ตอนที่ 392 เรื่องที่เจ้าทำไม่ได้ ข้าทำเอง
เซียวเหยี่ยนยื่นมือไปผูกเชือกให้หลิงอวี้จื้อ ทำอย่างอ่อนโยนและตั้งใจมาก ราวกับที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นสมบัติล้ำค่า น้ำเสียงอ่อนโยนหยดย้อยราวกับจะละลายกลายเป็นน้ำได้
“อวี้จื้อ ต่อไปเรื่องที่เจ้าทำไม่ได้ ข้าจะทำให้เจ้า”
หน้าหลิงอวี้จื้อแดงขึ้นไปอีก เงยหน้าขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้ม
“จริงหรือ”
“ข้าพูดจามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเสมอ”
“เรื่องนี้ท่านพูดเองนะ อาเหยี่ยน ข้าบอกท่านนะ เรื่องที่ข้าทำไม่ได้มีตั้งเยอะแยะ
ตอนแรกยังคิดอยู่ว่า ข้าจะต้องเรียนรู้การเป็นศรีภรรยาและมารดาที่ประเสริฐหรือไม่ ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องเรียนแล้วสิ ต่อไปเรื่องเหล่านี้ข้าต้องรบกวนท่านแล้ว”
ดวงตาหลิงอวี้จื้อเป็นประกายระยิบระยับ ยิ้มร่ามองเซียวเหยี่ยน ใบหน้ายังแดงระเรื่อ ขนตายาวไหวกระพือ เซียวเหยี่ยนเริ่มใจลอย ยื่นมือออกไปประคองหน้าหลิงอวี้จื้อ ตอบรับเสียงต่ำ
“อยู่กับข้า เจ้าไม่ต้องเป็นศรีภรรยาและมารดาที่ประเสริฐ เจ้าแค่เป็นหลิงอวี้จื้อก็พอ”
หลิงอวี้จื้อตะลึง รู้สึกหวานชื่นอยู่ในใจ ตอนนี้เซียวเหยี่ยนพูดเก่งแล้ว พัฒนาการเร็วระดับเทพทีเดียว
เห็นเสื้อนอกของตนเองยังไม่ได้ผูกให้ดี ก็ร้องว้าย รีบหันกลับไปผูกเสื้อผ้าให้ดี เซียวเหยี่ยนถึงได้สังเกตเห็นเสื้อผ้าที่หลิงอวี้จื้อทิ้งไว้บนพื้นมีรอยเลือด สีหน้าขรึมทันที ถามว่า
“ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลิงอวี้จื้อหุบยิ้ม เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เซียวเหยี่ยนฟังคร่าวๆ เมื่อเซียวเหยี่ยนได้ยินว่าสำนักอู๋จี๋ลงมือกับชุนเหนียง ก็รีบตรวจดูหลิงอวี้จื้อ ถามอย่างกังวล
“เจ้าคงได้รับบาดเจ็บกระมัง”
หลิงอวี้จื้อส่ายหน้า
“ข้าไม่เป็นอะไร แต่นี่อวิ๋น…”
“ไม่ต้องกังวล เขาไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าโดนพิษนักรับไร้ชีพ เมื่อตายแล้วจะไม่กลายเป็นเช่นนุนเหนียง ชุนเหนียงไม่น่าจะโดนพิษนักรบไร้ชีพ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าเจียงสือปรุงยาคืนชีพได้แล้ว บางทีเจียงสืออาจจะยังไม่แน่ใจ จึงลองเอามาใช้กับชุนเหนียงก่อน ลองดูว่ายาคืนชีพของนางใช้ได้ผลหรือไม่”
“หากเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่าไม่สำเร็จสิ ลักษณะของชุนเหนียงกับนักรบไร้ชีพไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่ เจียงสือคืนชีพคนเช่นนี้เพื่ออะไร ข้าได้ยินสาวใช้ที่สำนักอู๋จี๋พูดว่า เมื่อก่อนเจียงสืออยากทำให้ท่านซีหนานอ๋องฟื้นคืนชีพ”
หลิงอวี้จื้อพูดจบก็ประคองเซียวเหยี่ยนกลับไปนอนบนเตียง เมื่อเอ่ยถึงบิดาของตนเอง แววตาเซียวเหยี่ยนก็มืดมน
“เจียงสือต้องการทำให้ท่านพ่อของข้าคืนชีพจริงๆ ทำเพื่อดูหมิ่นเขา ตอนนั้นท่านพ่อทำลายสำนักอู๋จี๋สิ้น นางเกลียดพ่อข้าเข้ากระดูกดำมาตลอด”
“นี่…นี่มันโรคจิตไปหน่อยแล้ว เช่นนี้ไม่ให้เกียรติคนตายเลย เจียงสือผู้หญิงคนนี้น่ากลัวเหลือเกิน อาเหยี่ยน อีกสองสามวันพวกเรากลับเมืองหลวงเถิด! ตอนนี้พอนึกถึงเจียงสือ ข้าก็รู้สึกขนลุกขนพองไปหมด”
เซียวเหยี่ยนพยักหน้า
“พวกเราควรกลับไปแล้วจริงๆ อย่ากลัว มีข้าอยู่ทั้งคน อีกสองสามวันจางผิงก็จะมาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นสำนักอู๋จี๋ก็จะสลายหายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นซาก และไม่ให้โอกาสให้พวกเขาได้กลับมาผงาดอีกแล้ว”
จางผิงก็เป็นแม่ทัพที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคนหนึ่งของแคว้นเว่ยตะวันตก เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวเหยี่ยน ตอนนี้ตราพยัคฆ์อยู่ในมือเซียวเหยี่ยน เขาจะเกณฑ์ทหารมาก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ต้องใช้เวลาเท่านั้น หลิงอวี้จื้อรู้สึกโล่งใจ ลัทธิมารเช่นนี้ควรทำลายเสีย มิเช่นนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรนอกลู่นอกทางอีก
“อาเหยี่ยน ถึงตอนนั้นพวกท่านเตรียมใช้วิธีอะไรทำลายสำนักอู๋จี๋หรือ”
“แหกค่ายกลไม่ได้ ไฟสักกองก็เพียงพอ”
“เช่นนั้นพวกสาวใช้ในสำนักอู๋จี๋…”
หลิงอวี้จื้อมองเซียวเหยี่ยน เจตนาชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
นั่นคือเธออยากถามเซียวเหยี่ยนว่า มีวิธีอะไรที่พอจะละเว้นสาวใช้เหล่านั้นได้บ้าง
ตอนที่ 393 ไม่ว่าท่านจะทำอะไรข้าล้วนสนับสนุน
เธอรู้ว่าสาวใช้สำนักอู๋จี๋ล้วนเป็นลูกสาวชาวบ้านธรรมดาๆ ทั้งหมดถูกหลอกมาหรือไม่ก็ถูกขายให้สำนักอู๋จี๋ เรียกได้ว่าไม่ได้ทำตามใจตนเอง หากวางเพลิง เช่นนั้นทุกคนก็ต้องตาย
เซียวเหยี่ยนเข้าใจความหมายของหลิงอวี้จื้อ พูดต่อว่า
“อวี้จื้อ ไม่ใช่ข้าไม่ยินดีจะละเว้นสาวใช้เหล่านั้น มีวิธีช่วยพวกนางออกมา ข้าย่อมช่วยพวกนาง หากไม่มี ก็ทำได้เพียงยอมสละพวกนาง หากปล่อยสำนักอู๋จี๋ไปเพราะพวกนาง เช่นนั้นสำนักอู๋จี๋ก็จะทำเรื่องชั่วช้าต่อไป ประชาชนเสียหายมากกว่าเดิม”
หลิงอวี้จื้อถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง
“ข้าเข้าใจว่าต้องทำเพื่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ข้ากับพวกนางเคยอยู่ด้วยกันมา ถึงแม้เวลาจะไม่นาน แต่พอนึกถึงแล้วยังหักใจทำไม่ลง พวกนางก็เป็นคนน่าสงสาร สำนักอู๋จี๋ควบคุมดูแลพวกนางเข้มงวดมาก หากไม่อยากตาย ก็ต้องเชื่อฟังแต่โดยดี”
เซียวเหยี่ยนตบหลังมือหลิงอวี้จื้อเบาๆ เขารู้ว่าหลิงอวี้จื้อไม่ชอบฆ่ากวาดล้างผู้บริสุทธิ์ เซียวเหยี่ยนก็ไม่ชอบ
เพียงแต่เมื่อก่อนที่เขาเป็นผู้นำกองทัพ เห็นความเป็นตายมามาก เคยชินกับการพิจารณาปัญหาต่างๆ จากภาพรวมตั้งนานแล้ว ชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์กับโทษ เขาจะเลือกอย่างมีเหตุผล แทบจะไม่ถูกความรู้สึกทำให้ไขว้เขว สำหรับเขา ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เมื่อรักหลิงอวี้จื้อแล้ว เขาพบว่าหัวใจที่แข็งเย็นก้อนนั้นเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่มขึ้นมาก มีความเอาใจใส่ และมีความโอนอ่อน มีปัญหาอะไรก็จะไตร่ตรองถึงความรู้สึกและความยินยอมของหลิงอวี้จื้อ ไม่ยอมทำเรื่องที่ทำให้หลิงอวี้จื้อลำบากใจและเสียใจ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สำหรับเขาไม่ถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงขั้นมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขา แต่เขากลับยิ้มรับความลำบาก
“ข้าเข้าใจ”
เซียวเหยี่ยนตอบรับ หลิงอวี้จื้อไม่ได้พูดอะไรอีก เธอไม่อยากทำให้เซียวเหยี่ยนลำบากใจ ความน่ากลัวของสำนักอู๋จี๋เธอประสบมาแล้ว เหลือองค์กรเช่นนี้เอาไว้ สำหรับชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ถือเป็นหายนะแท้ๆ
“อาเหยี่ยน ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ข้าก็ล้วนสนับสนุน”
เซียวเหยี่ยนยกมือขึ้นมา ลูบหัวหลิงอวี้จื้อ ประโยคนี้ทำให้ใจเขาอบอุ่น เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าง่วงหรือไม่ หากง่วงแล้วก็ขึ้นมานอนพักสักหน่อย”
หลิงอวี้จื้อส่ายหน้า
“ข้าไม่ง่วง แต่ท้องข้าหิวแล้ว อาเหยี่ยน ท่านนอนไปตั้งนาน ยังไม่ได้กินอะไรด้วย พวกเราทานอะไรกันสักหน่อย ท่านรอข้านะ ข้าจะไปเอาอาหารที่ห้องครัว”
หลิงอวี้จื้อพูดจบก็กำลังจะไป เซียวเหยี่ยนดึงมือหลิงอวี้จื้อไว้
“ให้อู่จิ้นไปเอาเถิด! เจ้าพักสักหน่อย”
เซียวเหยี่ยนพูดจบก็สั่งให้อู่จิ้นไปหยิบของกิน
หลิงอวี้จื้อเห็นเซียวเหยี่ยนจับมือตนเองไว้ตลอด ก็ยิ้มไม่พูดอะไร นึกไม่ถึงว่าเซียวเหยี่ยนจะติดเธอเช่นนี้ ราวกับเด็กๆ ไม่เหมือนตอนปกติที่สูงส่งและเย็นชาเลยแม้แต่น้อย แต่เธอชอบความรู้สึกนี้ เซียวเหยี่ยนที่เป็นเช่นนี้ มีเพียงเธอผู้เดียวที่ได้เห็น
ตอนนี้เอง มู่หรงนี่อวิ๋นที่นอนอยู่บนเตียงกลับนอนไม่หลับ กินอะไรส่งๆ ไปเล็กน้อย ก็ให้อวิ๋นซั่วออกไป เขาเอนหลังพิงหัวเตียง จ้องมองเส้นสีดำบนฝ่ามือของตนเอง ไม่รู้ว่าเส้นสีดำเส้นนี้หมายความว่าอย่างไร
ตอนนี้เองประตูห้องก็ถูกคนผลักออกมา ได้ยินเสียงดังขึ้น มู่หรงนี่อวิ๋นก็หันหน้าไปทางประตู จากนั้น มั่วชิงก็เดินเข้ามา
“คุณชายมู่หรง ดึกขนาดนี้แล้วต้องการพบข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“หลิงอวี้จื้อไม่รู้ว่าเจ้ามาใช่หรือไม่”
มั่วชิงส่ายหน้า
“คุณหนูอยู่กับท่านอ๋องเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าข้าออกมาแล้ว”
ได้ยินว่าหลิงอวี้จื้อไม่รู้ว่ามั่วชิงมาหาเขา มู่หรงนี่อวิ๋นก็โล่งอก
เรื่องนี้เขาไม่อยากให้หลิงอวี้จื้อรู้ หากเขามีเภทภัยอะไรขึ้นมาจริงๆ ใจของหลิงอวี้จื้อคงอยู่ไม่สุขแน่ เขาชี้ม้านั่งข้างๆ
“มั่วชิง เจ้านั่งลงพูดเถิด!”
มั่วชิงนั่งลงตามที่บอก นางรู้ว่าการที่มู่หรงนี่อวิ๋นอยากพบนางในเวลานี้ต้องมีเรื่องอะไรอยากพูดแน่นอน ปกติมู่หรงนี่อวิ๋นเป็นคนเฮฮา และชอบพูดคุยล้อเล่น แต่ตอนนี้สีหน้าท่าทางของมู่หรงนี่อวิ๋นจริงจังมาก ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน