ตอนที่ 265 ตลาดมืด / ตอนที่ 266 แอบฟัง

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 265 ตลาดมืด 

 

 

 

 

 

“เจ้าไม่อยากให้ข้าพูดความจริง เช่นนั้นข้าไม่พูดก็ได้” ฉู่ป๋ายเห็นนางมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก็แกล้งพูดขึ้นราวกับคนไร้ซึ่งความผิด 

 

 

อวี้อาเหราเห็นเช่นนั้นก็หมดคำจะกล่าว “แล้วแต่เจ้าเถิด ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว ข้าคววรจะกลับได้แล้ว” 

 

 

“เจ้าจะกลับแล้วหรือ” ฉู่ป๋ายชะงักไป 

 

 

“แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้นจะให้ข้าอยู่ที่จวนของเจ้าหรืออย่างไร” อวี้อาเหรากลอกตามองเขาคราหนึ่ง “ที่ข้ามาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะจะถามไถ่อาการของเจ้าเท่านั้น เมื่อไม่มีอะไรแล้วข้าก็ย่อมต้องกลับไปที่จวนเซิ่นอ๋องสิ” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเถิด” เมื่อได้ฟังนางพูดเช่นนี้ ฉู่ป๋ายก็จำต้องพยักหน้าลง 

 

 

เจาเอ๋อร์เห็นนางเดินออกมาจากห้อง เช่นนั้นก็แปลกใจอยู่บ้าง “คุณหนู ท่านก็ออกมาเร็วถึงเพียงนี้หรือเจ้าคะ” 

 

 

“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้า สายตามองตรงไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรากลับเถิด” 

 

 

เมื่อสองนายบ่าวเดินมาถึงด้านหน้าของจวนแล้วก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่านางนั้นนั่งรถม้าของจวนเซิ่นอ๋องมา ผ่านไปไม่นาน หานสือก็วิ่งรีบวิ่งออมา แล้วพูดกับนางอย่างรีบร้อน “คุณหนูรอง ซื่อจื่อบอกให้ข้าน้อยไปส่งท่านขอรับ” 

 

 

“ตกลง” อวี้อาเหรากำลังอับจนว่าจะหาทางกลับอย่างไรดีอยู่เช่นกัน เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดียิ่งนัก 

 

 

หลังจากกลับมาถึงจวนหลิงอ๋องแล้ว อวี้อาเหราก็เหม่อมองกำไลข้อมือหยกเลือดในมือจนใจลอยอยู่ตลอด ตัวหยกนั้นงดงามเป็นที่สุด จุดสีแดงตรงกลางนั้นดูโดดเด่น แม้ว่าจะเป็นเพียงจุดแต้มเดียวเท่านั้น แต่ก็ดูราวกับเป็นดอกเหมยแดงท่ามกลางหิมะขาว เพราะว่าไม่อาจพบเห็นได้โดยง่าย เพราะอย่างนั้นจึงถือเป็นของล้ำค่า 

 

 

เจาเอ๋อร์กลับมาพร้อมกับกาน้ำชา เมื่อเห็นนางจ้องมองข้อมือของตัวเองเช่นนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเบาๆ “คุณหนู เหตุใดตั้งแต่กลับมาท่านก็เอาแต่จ้องมองหยกชิ้นนี้เล่าเจ้าคะ” 

 

 

“เจ้าไม่เข้าใจหรอก” อวี้อาเหราส่ายหน้า เจาเอ๋อร์จะรู้ได้อย่างไรหยกชิ้นนี้ซ่อนพลังอำนาจไว้มากมายเพียงใด และก็คงไม่รู้ว่าหยกชิ้นนี้บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับนักพรตผู้นั้น เว้นแต่ว่าจะหาตัวนักพรตผู้นั้นพบจึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของนางกันแน่ เหตุใดจึงได้ทะลุมิติมาเช่นนี้ 

 

 

“บ่าวไม่เข้าใจก็จริงเจ้าค่ะ แต่หากคุณหนูเอาแต่มองเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ขึ้นมาหรอกนะเจ้าคะ” 

 

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” อวี้อาเหรารู้สึกว่านางนั้นราวกับมีเรื่องที่ต้องการจะพูด 

 

 

“บ่าวเคยได้ยินมาว่าทางทิศตะวันตกของเมืองเฟิ่งเฉิงนั้นมีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ ในทางแจ้งสามารถหาอัญมณีที่ทั้งหาซื้อได้และหาซื้อไม่ได้ที่นี่ การค้าขายเฟื่องฟูยิ่งนัก และไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้าไปสร้างเรื่องราววุ่นวาย สถานะของผู้ค้าขายและผู้ซื้อล้วนแล้วแต่เป็นความลับ คุณหนู หยกที่มือของท่านนั้นคงจะไม่ใช่ของธรรมดา ถ้าหากสามารถค้นหาสถานที่ที่เรียกว่า ‘ตลาดมืด’ ได้นั้น ไม่แน่ก็อาจจะรู้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เจาเอ๋อร์เอ่ยตอบ 

 

 

“มีที่แบบนั้นด้วยหรือ” อวี้อาเหราชะงัก ก่อนหน้านี้นางเคยได้อ่านนิยายแฟนตาซีมากบ้าง ในนั้นมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตลาดมืดไม่น้อย และคล้ายๆ กับที่เจาเอ๋อร์ว่ามาด้วย แต่น่าแปลกนัก มันควรจะปรากฏอยู่แต่ในนิยายเท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดจึงปรากฏอยู่ในยุคสมัยนี้ด้วยเล่า 

 

 

หรือว่า นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับนักพรตผู้นั้นจริงๆ? 

 

 

อวี้อาเหรากดเก็บความตกตะลึงไว้ในใจ ราวกับจับจุดสำคัญของเรื่องนี้เอาไว้ได้ เมื่อความคิดวาบเข้ามาในสมองแล้ว ก็ทำให้นางฉุกคิดขึ้นมาได้ รีบลุกขึ้นยืนในทันที “เจ้ารู้จักสถานที่เช่นนั้น เหตุใดไม่รีบบอกให้เร็วเสียหน่อยเล่า” 

 

 

“บ่าวจะทราบได้อย่างไรเจ้าคะคุณหนูตามหาสถานที่เช่นนี้อยู่…” ใบหน้าของเจาเอ๋อร์เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด 

 

 

“เอาเถิด” อวี้อาเหราถอนหายใจออกมา สายตาพลันวาบสว่างขึ้น มองไปยังเจาเอ๋อร์ด้วยสายตาคาดคั้น ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “แต่ว่าเจ้าก็เป็นสาวใช้ข้างกายข้า เหตุใดถึงได้รู้เรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้?” 

 

 

เจาเอ๋อร์นิ่งงันไป แล้วจึงเอ่ยปากขึ้นอธิบาย “ในเมื่อบ่าวอยู่ในจวนหลิงอ๋อง ก็ต้องรู้เห็นมากกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา เรื่องนี้ได้ยินบรรดาสาวใช้ในจวนคุยกันน่ะเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 266 แอบฟัง 

 

 

 

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้อาเหรายกยิ้มอย่างพอใจ 

 

 

“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์จึงรีบร้อนพยักหน้าตอบรับ 

 

 

อวี้อาเหรากระแอมไอออกมา “ต่อไปหากเจ้าได้ยินอะไรมาอีกก็รีบมาบอกข้า เข้าใจหรือไม่” 

 

 

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย นี่คุณหนูของนางจะให้นางไปแอบฟังคนอื่นคุยกันอย่างนั้นหรือ 

 

 

“จริงสิ” อวี้อาเหราเพิ่งจะนั่งลง ทันใดนั้นก็นึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ “มุมเมืองตะวันตกอยู่ห่างจากที่นี่มากเท่าไร” 

 

 

“เมืองเฟิ่งเฉิงนั้นกว้างใหญ่นัก เพียงแค่ขี่ม้าไปก็ใช้เวลาเดินทางเป็นวันแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“ขี่ม้าก็โจ่งแจ้งเกินไป ถ้านั่งรถม้าไปต้องใช้เวลานานเท่าไร” 

 

 

“น่าจะประมาณหนึ่งถึงสองวัน หรือหากเร็วหน่อยหนึ่งวันครึ่งก็ถึงเจ้าค่ะ” 

 

 

“นานเพียงนั้นเชียว” อวี้อาเหราก้มหน้าลงคิดอยู่นาน หากใช้เวลานานถึงหนึ่งวันครึ่งเช่นนี้ ไปกลับก็คงใช้เวลาถึงสามวันเข้าไปแล้ว นี่ก็นานเกินไปจริงๆ หลิงอ๋องนั้นหากไม่เห็นนางเพียงหนึ่งวันก็คงจะร้อนรน ในระหว่างนั้นยังต้องมีเวลารับประทานอาหารและเวลาพักผ่อน ทำให้ไปถึงตลาดมืดได้ช้ายิ่งไปอีก นับๆ ดูแล้วก็คงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ถึงห้าวันเลยทีเดียว 

 

 

หากนางไม่อยู่ในจวนนานถึงเพียงนั้น หลิงอ๋องก็จะไม่ออกตามหาไปทั่วเมืองเฟิ่งเฉิงเลยหรือไร 

 

 

แต่หากนางบอกออกไปตามตรงว่าอยากจะไปที่ตลาดมืด เขาก็คงจะไม่ยินยอมเป็นอย่างแน่ 

 

 

ยามนี้คิดอยากจะออกไปข้างนอกก็คงจะเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมาเสียแล้ว 

 

 

อวี้อาเหราถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ แต่ในตลาดมืดนั้นก็ไม่แน่ว่านางอาจจะได้รับข่าวคราวของนักพรตก็เป็นได้ หากจะให้ยอมแพ้ก็คงจะไม่ใช่นิสัยของนาง คิดไปคิดมาเช่นนี้ นางก็คิดเสียจนหัวแทบจะระเบิด 

 

 

เจาเอ๋อร์เห็นนางมีท่าทีเป็นทุกข์ เช่นนั้นจึงออกความเห็นขึ้นว่า “ในเมื่อคุณหนูหาข้ออ้างออกไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ลองไปขอร้องเซิ่นซื่อจื่อดูสิเจ้าคะ หากเป็นเขา อย่างไรเสียท่านอ๋องก็คงจะยอมฟัง” 

 

 

“ไม่ได้” อวี้อาเหรารีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “สภาพของเขาในตอนนี้ แม้แต่ตัวเองยังดูแลไม่ได้เลย แล้วจะยังมีใจมาดูแลข้าได้อย่างไรกัน” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นควรจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” 

 

 

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” อวี้อาเหราคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี 

 

 

วิธีที่จะให้ตัวเองออกไปข้างนอกได้และให้หลิงอ๋องวางใจ ทำอย่างไรก็คิดไม่ออกแม้แต่น้อย 

 

 

หากเป็นเวลาปกตินั้นก็ยังสามารถไปหาฉู่ป๋ายเพื่อให้เขาช่วยนางได้ แต่ตอนนี้เขาที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น นางจะทำอย่างไรดี? 

 

 

คิดหาวิธีอย่างยากลำบากอยู่เนิ่นนาน นางก็เงยหน้าขึ้นในฉับพลัน “จริงสิ วันนี้จวินอู่เหินอยู่ที่จวนหรือไม่” 

 

 

“คุณหนูจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องน้อยหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์เข้าใจขึ้นมาโดยพลัน 

 

 

“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้าแล้วย่นคิ้ว “แต่เสด็จพ่อเหมือนจะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไร เกรงว่าพอถึงตอนนั้นก็จะไม่เชื่อในคำพูดของจวินอู่เหิน คงจะต้องเสียเวลาเปล่าเป็นแน่” 

 

 

“นั่นก็จริง แต่บ่าวว่าคุณหนูลองดูสักหน่อยเถิด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถโน้มน้าวพระทัยของท่านอ๋องก็เป็นได้นะเจ้าคะ” 

 

 

“หากเป็นครั้งอื่นก็ยังพอว่า แต่เมื่อวานข้าเพิ่งก่อเรื่องไว้ คาดว่าอย่างไรเสด็จพ่อก็คงไม่วางพระทัยเป็นแน่” แม้ปากของอวี้อาเหราจะพูดออกมาเช่นนี้ แต่นางก็ยังพยักหน้าลง “แต่ว่าเจ้าก็พูดถูก ข้าควรจะลองดูก่อนถึงจะรู้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมก็ได้” 

 

 

“เจ้าค่ะ” ใบหน้าของเจาเอ๋อร์ปรากฏรอยยิ้มออกมา 

 

 

ตอนนี้นางไม่กล้าที่จะเกลี้ยกล่อมอะไรคุณหนูของตนอีก ถึงต่อให้เกลี้ยกล่อมไปนางก็คงแอบทำอยู่ดี เมื่อเทียบกับปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็มิสู้นางคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หากไม่ใช่เพราะว่าเมื่อวานนางเพิ่งถูกคนจับตัวไป วันนี้นางก็คงไม่มีทางเห็นด้วยแน่ 

 

 

อาศัยช่วงเวลานี้ที่ยังเช้าอยู่ อวี้อาเหราและเจาเอ๋อร์ก็รีบไปยังจวนหนานหยางอ๋องทันที  

 

 

เมื่อพบจวินอู๋เหินแล้ว นางก็บอกเล่าถึงความตั้งใจของตัวเอง อีกฝ่ายนั้นตกปากรับคำในทันที แต่ก็มีความกังวลในข้อเดียวกันกับนาง “เสด็จพ่อของเจ้าไม่ค่อยชอบข้า หากข้าพูดย่อมไม่เชื่อเป็นธรรมดา” 

 

 

“ข้ารู้ แต่เจ้าก็ลองดูสักครั้งเถิด” อวี้อาเหราเลิกคิ้ว “เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”