ตอนที่ 586 ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้น
“เอาล่ะ ฟางจู เจ้าบอกทุกคนว่ากลับมาเยี่ยมข้าเนื่องจากป่วยหนัก เข้าใจหรือไม่ ? ”
มู่เหล่าหวางเฟยเอ่ยกับฟางจู จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ด้านหลังม่านซึ่งทัวป๋าถิงฟางก็รู้สึกแปลกใจมิน้อย เมื่อรู้ว่ามู่เหล่าหวางเฟยกำลังจะทำสิ่งใดจึงขอตัวกลับเรือน
“นายหญิง ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรไปอยู่ที่ใดเจ้าคะ ? ”
สาวใช้ข้างกายของทัวป๋าถิงฟางเอ่ยถามและจ้องมองทัวป๋าถิงฟางด้วยความรู้สึกน้อยใจ เนื่องจากก่อนหน้านี้นางทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อทัวป๋าถิงฟาง แต่ก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างเมตตาเยี่ยงที่มู่เหล่าหวางเฟยปฏิบัติต่อฟางจู นางจึงรู้สึกเศร้าใจพอสมควร
หากถิงฟางเช่อเฟยทำกับนางเยี่ยงนั้นบ้างก็คงดีมิน้อย
“เป็นอันใด ? ”
ทัวป๋าถิงฟางเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมเดินจึงรู้สึกแปลกใจ ก็ต้องกลับเรือนมิใช่หรือไร นางเด็กคนนี้ยังต้องคิดมากมายไปอีกทำไม ?
“นายหญิงเจ้าคะ…” สาวใช้เพิ่งเอ่ยปาก น้ำตาก็ไหลอาบแก้มแล้ว
นางเป็นสาวใช้ที่ทัวป๋าถิงฟางพามาจากแคว้นชิงเยว่จึงเป็นธรรมดาที่จักมีความผูกพันอยู่ในใจ
“นายหญิง บ่าวอิจฉาฟางจูกู่เหนียงเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินสาวใช้กล่าวเยี่ยงนี้ ทัวป๋าถิงฟางก็หัวเราะออกมา
เด็กคนนี้อยากเป็นคุณหนูกับเขาด้วยหรือ ?
“เด็กคนนี้ ข้ามิเคยมองออกว่าเจ้าก็ใจกล้าเหมือนกัน เป้าหมายใหญ่เชียวนะ” ทัวป๋าถิงฟางกล่าวติดตลก
“นายหญิง บ่าวมิได้หมายความว่าเยี่ยงนั้น บ่าวแค่อยากเป็นเหมือนฟางจูกู่เหนียงที่สนิทสนมกับมู่เหล่าหวางเฟยเจ้าค่ะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ทัวป๋าถิงฟางก็เริ่มรู้สึกปวดใจเล็กน้อย
“นายหญิง…”
“ที่จริงข้าก็เห็นเจ้าเป็นพี่น้องมาโดยตลอด ตอนเจ้าโดนอันหลิงเกอรังแก ข้าก็ปวดใจมากเหมือนกัน”
ขณะกล่าว ทัวป๋าถิงฟางก็แสร้งร้องไห้ออกมา
“ท่านอย่าร้องเลยเจ้าค่ะ พวกเรารีบกลับเรือนกันเถิด ประเดี๋ยวผู้อื่นมาเห็นเข้าจะมิงามเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบดึงตัวทัวป๋าถิงฟางกลับเรือน
ท้องฟ้าสีคราม พระอาทิตย์สาดแสง ฝั่งอันหลิงเกอและมู่จวินฮานกำลังอยู่ในช่วงเวลางดงาม
“ฟู่ว…” สิ่งที่อันหลิงเกอกลัวคือการออกกำลังกายอย่างหนักเมื่อครู่เพราะเอวของนางไม่ไหวแล้ว มันคงเคล็ดแล้วกระมัง ?
“เกอเอ๋อ เจ้าเป็นอันใดไป ? ” น้ำเสียงนุ่มลึกเกินบรรยาย มิอ่อนโยนเหมือนภาพสะท้อนในกระจกตามเวลาปกติที่สามารถแตกสลายหายไปได้อย่างง่ายดาย
มู่จวินฮานในเวลานี้เหมือนคนที่เกิดใหม่ไม่มีผิด ท่าทางมีชีวิตชีวาน่าดู
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอแค่รู้สึกเจ็บที่เอวเท่านั้น นางมิได้เป็นอันใดมาก
มู่จวินฮานตกตะลึงเพราะอันหลิงเกอโน้มกายเข้ามาพิงหน้าอกของเขา
มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ดีว่ารักอันหลิงเกอมากขึ้นเท่าไร หรือจะบอกได้ว่ามากถึงขั้นมิอาจแยกจากกันได้แล้ว
สายลมเย็นพัดผ่าน ระเบียงทางเดินในเรือนคดเคี้ยว ชายคาถูกยกสูง
เวลานี้อันหลิงเกอกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่ในเรือน เนื่องจากมิได้ยืดเส้นยืดสายมาหลายวันจึงทำให้นางรู้สึกว่ากล้ามเนื้อแข็งไปบ้าง
ทว่าทันใดนั้นเท้าของนางก็กวาดผ่านคอของบุรุษผู้หนึ่งโดยมิทันระวัง
“ข้าตื่นมาก็ไม่เห็นเจ้าจึงออกมาตามหา แต่เจ้าปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้หรือ ? ” เขาเอ่ยเสียงทุ้มอีกแล้ว มันเป็นดั่งลมร้อนที่พัดเข้ามาปะทะร่างกายมิมีผิด
นางเห็นเพียงมู่จวินฮานใส่ชุดสีขาวราวกับหิมะมายืนอยู่ที่ลานบ้าน ดวงตากระจ่างใส ฉีกยิ้มเห็นฟันขาว เป็นดั่งภาพวาดก็มิปาน
อันหลิงเกอหยุดการเคลื่อนไหวแล้วค่อย ๆ สาวเท้าเข้าไปยังตำแหน่งที่มู่จวินฮานยืนอยู่และกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “ท่านอ๋องเดินเข้ามาเอง แค่ถูกลมพัดมิเห็นเป็นอันใดเลยเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานตอบด้วยความมิพอใจ “บัดนี้ชายาของข้ากลั่นแกล้งคนเป็นแล้ว”
“มิถือว่ากลั่นแกล้งเจ้าค่ะ” แสงแดดสาดส่องพาดผ่านไหลของพวกนาง
อันหลิงเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างไรท่านอ๋องมาประลองกับข้าครู่หนึ่งดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“เอ่อ ไม่ดีกว่า” มู่จวินฮานนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เอวของอันหลิงเกอบาดเจ็บ หากทำให้อันหลิงเกอบาดเจ็บอีก เขาก็คงรู้สึกผิดมิน้อย และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขาต้องปวดใจ
ทว่าอันหลิงเกอดื้อมิเลิก “เพราะเหตุใดเจ้าคะ ? ”
“ข้าคิดว่าพวกเราเปลี่ยนเป็นการประลองอย่างอื่นดีกว่า” หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งมู่จวินฮานก็อธิบายให้นางฟัง
“หากท่านอ๋องกล่าวเยี่ยงนี้ คืนนี้ก็มิต้องมาเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอหน้าแดงและทำท่าพร้อมลุย
มู่จวินฮานจนปัญญา เห็นทีไม่ประลองไม่ได้แล้ว
ต่อมาทั้งสองก็ยืนประจันหน้ากัน ยามที่สายลมโบกพัดชุดของอันหลิงเกอก็เผยมาดนักรบหญิงออกมา
อันหลิงเกอออกหมัดอย่างรวดเร็วแต่ก็มิลืมการเคลื่อนไหวที่เท้า นางเข้าโจมตีมู่จวินฮานอย่างว่องไว
มู่จวินฮานเพียงเคลื่อนตัวหลบ แค่ขาข้างเดียวก็ถีบได้แรงมากจนทำให้อันหลิงเกอซวนเซและล้มลงกับพื้นในที่สุด
“อีกรอบ ! ” อันหลิงเกอตะโกนพร้อมกำหมัด มู่จวินฮานได้แต่ถอนหายใจ เด็กคนนี้เปลี่ยนอารมณ์เร็วเสียจริง
“อย่าเอาแต่อ้อมมือให้ข้าเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานฝืนยิ้ม “ได้”
อันหลิงเกอปล่อยหมัดพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบดีว่ามู่จวินฮานยังมิทันได้สู้ การแข่งกับจบลงแล้ว
เพียงกระบวนท่าแรก มู่จวินฮานก็เอาชนะได้อย่างใสสะอาด
อันหลิงเกอกัดฟันและมิสนความเจ็บปวดบนร่างกาย “พวกเรามาต่อกันอีกยก ข้ามิเชื่อ ! ”
ราวกับนางได้เปลี่ยนบทบาทแล้วมิยอมเปลี่ยนกลับ นางไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
“ได้” คราวนี้มู่จวินฮานก็ยังเป็นฝ่ายชนะ
มู่จวินฮานรีบเข้ามาหานางแล้วถามว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ก็ได้เห็นเพียงใบหน้าบูดบึ้งของอันหลิงเกอที่ทำให้เขาปวดใจมิน้อย
มู่จวินฮานกลัวอันหลิงเกอมิพอใจจึงพูดหวานปานน้ำผึ้ง “ข้าฝึกต่อสู้มาตั้งแต่เด็กย่อมแข็งแกร่งเป็นธรรมดา ตอนนี้คนเลวโดนข้ากำจัดไปหมดแล้ว แม้ยังมีเหลืออยู่ ข้าก็จะคอยปกป้องเจ้าเอง”
อันหลิงเกอได้ฟังก็ฉีกยิ้มกว้างออกมาแล้วเอื้อมมือไปจิ้มหน้าผากมู่จวินฮาน “ท่านไปทานน้ำผึ้งมาหรือ ? ช่างรู้จักพูดเอาใจข้าเสียจริง”
…
หลังจากบ่อน้ำร้อนที่เรือนของทัวป๋าถิงฟางสร้างเสร็จแล้ว นางก็มิกล้าทำตัวโอหังอีก
“บัดซบ ! ”
ตอนนี้ทัวป๋าถิงฟางจึงได้พบว่าที่แท้บ่อน้ำของตนแตกต่างจากอันหลิงเกอราวฟ้ากับเหว
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ! หรือท่านอ๋องจงใจ !
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ฟางจูได้ทราบเรื่องนี้ก็หัวเราะออกมาเพราะรู้ตั้งนานแล้วแค่มิบอกเท่านั้น ทัวป๋าถิงฟางจะรู้ตอนนี้ก็ไม่ถือว่าสายเกินไป การที่ทัวป๋าถิงฟางช่วยมู่เหล่าหวางเฟยไว้ก็ควรค่าแก่การหนุนหลังจากมู่เหล่าหวางเฟยเช่นกัน
ตอนนี้เหล่าหวางเฟยล้มป่วยต้องนอนติดเตียง มู่จวินฮานจึงไปเยี่ยมทุกวันและมิได้กล่าวเรื่องออกจากจวนอีก
ทำให้มู่เหล่าหวางเฟยวางใจได้ในที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้นางมิต้องออกไปเพราะถ้าออกไปแล้วจวนแห่งนี้ก็คงกลับไปอยู่ใต้อำนาจของอันหลิงเกอดังเดิม
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้มู่เหล่าหวางเฟยก็พยายามหาวิธีทำให้ตนป่วยหนักกว่าเดิมเพื่อยื้อเวลาให้ได้นานที่สุด เพราะหวังว่ามู่จวินฮานจะไม่นึกถึงเรื่องที่ให้นางออกจากจวนอีก
แม้มู่จวินฮานและอันหลิงเกอรู้ดีว่าคราวนี้มู่เหล่าหวางเฟยตั้งใจทำ แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดออกมา
อันหลิงเกอไม่อยากใช้วิธีนี้ทำให้มู่เหล่าหวางเฟยพ่ายแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นคือนางยังมิอยากใช้มู่จวินฮานเป็นเครื่องมือ
“เหล่าหวางเฟย ฟางจูมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ” ตอนนี้ฟางจูเพิ่งได้เห็นเรื่องตลกที่เรือนทัวป๋าถิงฟางมาจึงเป็นธรรมดาที่จะมาเล่าให้มู่เหล่าหวางเฟยฟัง
“ข้ายังสบายดีอยู่ เจ้ามิต้องเป็นห่วง”
ขณะมองฟางจู มู่เหล่าหวางเฟยก็รู้ผิดที่ตอนนั้นมิอยากมีบุตรสาวอีกสักคน หากมีไว้แล้วตอนนี้ก็คงฉลาดเหมือนอันหลิงเกอและสู้ได้อย่างแน่นอน
ทว่าฟางจูคนนี้มิใช่สายเลือดแท้ ๆ ของนาง ในสายตาของมู่เหล่าหวางเฟยจึงถือว่าเป็นคนที่พึ่งพามิได้
แม้ให้ฐานะเป็นบุตรบุญธรรมแต่ก็เพื่อให้ออกไปทำงานแทนตนด้วยจิตใจภักดีเท่านั้น