เล่มที่ 14 เล่มที่ 14 ตอนที่ 416 ดอกไม้เบ่งบานบนผืนหิมะ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูอวี้พูดด้วยท่าทีเย็นชา “องครักษ์จิ้นวางใจได้ พวกท่านจงใจทิ้งเครื่องหมายเพื่อชักนำให้ข้ามาที่นี่ แสดงว่าท่านอ๋องเชื่อใจข้า ข้าไม่มีทางทรยศท่านอ๋องแน่นอน”

ส่วนเรื่องอื่น เมื่อเยี่ยโยวเหยาไม่พูด ซูอวี้ก็ไม่ถาม

จิ้นหนานเฟิงมองท่าทางของซูอวี้ พลางเผยรอยยิ้มมุมปากด้วยความชื่นชม “หนุ่มน้อย เจ้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก”

ซูอวี้พูดด้วยน้ำเสียงบึ้งตึง “เดิมทีข้าก็โตแล้ว”

จิ้นหนานเฟิงแสดงสีหน้าอับจนหนทาง “พอเถิด อย่าพูดจาไร้สาระอยู่เลย ยาสมุนไพรเหล่านี้เป็นสิ่งที่ข้ากับท่านอ๋องและเหล่าพี่น้องขุนพลผีทั้งหลายได้เสียสละชีวิตปกป้องมาจากแคว้นไหวเจียง เพียงเจ้าสามารถรักษาชีวิตของพระชายาได้ ต่อไปท่านอ๋องต้องปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดีแน่นอน! ”

สูญเสียขุนพลผีไปหลายชีวิต?

แม้ซูอวี้จะไม่เข้าใจเรื่องการทหาร แต่เขารู้ว่าขุนพลผีที่อยู่ภายใต้คำสั่งของโยวอ๋อง เป็นหน่วยทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเหอและใต้หล้า ทั้งยังสามารถรบชนะศัตรูนับร้อย

โยวอ๋องสูญเสียขุนพลผีนับสิบคนที่แคว้นไหวเจียง แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจที่น่าหวาดกลัวของแคว้นไหวเจียง

การศึกของโยวอ๋องยอดเยี่ยมมาก ผู้คนต่างพากันหวาดกลัว ทั้งยังเป็นอันดับต้นของอาณาจักร ในอนาคตผู้คนย่อมจำนนแทบเท้าเขา ทว่าแคว้นไหวเจียงนี้… เกรงว่าคงเอาชนะได้ยาก ทั้งยังเป็นอุปสรรคต่อเส้นทางสู่การเป็นจักรพรรดิของเขา

ซูอวี้จ้องมองเยี่ยโยวเหยา ครุ่นคิดอยู่ในภวังค์โดยไม่รู้สึกตัว

จิ้นหนานเฟิงเห็นซูอวี้ไม่ขยับ จึงตบไปที่ไหล่ของเขาแรงๆ “หนุ่มน้อย ยืนบื้อทำอันใด? ยังไม่รีบนำยาสมุนไพรไปช่วยพระชายาอีก? ”

ซูอวี้ถูกตบที่ไหล่จนแทบคุกเข่าลงบนพื้น ทว่ายังพอมีแรงค้ำยันอยู่บ้าง เขาหันไปชักสีหน้าใส่จิ้นหนานเฟิงอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะนำขวดยาออกมาจากอกเสื้อ

“มียาสมุนไพรในมือแล้ว ไม่จำเป็นต้องร้อนใจให้มาก นอกจากนั้น หลายวันมานี้ข้ากับหมอหลวงอวิ๋นได้ให้ยาสมุนไพรแก่พี่จิ่นซีไปไม่น้อย ร่างกายย่อมมีขีดจำกัด หากทานยามากเกินไปอาจทำให้ตัวยาผสมปนเปกัน มันจะไม่ส่งผลดีต่ออาการบาดเจ็บของนาง ยานี้เก็บไว้ใช้ในวันพรุ่งก็ยังไม่สาย ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาอาการบาดเจ็บของท่านอ๋อง ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ หากช้าไปเพียงเล็กน้อย เกรงว่าจะถึงแก่ชีวิต! ”

จิ้นหนานเฟิงมีท่าทีโกรธเคือง “หากรู้แต่แรกว่าจะใช้ยาสมุนไพรพรุ่งนี้ เหตุใดฝ่าบาทจึงรีบกลับมาอย่างไม่คิดชีวิต? เสี่ยงชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์”

มือของซูอวี้หยุดชะงัก เขามองดูใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาอย่างละเอียด จากนั้นจึงตรวจสอบตำแหน่งบาดแผลบนลำตัวของเยี่ยโยวเหยา

เมื่อตรวจสอบและยืนยันได้ว่าร่างกายของเยี่ยโยวเหยามีบาดแผลถูกแทงรวมกันทั้งหมดสามสิบกว่าแห่ง แผลที่มีเลือดออกยี่สิบกว่าแห่ง สูญเสียเลือดอย่างรุนแรง ทั้งยังมีความผิดปกติภายในร่างกายที่ไม่ทราบสาเหตุอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ยังไม่แน่ชัดว่าได้รับพิษด้วยหรือไม่ มือของซูอวี้พลันหยุดชะงักลงอีกครั้ง

เขามองเยี่ยโยวเหยาที่หลับตาสนิทด้วยความยำเกรงและเคร่งขรึม

เป็นบุรุษเช่นใดกัน?

เยี่ยโยวเหยาเป็นคนเย็นชา ผู้คนในใต้หล้าล้วนไม่อยู่ในสายตาเขา

ทว่าเขากลับมีความรักที่ลึกซึ้งเพื่อคนเพียงคนเดียว

ดูแล้ว การเดินทางไปยังแคว้นไหวเจียงในครั้งนี้ เขาแทบจะใช้ตนเองเป็นเกราะกำบังคมหอกคมดาบ เอาชีวิตเข้าเสี่ยง ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องซูจิ่นซี

ว่ากันว่าผู้ที่ไร้ความรู้สึก จะน่ากลัวที่สุดเมื่อเกิดความรัก

ทว่าก่อนหน้าที่โยวอ๋องจะพบกับซูจิ่นซี เขาเป็นคนเช่นไร?

หลังจากพบซูจิ่นซีแล้ว เขาเป็นคนเช่นไร?

ซูจิ่นซีทำให้ดอกไม้ผลิบาน ทำให้ชีวิตเย็นชาดั่งเกล็ดน้ำแข็งในแดนสวรรค์ชั้นเก้าของเยี่ยโยวเหยาหลอมละลาย

ทำให้เยี่ยโยวเหยารู้ว่าบนโลกใบนี้ นอกจากสายลม น้ำค้างแข็ง คมดาบ การต่อสู้นองเลือดเพื่อแย่งชิงอำนาจ และความรู้สึกเย็นชาไร้จิตใจแล้ว ยังมีสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมสดชื่น ดอกยากลิ่นหอมอบอวล และยังมีความรัก มีการร้องไห้ มีเสียงหัวเราะ มีการโต้เถียงและทะเลาะวิวาท

ทำให้เขาเข้าใจว่า นอกจากการบุกยึดและการครอบครองแล้ว ยังมีการให้

นางเปิดหัวใจที่แสนเย็นชาของเขา ปล่อยให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้าไปอย่างเชื่องช้า ทำให้เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการรอคอยอนาคต

เป็นนางที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ทว่าเวลานี้ เมื่อเห็นสภาพบาดแผลและอาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ตรงหน้า เขาอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย พยายามดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด เช่นเดียวกับซูจิ่นซีที่บัดนี้ทนทุกข์ทรมาน นอนไม่ได้สติอยู่ในตำหนักฝูอวิ๋น ซูอวี้อดสงสัยไม่ได้ การได้พบกันระหว่างพวกเขาทั้งสองถือเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่?

“หนุ่มน้อย เช้านี้แม่นมฮวาไม่ได้ทำอาหารเช้าให้เจ้าทานหรือ? ช่วยชีวิตคนสิ ยืนเหม่อลอยคิดอันใดอยู่? ”

จิ้นหนานเฟิงโขกศีรษะซูอวี้อย่างแรงอีกครั้งเพื่อเรียกสติ

ซูอวี้มองจิ้นหนานเฟิงอย่างเงียบงัน โดยไม่แสดงท่าทีและไม่พูดอันใด

ซูอวี้ถอดเสื้อผ้าของเยี่ยโยวเหยาออก จากนั้นจึงโรยผงยาเพื่อห้ามเลือดและป้องกันการติดเชื้อบริเวณบาดแผลบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยา

เดิมทีบาดแผลนี้ควรล้างให้สะอาด แต่เป็นเพราะหลายวันมานี้ซูจิ่นซีไม่ได้อยู่ที่เรือนอวิ๋นไค ทำให้ในเรือนไม่มีน้ำร้อน หากไปยกน้ำร้อนที่ครัวเล็กในตอนนี้ อาจทำให้ผู้อื่นสงสัยได้ จึงต้องจัดการโดยวิธีรวบรัดไปก่อน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเยี่ยโยวเหยาก็ลืมตาดำขลับขึ้นมา

เมื่อเห็นซูอวี้ เขาก็พูดอย่างไม่ใคร่พอใจนักว่า “ยังไม่รีบไปรักษาซูจิ่นซีอีก”

ซูอวี้รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยโยวเหยา ยิ่งตอนนี้เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึม ซูอวี้ยิ่งพูดอย่างขาดความมั่นใจ

“กระหม่อมกับหมอหลวงอวิ๋นให้พี่จิ่นซีทานยาแล้ว หากยังทานยาสมุนไพรเหล่านี้อีก อาจทำให้ยาสมุนไพรออกฤทธิ์ต้านกัน ต้องรอวันพรุ่งนี้ถึงสามารถใช้ยาเหล่านี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้กล่าวอันใดอีก ดูเหมือนเขาพยายามอดกลั้นต่อบางสิ่งบางอย่าง สองมือพลันวาดเป็นวงกลม ใช้กำลังภายในกดไปที่จุดตันเถียนและเริ่มเดินพลังลมปราณ

ทว่าปรับลมปราณได้ไม่นานนัก ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ร้อง ‘อ้าก’ และอาเจียนออกมาเป็นเลือด

จิ้นหนานเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังผลักซูอวี้ออก และพุ่งไปประคองเยี่ยโยวเหยาอย่างรวดเร็ว

“ท่านอ๋อง ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง? จะ… จะทำอย่างไรดี? ”

ท่ามกลางสถานการณ์คับขัน จิ้นหนานเฟิงถ่ายเทพลังให้เยี่ยโยวเหยา

ในที่สุดเยี่ยโยวเหยาก็ลืมตาขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “วุ่นวายให้น้อยหน่อย”

จิ้นหนานเฟิงทำได้เพียงหยุดมืออย่างอับจนหนทาง เขาเป็นถึงบุรุษอกสามศอก ทว่าเวลานี้ มือของเขากลับสั่นเทาด้วยความประหม่า

ซูอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ท่านอ๋อง เมื่อครู่กระหม่อมตรวจชีพจรให้ท่าน พบว่าภายในร่างกายของท่านมีพลังลมปราณที่แปลกประหลาดกำลังปะทะกัน กระหม่อมคาดว่า มีความเป็นไปได้แปดส่วนที่อาการบาดเจ็บเกิดจากการเดินทางไปยังแคว้นไหวเจียงในครั้งนี้ พลังภายในของท่านไม่สามารถรับมือกับอาการกำเริบของหมุดกร่อนรักได้ ลมปราณทั้งสองจึงปะทะกันในร่างกายของท่าน”

“เรื่องนี้ต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ! ”

จิ้นหนานเฟิงกับเยี่ยโยวเหยารู้เรื่องนี้นานแล้ว แม้ไม่ใช่คำพูดหยาบคาย แต่เมื่อซูอวี้ชี้แจงกลับมาเช่นนี้ จิ้นหนานเฟิงจึงกระวนกระวายใจอย่างมากและตะคอกใส่ซูอวี้ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมาะสม

ซูอวี้ไม่ถือโทษ ทั้งยังพูดเตือนว่า “แม้ข้าจะจัดการบาดแผลให้ท่านอ๋องแล้ว ทว่าเป็นเพียงการห้ามเลือดเท่านั้น เช่นนั้น… องครักษ์จิ้นพาท่านอ๋องไปที่เรือนรับรองของคุณชายจิ่วเถิด! เมื่อคำนวณดูแล้ว เวลานี้คุณชายจิ่วคงปรุงยาวิเศษให้ท่านอ๋องเสร็จเรียบร้อยพอดี ทั้งยังสามารถรักษาท่านอ๋องได้”

นี่เป็นวิธีที่ดีจริงๆ

ทันใดนั้นแววตาของจิ้นหนานเฟิงก็เปล่งประกายด้วยความหวัง ทว่าเรื่องนี้ต้องฟังความคิดเห็นของเยี่ยโยวเหยา“ท่านอ๋อง… ”

เวลานี้เยี่ยโยวเหยาไม่อาจพูดอันใดได้ เขาเพิ่งเปิดปาก เลือดก็ไหลพุ่งออกมาราวกับเปิดวาล์วน้ำ

เยี่ยโยวเหยาหลับตาลงอย่างเชื่องช้าโดยไม่มีการตอบสนองใดๆ ท่าทางเช่นนั้นหมายความว่าเห็นด้วยแล้ว

จิ้นหนานเฟิงรีบพูดว่า “อีกหนึ่งชั่วยามกว่าก็จะมืดแล้ว ถึงเวลานั้น ข้าจะให้พี่น้องเราพาท่านอ๋องไปหาจิ่วหรง”

แน่นอนว่าซูอวี้ไม่พูดอันใดมาก “ยิ่งข้าอยู่ที่นี่นานเท่าไร ยิ่งทำให้ผู้อื่นสงสัยมากเท่านั้น ข้าขอตัวออกไปก่อน องครักษ์จิ้นกับท่านอ๋อง… รักษาตัวด้วย”

ซูอวี้เดินไปถึงประตูทางออกแล้ว ทว่าจิ้นหนานเฟิงยังคงไม่วางใจ จึงพูดเตือนอีกครั้งว่า “หนุ่มน้อยจำเอาไว้ เรื่องอาการบาดเจ็บของท่านอ๋องต้องเป็นความลับ โดยเฉพาะกับหมอหลวงอวิ๋นผู้นั้น! ”

ซูอวี้ไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงหันหลังกลับมาและส่งสายตาให้เยี่ยโยวเหยาที่ลืมตาขึ้นมาได้วางใจ

เมื่อเห็นว่าด้านนอกไม่มีผู้ใด ซูอวี้จึงเปิดประตูและเดินออกไปอย่างเงียบงัน