวาเข้าไปพักในเรือน! ”
พ่อบ้านรีบเรียกบ่าวรับใช้สองคนให้มาประคองแม่นมฮวาเข้าไปในเรือน
ทุกคนต่างพากันแยกย้าย อวิ๋นจิ่นเห็นว่าตำหนักฝูอวิ๋นเหลือเพียงลวี่หลีที่ดูแลซูจิ่นซี เกรงว่านางจะยุ่งจนละเลยรายละเอียดบางอย่าง จึงกลับเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น
เวลานี้ที่โถงเรือนชิงโยวเหลือเพียงซูอวี้ผู้เดียวที่ยังยืนอยู่ที่เดิม เขามองไปที่เรือนอวิ๋นไคด้วยแววตาสับสน
ผ่านไปสักพัก ซูอวี้ก็ยกชายเสื้อขึ้นและค่อยๆ เดินขึ้นไปที่บันไดหน้าเรือนอวิ๋นไค
เรือนอวิ๋นไคอยู่ในเขตเรือนชิงโยวซึ่งเป็นของนายหญิงซูจิ่นซี ตามกฎแล้วไม่อนุญาตให้บุรุษอื่นนอกเหนือจากโยวอ๋องเข้าไป ซูอวี้บุกเข้าไปเช่นนี้ เหล่าองครักษ์เงาที่เฝ้าอยู่ในเรือนชิงโยวต้องตรวจพบ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ซูอวี้เดินไปถึงและเตรียมผลักประตูเข้าไปแล้ว กลับไม่มีผู้ใดเข้ามาขัดขวาง
ซูอวี้ยื่นมือออกไปด้วยความลังเล เขาหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงออกแรงผลักประตูเข้าไป
ก่อนที่ซูอวี้จะก้าวเข้าไป ทันใดนั้น เขาก็ถูกคนผู้หนึ่งใช้มือปิดปากไว้ คนผู้นั้นออกแรงดึงแขนของเขาเข้าไปข้างใน
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ประตูของเรือนอวิ๋นไคปิดลงอีกครั้ง
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากองครักษ์เงาของเยี่ยโยวเหยาที่ซ่อนอยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแม้แต่คนเดียว
เมื่อซูอวี้มองเห็นคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ดวงตาทั้งคู่พลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาพยายามดิ้นรนขัดขืน
ร่างนั้นค่อยๆ คลายมือที่ปิดปากซูอวี้ออก ซูอวี้จึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าว น้ำเสียงประหลาดใจพลันดังขึ้น “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว? ”
“เบาเสียงลงหน่อย! ”
จิ้นหนานเฟิงที่ยังจับตัวซูอวี้ไว้ด้านหลัง ตบศีรษะของเขาเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ซูอวี้หันไปมองร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของจิ้นหนานเฟิง และพยายามสงบสติอารมณ์ จากนั้นจึงมองไปยังเยี่ยโยวเหยาที่นอนขมวดคิ้วแน่นอยู่บนเตียง ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด
“ท่านอ๋องกลับมาจากแคว้นไหวเจียงและได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่? เหตุใดจึง… ได้รับบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้? ตอนที่ออกไป ท่านอ๋องพาขุนพลผีไปด้วยไม่ใช่หรือ? ”
บนพื้นเต็มไปด้วยเลือด และร่างกายของเยี่ยโยวเหยาก็เปียกโชกไปด้วยเลือดเช่นกัน ไม่สามารถบอกได้ว่าส่วนใดบาดเจ็บ ส่วนใดไม่บุบสลาย ในฐานะหมอ ซูอวี้พบเห็นผู้คนในลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าผู้ที่ก้าวเข้าสู่ประตูผีไปครึ่งตัวแล้วนั้น สามารถกลับมาจากเมืองไหวเจียงได้อย่างไร
ครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาก็ขยับตัว เขายื่นมือออกมาคว้าถุงผ้าที่เปื้อนเลือดตรงหน้าอกส่งให้ซูอวี้โดยไม่พูดอันใด
ซูอวี้เปิดถุงผ้าดู เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ด้านในชัดเจนก็ตกตะลึง
“ยาสมุนไพรทั้งห้าชนิดของแคว้นไหวเจียงที่จำเป็นต้องใช้ตามเทียบยาของจิ่วหรง… ท่านอ๋องรับปากว่าจะนำกลับมาภายในสามวัน นึกไม่ถึงว่าใช้เวลาเพียงสองวัน… ไม่แปลกใจ… ไม่แปลกใจเลย… ” ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเยี่ยโยวเหยาจึงได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้
จิ้นหนานเฟิงยืนหยัดต่อไปไม่ไหว เขาตบไปที่ไหล่ของซูอวี้อย่างแรง ขณะเดียวกันก็เทน้ำหนักตัวครึ่งหนึ่งกดทับร่างกายบอบบางของซูอวี้
“หนุ่มน้อย ท่านอ๋องกลับมาแล้ว ส่วนเรื่องที่บาดเจ็บ ต้องมีเพียงเจ้าผู้เดียวที่รู้ ไม่เช่นนั้น… ”
จิ้นหนานเฟิงพูดไม่ทันจบก็เผยแววตาดุร้าย เขายกมือข้างหนึ่งวางไว้บนคอตนเองพลางทำท่าปาดคอด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม
ความหมายนั้นชัดเจนยิ่งนัก