ซูอวี้ไปที่ตำหนักฝูอวิ๋นก่อน อาการของซูจิ่นซีนับว่าคงที่แล้ว แม่นมฮวายกอาหารและยาบำรุงมาให้ ทว่าซูจิ่นซีรับประทานไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ท่าทีของซูจิ่นซีในวันนี้ดีกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด
“ไข้ของท่านพี่ลดลงแล้ว คงไม่มีอันตรายอันใด ท่านพี่พักผ่อนเถิด”
ซูอวี้กล่าว ก่อนจะลาซูจิ่นซีและเดินออกจากประตูไป
ตำหนักฝูอวิ๋นนี้ อย่างไรเสียก็เป็นสถานที่ของเยี่ยโยวเหยา ถือเป็นเขตหวงห้ามในจวนโยวอ๋อง หมอหลวงอวิ๋นไม่อาจอยู่นานได้ เขาจึงเดินตามซูอวี้ออกไป
อวิ๋นจิ่นเพียงคิดว่า ที่ซูอวี้ไม่ได้เข้ามาก่อนหน้านี้เพราะเขาไปช่วยหมอเทวดาหวาดูแลแม่นมฮวา หรือไปทำกิจส่วนตัว จึงไม่ได้ถามอันใด
เวลาใกล้ค่ำ ราวยามจื่อ ซูอวี้ถือสมุนไพรไปหาอวิ๋นจิ่น ซึ่งเป็นสมุนไพรที่เยี่ยโยวเหยามอบให้เขาในช่วงกลางวัน ตอนอยู่ที่เรือนอวิ๋นไค
เพื่อทำให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น กระทั่งถุงผ้าที่เปื้อนเลือด ซูอวี้ก็ไม่ได้เปลี่ยน
“หมอหลวงอวิ๋น ท่านนอนแล้วหรือ? หมอหลวงอวิ๋น? ”
ซูอวี้เคาะประตูเรียกอวิ๋นจิ่น ครู่หนึ่ง อวิ๋นจิ่นที่สวมเสื้อคลุมแล้วก็เปิดประตูออกมาและจุดตะเกียง
“ดึกดื่นป่านนี้ ผู้นำอวี้ยังไม่นอนอีกหรือ? ”
“ท่านดู นี่คือสิ่งใด? ”
ซูอวี้ชูถุงผ้าที่อยู่ในมือขึ้นมายังเบื้องหน้าอวิ๋นจิ่น
แม้จะมองไม่เห็นว่าด้านในมีสิ่งใด ทว่าในฐานะหมอที่มีจมูกว่องไว กอปรกับพรสวรรค์ในการตอบสนองต่อยาสมุนไพรที่ละเอียดอ่อน ทำให้สามารถดมกลิ่นยาสมุนไพรได้จำนวนมาก อวิ๋นจิ่นหันหลังกลับไปถือตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะและรับยาสมุนไพรจากมือของซูอวี้
ทันทีที่เปิดดู อวิ๋นจิ่นก็เอ่ยทักขึ้นว่า “ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือ? ”
“ท่านอ๋องยังไม่กลับมา เมื่อครู่องครักษ์เงาข้างกายท่านอ๋องมาหาข้าที่เรือนและมอบของสิ่งนี้ให้ข้า มองดูเลือดที่ติดอยู่บนถุงผ้า คิดว่าเพื่อให้ได้ยาสมุนไพรเหล่านี้มา ท่านอ๋องและเหล่าองครักษ์คงเผชิญอันตรายมาไม่น้อย”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ”
อวิ๋นจิ่นมองถุงผ้าเปื้อนเลือดด้วยแววตาสงบนิ่ง
ซูอวี้นั่งอยู่ในเรือนเพียงลำพังเป็นเวลานาน ครุ่นคิดหาวิธีรับมือไว้หลากหลาย สุดท้าย เขาคิดว่าการใช้วิธีนี้เพื่อบอกอวิ๋นจิ่นว่าได้ยาสมุนไพรมาแล้ว นับเป็นวิธีที่เรียบง่าย น่าเชื่อถือ และไร้ช่องโหว่
ต่อให้อวิ๋นจิ่นสงสัย เขาก็ไม่อาจถามเยี่ยโยวเหยาได้โดยตรงว่า เยี่ยโยวเหยาสั่งให้องครักษ์เงาประจำตัวมาส่งยาสมุนไพรให้ซูอวี้หรือไม่
แม้จะเป็นการหยั่งเชิง แต่ซูอวี้ก็เชื่อว่าอาศัยสติปัญญาของเยี่ยโยวเหยา เขาจะต้องรับมือได้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น ยาสมุนไพรเหล่านี้มีเพียงเยี่ยโยวเหยาและองครักษ์ของเขาที่ไปนำมาจากแคว้นไหวเจียง ในเมื่อตอนนี้สมุนไพรปรากฏขึ้นที่จวนโยวอ๋อง หากไม่ใช่เยี่ยโยวเหยาสั่งให้คนนำมาให้แล้ว ยังจะมีผู้ใดส่งมาได้อีก?
ด้วยเหตุนี้ ซูอวี้จึงคิดว่าอวิ๋นจิ่นไม่มีทางสงสัย
แม้ตอนนี้ซูอวี้ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดท่านอ๋องกับองครักษ์จิ้นจึงแอบกลับเข้ามาด้วยสภาพเลือดอาบเช่นนั้น เหตุใดจึงปิดบังทุกคน ทั้งองครักษ์จิ้นยังพูดย้ำๆ ว่าให้ปิดบังเรื่องนี้จากอวิ๋นจิ่น
เมื่อมียาสมุนไพรอยู่ในมือแล้ว อวิ๋นจิ่นกับซูอวี้ต่างตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่แม่นมฮวาและลวี่หลีล้างหน้าหวีผมให้ซูจิ่นซีและยกสำรับเช้ามาให้นางรับประทานเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงตรวจร่างกายให้ซูจิ่นซีและปรุงยาสมุนไพรให้นาง
ทางด้านเยี่ยโยวเหยา
ช่วงหัวค่ำเป็นเวลาที่หูตาในจวนโยวอ๋องหละหลวมที่สุด จิ้นหนานเฟิงและเหล่าพี่น้องได้ส่งตัวเยี่ยโยวเหยาออกจากจวนอย่างลับๆ และรีบเร่งเดินทางไปยังเรือนพักรับรองของจิ่วหรง
แน่นอนว่าจวนโยวอ๋องแห่งนี้เป็นอาณาเขตของเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาต้องการทำสิ่งใด แม้จะมีคนพบเห็นก็ไม่เป็นปัญหา เขาคิดจะทำอันใดก็ได้
เพียงแต่… เรื่องที่เยี่ยโยวเหยากลับมาถึงแคว้นจงหนิง ยังคงต้องปิดเป็นความลับ
เมื่อเด็กจัดยาและบ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู เห็นชายชุดดำหลายคนประคองคนผู้หนึ่งที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดเข้ามา ก็พากันตกใจ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นคนที่อยู่ข้างกายจิ่วหรง ดังนั้นในช่วงเวลาสำคัญจึงสามารถระงับความตื่นตระหนกไว้ได้
รอจนกลุ่มคนเหล่านั้นเดินเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงเห็นว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคือโยวอ๋องผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในแคว้นจงหนิง
“โยวอ๋อง… เกิด… เกิดอันใดขึ้น? ”
“บัดซบ อย่ามัวพูดจาไร้สาระ จิ่วหรงอยู่หรือไม่? รีบเชิญจิ่วหรงออกมา นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของมนุษย์”
“ขณะนี้เจ้าสำนักกำลังปรุงยา ทั้งยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ เกรงว่าในตอนนี้คงไม่อาจออกมารักษาท่านอ๋องได้ สหายทั้งหลายโปรดใจเย็น”
เด็กจัดยาผู้หนึ่งที่พอมีอายุสักหน่อยพูดอย่างมีมารยาท
“หลอมยา… อย่าว่าแต่หลอมยา ต่อให้ไฟไหม้หลังคาบ้าน เขาก็ต้องออกมา คนอยู่ที่ใด? คนอยู่ที่ใด? ให้จิ่วหรงออกมาเดี๋ยวนี้! ”
เด็กจัดยาผู้นั้นทำตัวไม่ถูก “ตอนนี้เจ้าสำนักกำลังปรุงยาวิเศษเพื่อโยวอ๋อง ทั้งยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายเช่นกัน สหาย ท่านคิดว่าเรื่องใดสำคัญกว่า”
จิ้นหนานเฟิงพลันได้สติ เวลานี้จิ่วหรงกำลังปรุงยาสมุนไพรให้เยี่ยโยวเหยาจริงๆ ความรีบร้อนทำให้เขาเลอะเลือนไปชั่วขณะ
“ทว่าเวลานี้ท่านอ๋องของเราได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกท่านคิดว่าควรทำอย่างไรดี? ”
“หึ… น่าแปลก! เปิดร้านยาแต่ไม่มีหมอมานั่งตรวจรักษา มีเรื่องอันใดก็วิ่งโร่มาหาเจ้าสำนักของพวกเรา เจ็บป่วยเล็กน้อยก็มาหาเจ้าสำนักเรา ตอนนี้โยวอ๋องบาดเจ็บก็มาหาเจ้าสำนักเรา พวกท่านเห็นเจ้าสำนักแพทย์เทียนอีเป็นผู้ใดกัน? เป็นหมอประจำจวนโยวอ๋องของพวกท่านหรือ? ”
เด็กจัดยาที่ดูเยาว์วัยสักหน่อยพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ
“เจ้าเด็กสารเลว เจ้ากำลังพูดอันใด? ”
องครักษ์เงานายหนึ่งพลันเดือดดาล เขาชักกระบี่ประจำกายออกมาฟันไปทางเด็กจัดยาผู้นั้น โชคดีที่เด็กจัดยาที่ดูอาวุโสกว่าเข้ามาขัดขวางได้ทัน
“พี่ชายท่านนี้ พูดจากันดีๆ ก็ได้! ”
“เจ้าเด็กสารเลวนี่ จะพูดจาใส่ร้ายก็ช่างเถิด นึกไม่ถึงว่ายังกล้าพูดจาหยาบคายต่อท่านอ๋องของพวกเรา ข้าต้องสั่งสอนให้หลาบจำ”
จริงอยู่ที่คำพูดของเด็กจัดยาแสดงความก้าวร้าวต่อเยี่ยโยวเหยา อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกผู้อื่นหยิบกระบี่ขึ้นมาชี้หน้า เขาก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้
“เป็นเช่นไร? ไม่ยอมรับใช่หรือไม่? ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง หากไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างพระชายาของพวกเจ้ากับสำนักแพทย์เทียนอีเรา พวกเราไม่มีทางสนใจพวกเจ้าหรอก”
สำนักแพทย์เทียนอีเป็นสถานที่เช่นไร?
อย่าว่าแต่องครักษ์เงาเพียงไม่กี่คนของท่านอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง ต่อให้เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นมารวมตัวกันที่ด้านนอกหุบเขาเทียนอี จิ่วหรงยังสั่งให้คนปิดประตูไม่ต้อนรับ ทุกคนในสำนักเทียนอีล้วนมีความตั้งมั่น มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ไม่อาจให้ผู้ใดเหยียดหยามได้
องครักษ์เงาผู้นั้นยังคงเดือดดาลและไม่คิดรามือ
เด็กจัดยายังพูดเสริมอีกว่า “หากเจ้ามีความสามารถก็ลงมือ! ถือกระบี่นิ่งเช่นนี้ มีความสามารถเพียงเท่านี้เองหรือ? หากเจ้ามีความสามารถก็เข้ามาสังหารข้า! เมื่อสังสารข้าแล้ว อย่าคิดว่าเจ้าสำนักจะรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านอ๋องของพวกเจ้า”
อย่าเห็นว่าเป็นเพียงเด็กจัดยา ทว่าคำพูดกลับบีบคั้นจิ้นหนานเฟิงและคนอื่นๆ อย่างชาญฉลาด
แท้จริงแล้ว ที่พวกเขาเดินทางมาในครั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือรักษาอาการบาดเจ็บของโยวอ๋อง ไม่ได้มาเพื่อยั่วยุหาเรื่องผู้อื่น
จิ้นหนานเฟิงรู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ดี ทันใดนั้น เขาก็หันไปตะคอกใส่องครักษ์เงาผู้นั้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ยังไม่ยอมรามืออีก? สร้างความอับอายให้ท่านอ๋องไม่พออีกหรือ? ”
เมื่อหัวหน้ากล่าวเช่นนี้แล้ว องครักษ์เงาผู้นั้นจึงระงับความโอหัง ทว่ายังคงเก็บความโกรธไว้ในใจ
แม้เด็กจัดยาผู้นั้นจะเป็นฝ่ายชนะ แต่เขากลับดูหมิ่นองครักษ์เงายิ่งกว่าเดิม เขาพ่นลมหายใจเย็นชาและหันไปพูดกับเด็กจัดยาที่อาวุโสกว่า “ศิษย์พี่ ข้าคร้านโต้เถียงกับคนเหล่านี้แล้ว ขอตัวไปเก็บยาสมุนไพรให้เจ้าสำนักก่อน”
พูดจบก็ไม่รอให้ศิษย์พี่ของตนตอบกลับ และเดินออกไปทันที
แม้เด็กจัดยาที่อาวุโสกว่าไม่ได้เอ่ยปากขัดขวางการปะทะคารมระหว่างศิษย์น้องของตนกับองครักษ์เงา ทว่าสีหน้าของเขากลับสุภาพเป็นอย่างมาก
“แม้วิชาแพทย์ของข้า เมื่อเปรียบกับเจ้าสำนักแล้วจะเทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งในหมื่น ทว่าข้ามีความเข้าใจในวิชาแพทย์อยู่บ้าง ดูจากสีหน้าของโยวอ๋องแล้ว ก่อนมาที่นี่คงมีการใช้ยาไปบ้าง พวกท่านประคองท่านอ๋องเข้าไปด้านในให้ข้าตรวจดูก่อนดีหรือไม่ เจ้าสำนักปรุงยาใกล้เสร็จแล้ว คิดว่าราวสองชั่วยามก็คงออกมา”
จิ้นหนานเฟิงและคนอื่นๆ ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงฟังเด็กจัดยาผู้นั้นและประคองเยี่ยโยวเหยาเข้าไปด้านใน
ทว่าอาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยาเป็นอย่างไร ร้ายแรงหรือไม่? สามารถรอถึงสองชั่วยามได้หรือไม่?