ตอนที่ 267 เฆี่ยนตี
“เหตุใดกัน ไปคนเดียวเจ้าก็กลัวหรือ” เมื่อได้ยินดังนั้น จวินอู๋เหินก็ยิ้มเสียหน้าบาน “เด็กสาวต้องเดินทางไกลไปยังสถานที่เช่นนั้นเพียงลำพังแน่นอนว่าต้องกลัวเป็นธรรมดา เห็นแก่เจ้าที่มาขอร้องข้าเช่นนี้ อีกทั้งข้าเองก็กำลังว่างอยู่พอดี ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน”
อวี้อาเหราปรายตามองอย่างเหยียดๆ “ตกลงเจ้าจะไปหรือไม่ไป”
“ตกลง อาศัยช่วงที่เสด็จพ่อของข้ายังไม่กลับมา ข้าก็จะไปพบหลิงอ๋องกับเจ้า” หลังจากที่จวินอู๋เหินหัวเราะแล้ว ก็ไม่ได้ชักช้าให้เสียเวลาอีก สำรวมอารมณ์แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ วันนี้เขาก็ยังคงสวมเสื้อตัวยาวลายดอกไห่ถางสีขาวในพื้นสีน้ำเงินเช่นเดิม ท่วงท่ายังคงเยาว์วัยและหล่อเหล่า อาภรณ์ชุดนี้ก็ยิ่งขับให้เขาดูโดดเด่นมากขึ้น เพียงแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขานั้นทำให้คนที่พบเห็นอยากจะต่อยเข้าสักหมัด
เมื่อเห็นนางเอาแต่จ้องมองเขานิ่งเช่นนี้ จวินอู๋เหินก็หุบรอยยิ้มบนใบหน้าไปเสียสิ้น “เจ้ามองข้าทำไมกัน”
“เจ้านี่ก็หน้าตาดีนะ” อวี้อาเหราตอบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก แต่เมื่อเห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความพึงพอใจแล้ว นางก็รีบเปลี่ยนท่าทีเสียเดี๋ยวนั้น “แต่ข้าก็คงตาบอดแล้วกระมัง”
“เจ้านี่นะ…” จวินอู๋เหินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันไปจนกระทั่งถึงจวนหลิงอ๋อง
จวนหนานหยางอ๋องอยู่อีกหนึ่งถนนถัดจากจวนหลิงอ๋องเท่านั้น ระยะทางนับว่าใกล้กันนัก โชคดีที่ตอนนี้หลิงอ๋องเพิ่งจะกลับมาหลังจากเข้าเฝ้ายามเช้า ดังนั้นอวี้อาเหราจึงพาจวินอู๋เหินเข้ามาพบหลิงอ๋องที่ห้องหนังสือ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ก็หาข้ออ้างกันไปด้วย
จวินอู๋เหินรบเร้าว่า “เจ้าว่าประเดี๋ยวพบหลิงอ๋องแล้ว ข้าควรกล่าวอย่างไรดี”
“เจ้าก็บอกว่าจะพาข้าออกไปพักผ่อนหย่อนใจ ไปเที่ยวเล่นสักสองวันสิ” อวี้อาเหราเสนอขึ้นมาส่งๆ
จวินอู๋เหินได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจจนไม่กล้าเดินหน้าต่อ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มขมขื่นหันไปบ่นกับนาง “หากข้าพูดตามที่เจ้าบอก เสด็จพ่อของเจ้าต้องสั่งโบยข้าแน่ ข้าไม่กล้าพาเจ้าออกไปข้างนอกส่งเดชหรอก”
“พรืด” อวี้อาเหราหัวเราะ “น่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ”
“น่ากลัวมากกว่านั้นอีก” จวินอู๋เหินทอดถอนใจราวกับยอมรับในชะตากรรม
อวี้อาเหราเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นก็เกิดรู้สึกหนักใจขึ้นมาบ้าง “เจ้าดูกลัวเสด็จพ่อของข้ามากถึงเพียงนั้น หรือว่าเจ้าเคยทำเรื่องอะไรไว้กับข้าจริงๆ”
“อย่าพูดเลย” จวินอู๋เหินลูบหน้าผาก เมื่อถูกบีบบังคับเช่นนี้จึงจำต้องเอ่ยปากพูดอย่างช่วยไม่ได้ “นั่นก็เป็นเรื่องสมัยเด็กๆ แล้ว ตอนนั้นข้ามีนิสัยซุกซนนัก วิ่งเล่นไปทั่ว หลังจากนั้นก็ได้แอบเข้ามาเล่นในจวนหลิงอ๋อง ในใจนึกคึกคะนองพาเจ้าออกไปเล่นข้างนอก ผลสุดท้ายก็ถูกหลิงอ๋องจับได้ แค่คิดถึงก็…”
“สุดท้ายเล่าเป็นอย่างไร” ดวงตาของอวี้อาเหราวาบประกายด้วยความใคร่รู้ คิดไม่ถึงว่าตอนเด็กๆ จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย
“ก็ถูกเสด็จพ่อของเจ้าไล่ด้วยไม้กวาดน่ะสิ” จวินอู๋เหินหัวเราะอย่างจนใจ
ครั้งนั้นเขาถูกไล่ออกมาต่อหน้าคนตั้งมากมาย ตั้งแต่นั้นมาก็รู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก หลิงอ๋องเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตในสงครามเข่นฆ่าศัตรูจนเคยชิน เมื่อเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักของตัวเองเกือบจะถูกพาตัวไป จึงอดไม่ได้ที่จะตรงเข้ามาทุบตีเขา เรื่องราวในครั้งนั้นยังคงติดแน่นเป็นความเจ็บปวดในจิตใจ และเพราะทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ เมื่อเสด็จพ่อของเขารู้เข้า เขาจึงโดนเฆี่ยนตีเสียเกือบตาย เพราะว่าเขาทำให้คนทั้งจวนหนานหยางอ๋องต้องเสียหน้า นับตั้งแต่นั้นมา เมื่อเขาเห็นหลิงอ๋องก็ต้องหาเรื่องหลบหน้าตลอด
อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้ที่เจ้าชอบพูดว่าจะต้องโดนเสด็จพ่อของข้าโบยบ้างไล่ตีบ้าง ก็เพราะมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้น่ะหรือ…”
“อาเหรา หากเจ้ายังหัวเราะอีก ข้าไม่ไปแล้วนะ” จวินอู๋เหินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถลึงตาจ้องมองนางนิ่ง
น่าหัวเราะถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ก็แน่นอนอยู่แล้วซี!
เป็นถึงท่านอ๋องน้อยแต่กลับถูกขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่หนานหยางอ๋องจะลงไม้ลงมือตีเขา จวินอู๋เหินในครั้นเยาว์วัยคงจะซนเหลือเกินจริงๆ คาดว่าตั้งแต่เล็กจนโตคงถูกตีมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วกระมัง
ตอนที่ 268 เจ้าคนสองหน้า
อวี้อาเหราไม่เพียงแต่ไม่เก็บงำรอยยิ้ม ทว่านางกลับยิ้มกว้างเสียมากกว่าเดิม หันกลับไปหาเจาเอ๋อร์ แล้วถามว่า “เจ้าว่าตลกหรือไม่เล่า”
“บ่าวไม่กล้าพูดหรอกเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์เห็นจวินอู๋เหินโกรธหน้าดำหน้าแดง ทันใดนั้นก็หุบยิ้มลง แม้ใบหน้าจะแดงเถือกไปเสียหมดแต่ก็ไม่กล้าที่จะหลุดหัวเราะออกมา เม้มปากแน่นจนแทบกลั้นไม่ไหว
จวินอู๋เหินเห็นพวกนางสองนายบ่าวแอบหัวเราะเช่นนี้ ทันใดนั้นก็หมุนตัวเดินกลับในทันที
“เจ้าจะไปไหน” อวี้อาเหราหุบยิ้มโดยพลัน ดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ “เจ้าเป็นถึงท่านอ๋องน้อยเหตุใดถึงขี้น้อยใจเพียงนี้นะ อย่าใจร้ายกับผู้หญิงตัวเล็กๆ สิ”
จวินอู๋เหินไม่ตอบคำ ทำเพียงย่นจมูกเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ อีกทั้งเตรียมที่จะหมุนกายกลับไปตามเดิม
อวี้อาเหราจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดได้หรือยังว่าจะพูดกับเสด็จพ่ออย่างไร”
จวินอู๋เหินก้มหน้าลงก่อนครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วจึงพยักหน้าลง “คิดได้แล้ว”
“อะไรล่ะ” อวี้อาเหรายินดี
“ไม่บอกเจ้าหรอก พอถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง” รอยยิ้มบนใบหน้าของจวินอู๋เหินเหตุใดถึงได้ดูเจ้าเล่ห์แสนกลยิ่งนักนะ
แต่อวี้อาเหราก็ทำได้แต่เพียงเดินตามเขาเข้าไปยังห้องหนังสือด้วยสีหน้าสงสัยเท่านั้น
หลังจากมาถึงห้องหนังสือแล้ว องครักษ์สองคนก็รีบเข้ามาคารวะ “ข้าน้อยคารวะคุณหนูรอง ท่านอ๋องน้อยจวิน”
“ลุกขึ้นเถิด” อวี้อาเหราเยี่ยมหน้ามองเข้าไปด้านใน “เสด็จพ่อของข้าอยู่หรือไม่”
“อยู่ขอรับ ท่านอ๋องเพิ่งกลับมาจากเข้าเฝ้ายามเช้า กำลังเช็ดกระบี่อยู่ด้านในขอรับ” องครักษ์ตอบ “ท่านจะให้ข้าน้อยเข้าไปรายงานก่อนหรือไม่”
“ไม่…” อวี้อาเหราเหลือบสายตามองไปที่จวินอู๋เหินที่อยู่ข้างกาย แล้วเปลี่ยนใจ “ก็ได้ ไปเถิด”
หลังจากที่องครักษ์เข้าไปรายงานแล้ว ถึงได้เชิญพวกเขาทั้งสองคนเข้าไปด้านใน
หลังจากที่หลิงอ๋องได้ยินองครักษ์รายงาน ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเห็นคนสองคนเดินเข้ามา ทันใดนั้นใบหน้าก็กลายเป็นถมึงทึง สองตาคมดุจดังเหยี่ยว จ้องมองจนจวินอู๋เหินเสียจนขนลุก จากนั้นก็เคลื่อนย้ายสายตาจากร่างของเขา มองไปยังอวี้อาเหรา ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นยิ้มแย้ม ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้
“อาเหรา เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่ในห้องเพื่อรักษาร่างกายให้ดี คิดอย่างไรถึงได้มาหาพ่อที่นี่เล่า”
“ทูลเสด็จพ่อ ได้ยินมาว่าเสด็จพ่อเพิ่งจะกลับจากเข้าเฝ้ายามเช้า เช่นนั้นจึงอยากจะมาเยี่ยมน่ะเพคะ” อวี้อาเหราก้าวเดินไปข้างหน้า ก่อนจะหยุดลงที่ข้างกายของหลิงอ๋อง แอบส่งสายตาให้จวินอู๋เหิน
หลังจากได้รับสายตานั้นแล้ว จวินอู๋เหินก็ทำความเคารพหลิงอ๋อง “คารวะหลิงอ๋อง”
“ลุกขึ้นเถิด” หลิงอ๋องปรายตามองมาที่เขา ใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “เหตุใดท่านอ๋องน้อยจวินถึงเสด็จมายังจวนของข้าได้ อีกทั้งยังมาพร้อมกับอาเหราเช่นนี้ มีธุระอะไรหรือไม่”
น้ำเสียงของหลิงอ๋องนิ่งขรึมเป็นอย่างมาก จวินอู๋เหินนิ่งงันไป “อยากจะ…”
เมื่อเห็นเขาทำท่าอึกๆ อักๆ อวี้อาเหราก็ไม่สบอารมณ์เสียยิ่งนัก จวินอู๋เหินผู้นี้ ยามที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็วางท่าเสียใหญ่โต เหตุใดพอมาอยู่ต่อหน้าหลิงอ๋องแล้วกลับทำท่าทีอึกๆ อักๆ ไม่กล้าพูดจา หรือว่าเป็นผลพวงมาจากเรื่องที่เคยถูกตีเมื่อตอนเล็กๆ หรือ
“ว่าอย่างไรเล่า” หลิงอ๋องขมวดคิ้วแล้วไต่ถาม สีหน้าไม่เข้าใจ
“คุณหนูรองอยากจะออกไปเที่ยวเล่น แต่เพราะกลัวว่าท่านอ๋องจะไม่อนุญาต จึงให้ข้ามาพูดกับท่านอ๋องแทน” คิดไม่ถึงว่าจวินอู๋เหินกลับจะพูดออกตามตรงเช่นนี้ หลังจากที่พูดจบแล้ว เขายังมองมายังอวี้อาเหราด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย
ทันใดนั้นนางก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดยามนั้นเขาถึงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เช่นนั้น ก็เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง!
เจ้าคนสองหน้า! ทั้งๆ ที่ให้เขามาเพื่อหาข้ออ้างให้นางออกไปแท้ๆ กลับกลายเป็นเล่นงานนางเสียได้
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงอ๋องก็หันมามองทางอวี้อาเหรา ใบหน้าฉายความไม่ยินดียิ่งนัก “อาเหรา เจ้าก็เอาแต่สร้างเรื่องสร้างราวจริงๆ ให้เจ้าพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายดีๆ ก็ไม่ชอบ อย่างไรเสียพ่อก็ไม่ยอม เจ้ารีบกลับไปพักได้แล้ว หากต้องการจะออกไปเที่ยวเล่น อีกสักครู่จะพาเจ้ากับอนุรองออกไปหย่อนใจเสียแล้วกัน”