ราชันเร้นลับ 427 : ทางเลือกแห่งกาลเวลา โดย Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางบรรยากาศมืดสนิท สายน้ำสีดำในทางระบายน้ำกำลังไหลอย่างต่อเนื่อง หากบุคคลทั่วไปต้องการเดินสำรวจ อุปกรณ์ซึ่งจะขาดไม่ได้เลยคือตะเกียงสำหรับมอบแสงสว่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางมองเห็นสิ่งใด
แต่สำหรับไคลน์ในร่างวิญญาณ ความมืดมิดรอบตัวมิได้ถือเป็นอุปสรรค ทุกสิ่งถูกฉายให้เห็นอย่างแจ่มชัด
ดังนั้น ขณะถูกผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพบตัว มันเองก็มองเห็นอีกฝ่ายเช่นกัน
ไคลน์ไม่เสียเวลาเปลืองน้ำลาย รีบอ้าปากกว้างพร้อมกับแผดเสียงหวีดความถี่ต่ำซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดได้ยิน
นี่คือพลังโจมตีของร่างวิญญาณ เป็นการสร้างความเสียหายต่อดวงวิญญาณเป้าหมายโดยตรง
ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพลันชะงัก ประหนึ่งถูกกำปั้นใครบางคนชกใส่อย่างจัง
สสารสีดำคล้ายเงาเริ่มหลุดลอกออกจากร่างกายเป็นแผ่นบาง ราวกับอารมณ์ในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์กำลังผุกร่อนทีละนิด
ผ่านไปไม่กี่วินาที ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายซึ่งบาดเจ็บหนักเป็นทุนเดิม เริ่มแสดงอาการโซเซคล้ายกับใกล้หมดสติ
เนื่องจากปราศจากร่างเนื้อคอยค้ำจุน มันจึงมีสภาพเหมือนกับเทียนไขท่ามกลางพายุกระโชก ทำได้เพียงวูบวาบไปตามกระแสลมพัดพา จะดับลงตอนไหนไม่มีใครทราบชะตากรรม
จนกระทั่ง เงาดำเริ่มกระจัดกระจายไปคนละทิศทางอย่างไร้เป้าหมาย ไคลน์ไม่มีทางทราบเลยว่าตนต้องไล่ตามไปยังทิศทางใด
ขณะเดียวกัน เงาดำกลุ่มหนึ่งพลันผุดขึ้นจากพื้นหินของทางระบายน้ำในจุดบอดด้านหลังร่างวิญญาณไคลน์ ตามด้วยการกระโจนโจมตีเข้าใส่ชายหนุ่มโดยอาศัยมุมอับสายตา
ในความเป็นจริง ของเหลวสีดำซึ่งแตกตัวไปคนละทิศทางเมื่อครู่ เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับสร้างความสับสนของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเท่านั้น หลังจากนี้จึงค่อยเป็นการลอบโจมตีทีเผลอของจริง!
ไคลน์ยังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีตอบสนองต่อการโจมตีจากด้านหลังเลยสักนิด ปล่อยให้เงาดำของศัตรูพุ่งใส่ร่างกายอย่างไร้การป้องกัน
ทว่า ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายกลับแสดงอาการสั่นเทากะทันหัน ประหนึ่งเผลอสัมผัสเข้ากับวัตถุเย็นจัดโดยปราศจากเครื่องมือป้องกัน
การเคลื่อนไหวของเงาดำช้าลงอย่างชัดเจน อาการคล้ายกับกำลังตกอยู่ในสภาวะ ‘ถูกแช่แข็ง’ ฉับพลัน
แน่นอน ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายย่อมทราบว่าสิ่งมีชีวิตจำพวก ‘วิญญาณอาฆาต’ มักมีพลังทำให้เกิดความรู้สึกเย็นจัด
แต่มันคาดไม่ถึงว่าพลังแช่แข็งของบุคคลสวมเกราะและมงกุฎสีดำ จะมีอำนาจมากพอจนทำให้ตน ผู้อยู่ในร่างกึ่งวิญญาณ ประสบอาการแข็งทื่ออย่างกะทันหันได้เช่นนี้
คำอธิบายสำหรับทฤษฎีนี้ก็คือ ร่างวิญญาณของไคลน์มี ‘ระดับตัวตน’ สูงกว่าผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย จึงทำให้เกิดภาวะแช่แข็งต่อร่างกึ่งวิญญาณโดยไม่มีข้อยกเว้น
ไคลน์ซึ่งมองออกตั้งแต่แรก กำลังรอคอยโอกาสนี้มาตลอด ชายหนุ่มรีบหันหลังกลับพลางเหยียดแขนขวาออกไปคว้า ‘ศีรษะ’ ของเงาดำซึ่งกำลังทำตัวแข็งทื่อ
พร้อมกันนั้น เข็มกลัดสุริยันซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ชุดเกราะ เริ่มส่องแสงสีขาวสว่างวาบ
ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพลันตระหนักถึงอันตรายร้ายแรง และทราบว่าความฉิบหายกำลังย่างกรายเข้าหาตน มันพยายามขัดขืนอย่างสุดกำลัง เพียงแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ไม่กี่อึดใจถัดมา เสาลำแสงสีขาวโพลนปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าด้านบนเพดานทางระบายน้ำ สาดทอดลงมายังกลุ่มก้อนเงาดำในมือไคลน์อย่างถ้วนทั่ว
ขณะบรรยากาศรอบตัวเริ่มสว่าง เงาดำกำลังดิ้นรนทุรนทุรายด้วยพลังเฮือกสุดท้าย แต่ก็มิอาจหยุดการระเหยของร่างกายตัวเองได้สำเร็จ ภายในไม่กี่วินาที เงาดำหดลีบลงจากขนาดในตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด วิญญาณของมันกำลังชุ่มฉ่ำไปด้วยประกายแสงระยิบระยับ ฝ่ายมือไคลน์เริ่มสัมผัสถึงเสียงหวีดร้องเจือความสาปแช่งจากด้านใน
ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ แสงศักดิ์สิทธิ์แสนบริสุทธิ์อีกหนึ่งระลอกฉายซ้ำลงมาจากด้านบนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อบรรยากาศคล้ายยามเที่ยงตรงผ่านไปราวสองสามวินาที ไคลน์ตัดสินใจปล่อยมือจากศีรษะเงาดำ ซากสุดท้ายของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายร่วงหล่นลงพื้นหินโดยปราศจากแรงต่อต้านหรือสัญญาณของการมีชีวิต
ร่างของมันอยู่ในสถานะเงาดำจนถึงวาระสุดท้าย หากไม่บอกก็คงไม่มีใครทราบว่าสิ่งนี้เคยเป็นเจสัน·แพทริค·บีเลียลมาก่อน
ลำดับ 5 ผู้สำเร็จภารกิจลอบสังหารดยุคคนสำคัญของอาณาจักร จบชีวิตลงโดยไม่มีโอกาสแม้จะกล่าวคำสั่งเสีย
ขณะเดียวกัน ไคลน์มองเห็นเศษเสี้ยวดวงวิญญาณอันเจือจางของอีกฝ่าย คงเป็นผลมาจากการถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ลักษณะจึงคล้ายกับใกล้สลายตัวเต็มที
ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าตะกอนพลังจะควบแน่นเป็นก้อน…หรือเราควรเลียนแบบเทคนิคของมาดามชารอน? เข้าไปสิงในเงาดำเพื่อเร่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาสร้างตะกอน…แต่เราทำไม่เป็นสักหน่อย ไม่เคยลองทำเลยสักครั้งเดียว…
ไคลน์เริ่มวางแผนขั้นตอนถัดไป
ทันใดนั้น ชายหนุ่มพลันตระหนักว่าพื้นหินของทางระบายน้ำกำลังสั่นสะเทือนหนักหน่วง
อาศัยสัมผัสวิญญาณนำทาง ไคลน์รีบหันหลังกลับไปมองยังจุดเดิมซึ่งตนเคยเดินผ่านมาในตอนแรก
ชุดเกราะสีเงินตัวใหญ่ มองผิวเผินเหมือนกับมีน้ำหนักมาก กำลังวิ่งตรงมายังจุดปัจจุบันของตน จากหัวไหล่ซ้ายถึงช่องท้องกลางลำตัว คราบเลือดสีแดงเกรอะกรังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
สมบัติปิดผนึก 1-42…
หัวใจไคลน์พลันเจ็บแปลบประหนึ่งถูกบีบแน่น โดยปราศจากความลังเล ชายหนุ่มรีบคว้า ‘วิญญาณ’ ของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายติดมือและเพ่งจิตสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญ
แผนการของไคลน์คือ หากเผชิญหน้ากับหน่วยพิเศษเมื่อใด จะต้องรีบสิ้นสุดพิธีกรรมทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าจะยังจัดการกับคนร้ายไม่ได้ก็ตาม มันเชื่อว่าหน่วยพิเศษคงมีวิธีรับมือผู้ปลดปล่อยแรงกระหายอยู่แล้ว
‘ถุงมือแดง’ ผู้สวมชุดเกราะสีเงินเปื้อนเลือดเกรอะกรัง กำลังจ้องเขม็งมายังร่างของบุคคลปริศนาสวมมงกุฎและชุดเกราะสีดำ อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายกำลังเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยให้ไล่ตาม
บุคคลสวมเกราะเงินหรี่ตาลงพลางสำรวจในจุดดังกล่าว จนกระทั่งพบกับ ‘ซาก’ ของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายซึ่งไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว
“ฆ่าปิดปากและทำลายหลักฐานหลังจากเสร็จงาน?” มันพึมพำเสียงค่อย
กึก! กึก! กึก!
หน่วยถุงมือแดงทยอยวิ่งตามมาถึงในจุดเกิดเหตุคนแล้วคนเล่า
…
หลังจากส่งตัวเองกลับถึงห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา ไคลน์ไม่รีบร้อนสื่อวิญญาณ ตรงกันข้าม มันห่อหุ้มพลังวิญญาณและนำพาสติกลับสู่ห้องน้ำภายในสโมสรครักซ์
ชายหนุ่มรีบเก็บเทียนไขและทำลายร่องรอยของพิธีกรรมจนหมดจด เพียงไม่นาน เบาะแสสุดท้ายซึ่งสามารถสาวมาถึงตน ได้ถูกลบออกไปจากโลกเป็นการถาวร
เมื่อเก็บกวาดเสร็จสิ้น ไคลน์ลงมือทำซ้ำขั้นตอนเดิม สร้างร่างปลอม เดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว ส่งจิตขึ้นไปยังพระราชวังหรูหรา
ด้วยอำนาจของมิติแห่งนี้ มิสเตอร์ฟูลสามารถสื่อวิญญาณกับเป้าหมายได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านพิธีกรรมหรือได้รับความช่วยเหลือจากใคร เทคนิคดังกล่าวเคยถูกใช้กับนักเชิดหุ่น โรซาโก้ ในเหตุการณ์ก่อนหน้าไปแล้ว
เมื่อประเมินว่าดวงวิญญาณของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายถูกแสงชำระล้างจนใกล้เลือนหาย ไคลน์รีบคิดชุดคำถามเพื่อรีดข้อมูลสำคัญออกมาให้ได้มาก
ในส่วนของสูตรโอสถเส้นทางปีศาจ เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มันตัดสินใจปล่อยผ่าน เพราะไคลน์ประเมินว่า ถึงตนจะมีสูตรโอสถ ก็คงไม่คิดขายทอดตลาด การเพิ่มจำนวนฆาตกรเลือดเย็นคงไม่ใช่เรื่องดี
ขณะนั่งจ้องร่างมายาของบุรุษผมน้ำตาลเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลล่องลอย ชายหนุ่มซักถามพลางแผ่พลังวิญญาณของตนเข้าไปหา
“แกวางแผนอะไรไว้”
เนื่องจากวิญญาณของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ด้วยอำนาจของห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา คำตอบของมันจึงไม่ได้ถูกกลั่นกรองผ่านสมอง เป็นเพียงการถามตอบอย่างซื่อตรงปราศจากอำนาจแทรกแซง
“ลอบสังหารดยุคนีแกน”
ดยุคนีแกน…อีกแล้วหรือ?
ใครมันอยากให้เขาตายนัก?
ไคลน์หรี่ตาลง ซักถามเสียงเรียบ
“แล้วสำเร็จไหม”
“สำเร็จ” ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายตอบอย่างใจเย็นและสั้นกระชับ ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมนอกเหนือจากนั้น
ในสภาพปัจจุบัน คำตอบจะออกมาจากจิตใต้สำนึกในส่วนลึก บทสนทนาจึงเป็นการถามมาตอบไป
ดยุคนีแกนผู้น่าสงสาร แม้แต่เทพวายุสลาตันก็ช่วยไม่ไหว…
ไคลน์วาดสัญลักษณ์จันทร์แดงกลางหน้าอกจำนวนสี่จุด
โดยไม่มัวเสียเวลาถามถึงรายละเอียดการลอบสังหาร มันรีบเข้าประเด็น
“ใครเป็นผู้บงการ”
จะใช่องค์กรเดียวกับผู้บงการพลเรือโทแห่งวายุ คีลิงเกอร์ หรือไม่?
ไคลน์หวนนึกถึงคดีพยายามลอบสังหารดยุคนีแกนเมื่อครั้งอดีต
ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายตอบเสียงเรียบ
“องค์กรลับแห่งหนึ่ง นับเป็นกลุ่มคนเก่าแก่และถือครองความลับไว้มากกว่าขั้วอำนาจฝ่ายใดทั้งหมดบนโลก ผู้วิเศษส่วนใหญ่มักไม่ทราบถึงการมีอยู่ของพวกเขา กล่าวกันว่า สมาชิกขององค์กรล้วนเป็นบุคคลสำคัญของโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทรงอิทธิพลภายในเจ็ดโบสถ์หลัก หรือแม่ทัพใหญ่ประจำกองทัพของทุกอาณาจักร”
ทำไมเราถึงได้คุ้นนัก… หรือจะเป็นองค์กรลับเดียวกับจักรพรรดิโรซายล์? องค์กรลับโบราณผู้ถือครองศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง?
สมองไคลน์เริ่มทำงาน
“แล้วแกจะได้รับรางวัลตอบแทนเป็นสิ่งใด ถึงกับยอมทิ้งตัวตนซึ่งพยายามสร้างมานานหลายสิบปีในชั่วข้ามคืน”
น้ำเสียงของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ไพ่เย้ยเทพ…ไพ่นรก!”
ไพ่เย้ยเทพ? ไพ่นรก หนึ่งในไพ่ยี่สิบสองใบของจักรพรรดิโรซายล์! คงเป็นของเส้นทางปีศาจไม่ผิดแน่ เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ปลดปล่อยแรงกระหายถึงยอมสละทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาครอง…ไพ่ดังกล่าวมีอำนาจมากพอจะทำให้ผู้วิเศษคนหนึ่งไปถึงลำดับสูงได้ไม่ยาก!
ของรางวัลมีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่าเนื้อหาของภารกิจเสียอีก!
ทว่า ในกรณีของคีลิงเกอร์ ของรางวัลไม่น่าจะเป็นไพ่เย้ยเทพเหมือนกัน นอกเสียจาก… นอกเสียจากองค์กรดังกล่าวจะมีไพ่เย้ยเทพในเส้นทางผู้รับใช้วายุด้วย…องค์กรเดียวจะถือไพ่เย้ยเทพไว้ในมือมากขนาดนี้เชียวหรือ…
แต่ถ้าเป็นองค์กรเดียวกับโรซายล์ โอกาสครอบครองไพ่เย้ยเทพติดมือสักสองสามใบคงไม่ใช่เรื่องยาก…หรือต่อให้ไม่มี แต่พวกมันก็ถือครองศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองไว้ในมือ…
ไคลน์เริ่มไม่เข้าใจ จึงถามกลับไปอย่างฉงน
“ทำไมพวกเขาถึงต้องการฆ่าดยุคนีแกน”
ดวงวิญญาณของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มเจือจางอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงของมันกำลังล่องลอย
“ไม่ทราบ ฉันแค่ต้องตัดสินใจว่าจะรับทำภารกิจหรือไม่เท่านั้น”
“จุดประสงค์ขององค์กรดังกล่าวคือสิ่งใด” ไคลน์เริ่มถามจี้
น้ำเสียงของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มแผ่วเบาลงทุกขณะ
“เคยได้ยินมาว่า พวกเขาต้องการคืนชีพ หรือไม่ก็ปลุกพระผู้สร้างให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง บทบาทของพวกเขาคือการแทรกแซงประวัติศาสตร์โลก เปลี่ยนให้ผลลัพธ์เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายตัวเอง อนาคตจะได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ขององค์กร หากกระแสของเวลาเริ่มออกนอกลู่ทางหรือไม่ตรงตามความต้องการ พวกเขาจะย้อนเวลากลับไปยังจุดผลิกผันสำคัญในอดีต นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีเป้าหมายอื่นอีก เพียงเฝ้ามองโลกอย่างเงียบงัน เฉื่อยชา และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว บางที พวกเขาจะไม่ออกคำสั่งใดเลยตลอดหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี หากกระแสเวลาไหลไปตามความต้องการอย่างราบรื่น…”
องค์กรลับของแท้… คำอธิบายค่อนข้างตรงกับองค์กรลับของโรซายล์ :
องค์กรลับผู้คอยชักใยโลกอยู่เบื้องหลัง…
และดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระผู้สร้างต้นกำเนิดเสียด้วย…
เมื่อเห็นดวงวิญญาณของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายใกล้สลาย ไคลน์เร่งมือถาม
“องค์กรดังกล่าวชื่ออะไร? แล้วแกติดต่อกับพวกเขาด้วยวิธีไหน?”
ร่างมายาของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจ้องมองมาทางไคลน์อย่างไรอารมณ์ ในวินาทีนี้ ร่างของมันเลือนรางจนใกล้คงสภาพไว้ไม่อยู่
แต่ก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์ มันเปล่งเสียงตอบเป็นการสั่งลา
“พวกเขาเรียกตัวเองว่า…สภานักสิทธิ์สนธยา”
…
ณ บ้านพักซึ่งมีเรือนกระจกหน้าทางเข้า
เลขารูปร่างผอมเพรียว สวมแว่นตากรอบทองและถุงมือสีขาว กำลังนั่งนิ่งด้วยสีหน้าหดหู่และตำหนิตัวเอง
“คุณชื่ออะไร ลำดับเท่าไร และอยู่บนเส้นทางใด” อาวุโสไอคานส์ซักถามเสียงเรียบ
เลขาผมทองตอบอย่างเชื่องช้า
“ล็อกฮาร์ต·เซียคัม ลำดับ 5 ถ้าอยากทราบว่าผมอยู่บนเส้นทางใด สามารถตรวจกับบัญชีกำลังพลของ MI9 ได้ทุกเมื่อ”
“ตกลง” ไอคานส์ซักถามต่ออีกเล็กน้อย “ท่านดยุคมีกำหนดเดินทางมายังบ้านหลังนี้แบบตายตัวหรือไม่”
“ไม่ ท่านไม่ชอบเดินทางเป็นแบบแผน โดยเฉพาะหลังจากถูกคีลิงเกอร์พยายามลอบสังหาร ก่อนจะถึงวันนี้ ไม่มีใครทราบว่าท่านจะมายังบ้านหลังนี้แม้แต่คนเดียว กระทั่งผมก็ยังได้ทราบเมื่อเข้า ภายในรัฐสภา” ล็อกฮาร์ต·เซียคัมตอบเสียงขรึม
ไอคานส์ครุ่นคิดเล็กน้อย
“ถ้าจะมีใครสักคนในพวกคุณเป็นหนอนบ่อนไส้ คุณคิดว่าเป็นใคร”
ล็อกฮาร์ตก้มหน้าตรึกตรองหลายวินาที ก่อนจะส่ายหัวแผ่วเบาโดยไม่ส่งเสียง
ไอคานส์พยายามสอบถามรายละเอียดการต่อสู้จนเริ่มเห็นภาพรวมของเหตุการณ์
เนื่องจากอาการบาดเจ็บของล็อกฮาร์ตค่อนข้างหนัก ไอคานส์ขอตัวและเดินไปสอบปากคำเหล่าองครักษ์ของดยุคคนอื่นต่อ
เมื่อเห็นอาวุโสของจิตแห่งจักรกลเดินจากไปไกล ล็อกฮาร์ตพยุงตัวลุกยืน เดินกะเผลกตรงไปทางศพของดยุคนีแกน
ปัจจุบัน ศพขุนนางใหญ่แห่งอาณาจักรมิได้เปลือยเปล่าเหมือนตอนแรก แต่สีหน้ายังคงเผยความหวาดผวาอย่างแจ่มชัด
ล็อกฮาร์ตจ้องมองศพนีแกนด้วยสีหน้าเศร้ามอง พลางขยับปากพึมพำ
“ท่านดยุค ผมขอโทษ…”
ขณะกำลังหันหลังให้ทุกคน มุมปากของมันพลันยกโค้งอย่างมีเลศนัย
ล็อกฮาร์ตกล่าวเสริม :
นี่เป็นทางเลือกแห่งกาลเวลา…
……………………