ทันใดนั้นพลันปรากฎว่าสุสานเย่วฮูหยินจมลงไปในพื้นดินชั้นหนึ่ง พื้นที่โดยรอยแตกออก เกิดกระแสลมพัดขึ้นมา สายลมแรงจนทำให้ดอกชมจันทราทั้งหมดปลิดปลิวขึ้นไปบนอากาศ บดบังสายตาของผู้คนทั้งหมด
รอกระทั่งพวกเขาได้สติขึ้นมา ก็พบว่าที่เบื้องหน้านอกจากตัวสุสานแล้วนั้น ทั้งฝ่าบาท ไทเฮา และแม้กระทั่งอี้อ๋องต่างถูกกลืนหายไปแล้ว
มีแต่เต๋อเฟยที่ถูกทิ้งเอาไว้ ราวกับว่าถูกสุสานนั่นผลักออกมา นอนกองอยู่พบพื้นด้านหนึ่ง
“สวรรค์ทรงโปรด ช่วยฝ่าบาทเร็วๆ! ” หลี่กงกงรีบตะโกนราวเป็ดตัวผู้ร่ำร้อง ยามนี้ไม่มีผู้ใดสนใจใยดีเต๋อเฟยอีกแล้ว
ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาททรงหล่นลงไปในสุสานหรือ?
สุสานของเย่วฮูหยินเป็นผู้ใดสร้างกัน ทำไมถึงได้เปราะบางเพียงนี้? จับนิดโดนหน่อยก็กลายเป็นหลุมลงไปเลยหรือ?!
ดาบทลายภูผาของตู๋กูจุนหล่นอยู่ข้างกายเต๋อเฟย เขาไม่คิดไตร่ตรองอะไรก็ทำท่าจะกระโดดลงไปในหลุมของสุสานเพื่อช่วยคนแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ลงไปก็ถูกหลี่กงกงคว้าแขนเสื้อเอาไว้แน่น “ท่านแม่ทัพ ท่านอย่าได้หุนหัน ตอนนี้เหลือแต่ท่านเท่านั้นที่จะควบคุมสถานะการณ์ได้ ใครจะรู้บ้างว่าใต้สุสานมีอะไรอยู่บ้าง? หากว่าท่านลงไปแล้วเกิดเรื่องขึ้นอีก บ่าวเฒ่าเช่นข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีแล้ว…..”
ตู๋กูจุนไหนเลยจะกังวลมากมายถึงเพียงนั้น ใต้สุสานนี้ต่อให้เป็นถ้ำเสือวังมังกร เขาก็ต้องลงไปนำตัวน้องเล็กขึ้นมาให้ได้ จีเฉวียนจีเย่ว์จะตายก็ตายไป น้องเล็กของเขาแสนสำคัญล้ำค่า แม้แต่ผมเส้นเดียวก็ไม่อาจให้หายไป!
แต่ว่าเจ้าหลี่กงกงผู้นี้กลับฉุดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาทั้งสองก็เกิดความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทำให้ตู๋กูจุนไม่อาจยืนได้อย่างมั่นคง ทันใดสุสานของเย่วฮูหยินก็เลื่อนกลับขึ้นมาอีกครั้ง!
ครู่เดียวหลุมใหญ่ที่เปิดอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เลื่อนปิดกลับไปต่อหน้าต่อตา!
สีหน้าของนักพรตอู๋เจินปรากฎแววตาสงสัย เหล่านักพรตที่อยู่ข้างกายเขาเองก็ล้วนแสดงความประหลาดใจออกมา
หลี่กงกงตกใจจนหน้าซีดไปแล้ว คว้าข้อมือของตู๋กูจุนร้องว่า “ผีหลอก! ผีหลอก! อ๊าาา ฝ่าบาท อ๊าาา ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงถูกฝังทั้งเป็นแล้ว อ๊าาาา!
หลี่กงกงร้องโวยวายเสร็จก็เป็นลมล้มพับไป
มาเจอเรื่องน่ากลัวแบบนี้ยามกลางวันแสกๆ นับว่ายากทนทานจริงๆ
ตู๋กูจุนหันไปโยนหลี่กงกงให้ลูกน้องของตนเองดูแล
ฝังมารดาเจ้าน่ะสิ น้องข้ายังถูกขังอยู่ข้างล่าง!
ตู๋กูจุนทั้งโกรธทั้งร้อนใจ มองมาทางเต๋อเฟยที่ยังทรุดกองอยู่ที่พื้น เขาแทบจะอยากเอาดาบมาสับนางให้ตายเสียตรงนี้! หากไม่ใช่เป็นเพราะนาง มีหรือน้องเล็กจะถูกสุสานกลืนลงไป?
“ใต้เท้าจิ่ง รบกวนท่านนำเต๋อเฟยและคนสนิทของนางไปขังเอาไว้ในคุกของกรมสืบสวนก่อน ข้าแม่ทัพจะต้องหาหนทางช่วยเหลือไทเฮาออกมา ” ตู๋กูจุนกวาดดาบผ่านศีรษะของเต๋อเฟยออกไป ผมของนางก็ถูกหั่นออกไปครึ่งหนึ่ง ถือเป็นการระบายอารมณ์เมื่อครู่
เต๋อเฟยตกตะลึงพรึงเพริดไป นางทั้งโกรธทั้งหวาดกลัวขึ้นมา ทำให้ไม่กล้าพูดจาออกไปแม้สักคำเดียว
ใต้เท้าจิ่งหยู่แห่งกรมสืบสวนก็ไม่มีโลเล รีบนำตัวพวกเต๋อเฟยทั้งสองจนจากไปพร้อมกับลูกน้องของตู๋กูจุนมุ่งหน้ากลับกรมสืบสวน
เสียนไท่เฟยเองก็ถือร่มขยับเข้ามาอย่างรีบร้อน สายตาของนางเปิดเผยความกระวนกระวาย “ท่านแม่ทัพ สุสานนี้แปลกประหลาด เกรงว่ามีแต่เปิดสุสานออกจึงจะสามารถช่วยคนได้ ขอท่านได้โปรดรีบตัดสินใจด้วย”
เจียงเหม่ยหยู่ได้ยินว่าจะขุดสุสาน ระหว่างคิ้วก็ปรากฎความยินดีขึ้นในทันที เช่นนี้เจียงเย่วมีหวังได้ตายอย่างไม่สงบละสิ?
นางรีบหันไปออกคำสั่งต่อเหล่าองครักษ์ในจวน “เร็ว รีบไปขุดเปิดสุสานขึ้นมา ฝ่าบาททรงสำคัญที่สุด! “
“ใครกล้าขยับวุ่นวาย? ” ตู๋กูจุนควงดาบขึ้นมา “สุสานของท่านย่าของข้าแม่ทัพ ใครกล้าแตะต้อง ข้าแม่ทัพจะฆ่าทิ้งเสีย! “
น้องเล็กนั้นต้องช่วยแน่ แต่ว่าสุสานท่านย่าไม่อาจให้ใครแตะต้องโดยง่าย!
เจียงเหม่ยหยู่คิดจะเข้าไปงัดข้อกับเขา ก็พลันเห็นนักพรตอู๋เจินเดินเข้ามา มองดูรอยเลือดที่ติดอยู่บนป้ายสุสาน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคารพและยำเกรง
เขารีบยกสองมือขึ้นมาไขว้กันไว้ ” อ้ายย่าห์ เง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์ของข้า….สุสานแห่งนี้ไม่ธรรมดา ไม่อาจแตะต้องได้ ไม่อาจแตะต้องได้เด็ดขาด”
…………………….
ในความมืด ที่มืดมิดเสียจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า อากาศภายในนี้นับว่ายังพออบอุ่นอยู่บ้าง ใต้ร่างก็นับว่านุ่มอยู่ไม่น้อย
ตู๋กูซิงหลันถูกกระแทกเสียจนมึนงง ในหัวมีแต่เสียงโหวงเหวง นางลุกขึ้นมานั่ง ลำคอยังเหนียวเหนอะหนะ เลือดก็ยังไม่หยุดไหล ดูท่าคงจะหมดสติไปได้ไม่นาน
นางมองไปรอบตัวทุกทิศทาง ตั้งสติได้ครู่หนึ่งก็ค่อยลุกขึ้นมา ก้าวเท้าออกไปได้ก้าวหนึ่งพลันรู้สึกว่าเหยียบอะไรอยู่ใต้เท้าจนฝ่าเท้านางรู้สึกเจ็บๆ
พอเหยียบลงไปเบาๆ อีกครั้งก็คล้ายได้ยินเสียงอะไรแทงทะลุเนื้อลงไป
พลันได้ยินเสียงงึมงำขึ้นว่า “เจ้าคิดปลงประชนม์เราหรือไง? “
ตู๋กูซิงหลันพลันชะงักไปแล้ว รีบหมอบตัวลง นางคิดอะไรออกแล้ว นางลูบๆ คลำไปทั่วตัว ก็ล้วงเอาไข่มุกลูกหนึ่งออกมาจากใต้เข็มขัด นี่เป็นไข่มุกจากทะเลตงไห่ที่เจ้าฮ่องเต้สุนัขริบคืนมาจากเต๋อเฟย
นางพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา ตะเตรียมจะหาโอกาสแอบขายออกไป
พอสว่างขึ้นรำไร ก็พอจะเห็นว่าฮ่องเต้ทรงพระพักตร์คว่ำอยู่บนพื้น กุมพระหัตถ์ที่ได้รับบาดเจ็บข้างนั้นไว้อย่างน่าสงสาร
ไอ้เมื่อกี้ที่นุ่มๆ อยู่ใต้ตัวนาง…….หรือว่าจะเป็นเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่?
เดิมทีปิ่นปักผมนั่นเพียงเสียบอยู่บนหลังมือของเขาแค่ครึ่งเดียว แต่ฝ่าเท้าของนางที่เหยียบลงไปเมื่อครู่ แทบจะทำให้ฝ่ามือของเขาถูกแทงทะลุแล้ว อึก…..ดูท่าน่าจะเจ็บมาก
เห็นนางเอาแต่คุกเข่าดูอยู่อย่างนั้น ไม่แสดงท่ากังวลสนใจแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ก็ทรงเริ่มกริ้วขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
เจ้าตัวไม่มีน้ำใจ!
มันน่าจะให้ปิ่นนั่นเสียบทะลุคอนางนัก ให้นางตายไปเลย!
“พยุงเราขึ้นมา ” เขาหงุดหงิดไม่น้อยแล้ว อาศัยแสงสว่างจากไข่มุกที่ตกต้องลงบนตัวของนาง มือเท้าแขนขายังอยู่ครบ บนร่างไม่มีสีสันร่องรอยอะไร ดูท่าลงจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว ไม่เสียทีที่ตอนหล่นลงมานั้นเขาปกป้องนางไว้ ทั้งยังเอาตัวไปเป็นเขียงเนื้อรองนางอีก
“มัวตะลึงอะไรอยู่อีก? ” เห็นนางตั้งนานยังไม่ขยับตัว จีเฉวียนก็ยื่นมือของตนเองออกไป “เราบาดเจ็บแล้ว เจ้าต้องมาพยุงสิ”
หลุมแห่งนี้ลึกมาก ลึกถึงขนาดที่ว่าตัวเขาเองก็บาดเจ็บแล้ว ข้อเท้าและบั้นเอวล้วนปวดไปหมด ดูท่าคงจะบาดเจ็บจนถึงกระดูกเข้าแล้ว
ตู๋กูซิงหลัน “….” ว่ากันตามจริงแล้ว จีเฉวียนในสายตาของนางไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำตัวร้ายเสียจนน่าตบ ทุกครั้งที่เห็นหน้าของเขา นางเป็นต้องอยากจะเอาส้นรองเท้าฟาดหน้าสักครั้ง
เพียงแต่ตอนนี้ท่าทางมอมแมมของเขาดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก ไหนจะบาดเจ็บที่ฝ่ามืออีก ราวกับสุนัขป่าที่ถูกก้อนหินกระแทกเข้าใส่อุ้งเท้า
พอคิดถึงว่าจะอย่างไรที่เขาได้รับบาดเจ็บก็เป็นเพราะตัวนาง แล้วยังทำตัวเป็นเขียงเนื้อรองรับนางไว้อีก ตู๋กูซิงหลันจึงไม่ได้กระแทกกับก้นหลุม สองมือของนางก็ยื่นออกไปหาเขา
นางเดิมทีก็มีเรี่ยวแรงมากอยู่แล้ว พอเข้าไปประคองพระศอของฝ่าบาทขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงกระดูดลั่นกร๊อบแกร๊บ พระพักตร์ของฝ่าบาทก็เปลี่ยนเป็นดำดุจก้นหม้อ
นางก็กล่าวอย่างเกรงใจว่า “ฝ่าบาท ดูท่าเอวท่านจะไม่ดีเท่าไหร่แล้ว คนอายุยังน้อยแต่กระดูกกลับเหมือนผู้ชราเช่นนี้ ใช่ไม่ได้หรอกนะ ท่านต้องรู้จักออกกำลังให้มากๆ ….”
จีเฉวียน “…..” เขารู้สึกอย่างชัดเจนเลยว่ากระดูกของตนเองเคลื่อนผิดที่ไป กล้ามเนื้อระบมเจ็บปวดไปหมด
เขาอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลายๆ ครั้ง ปลอบตนเองอย่าได้มีโทสะ
ครู่ต่อมาเขากุมมือข้างที่บาดเจ็บไว้ กวาดตามองไปสี่ทิศรอบด้าน ค่อยหันมามองตู๋กูซิงหลันอีกครั้งหนึ่ง “มือของเราเจ็บมาก เท้าก็ปวดด้วย เจ้าแบกเราออกไปจากที่นี่แล้วกัน”
ตู๋กูซิงหลัน “……..” นี่นางหูฝาดไปแล้วหรือ?
“เจ้าฮ่องเต้สุนัข! ” วิญญาณทมิฬกระโดดออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก “ตัวก็ใหญ่ถึงขนาดนี้ ช่างไม่รู้จักอายเสียบ้าง จุ๊ๆๆๆ “
ตู๋กูซิงหลัน ไม่สนเจ้าถวนจื่อ นางจ้องไปที่จีเฉวียน มุมปากถึงกับกระตุกอยู่หลายครั้ง “ฝ่าบาทเพคะ ท่านดูสิว่ารูปร่างของหม่อมฉันทั้งอ่อนแอและบอบบางขนาดนี้~ จะไปแบกท่านยังไงไหว? “