บทที่ 1718+1719

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1718 อดีตนั้นสุดจะไขว่คว้า 2

เรือนกายที่เข้ามาขวางฝ่ามือแห่งโทสะนี้ก็คือตี้ฝูอี!

เขาถูกโจมตีทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง ใบหน้าซีดขาวดุจหิมะ มีเลือดไหลที่ริมฝีปาก ทว่ากู้ซีจิ่วที่อยู่ในอ้อมกอดเขากลับอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แม้แต่มุมอาภรณ์สักนิดก็ไม่ถูกทำลาย

มู่อวิ๋นกำลังจะพุ่งตัวไป ตี้ฝูอีก็หันกายกลับไปแล้ว สุ้มเสียงของเขาล่องลอยมาท่ามกลางสายลมอันหนาวเหน็บ “เขาเป็นผู้คุ้มกันของซีจิ่ว เสียมารยาทกับเขาไม่ได้…”

หลงซือเย่ยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม

เพราะอะไร? ท่าทางเศร้าเสียใจของตี้ฝูอีดูเหมือนไม่เสแสร้ง ทว่าเหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนี้? รนหาที่หรืออย่างไร?

เขาเลือดขึ้นหน้า มองดูเรือนกายของตี้ฝูอีจากไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ตะโกนออกไปด้วยความโกรธ “ตี้ฝูอี ทำไมนางต้องรู้จักท่าน?! หากนางไม่รู้จักท่านก็ดี! ท่านหยอกเหย้านาง แล้วทอดทิ้งนางไปอย่างไร้สาเหตุเพื่อให้นางตายใช่ไหม? นางต้องอับโชคเพียงใดถึงพบเจอท่าน?! หากเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง นางต้องไม่อยากรู้จักท่านอีกเป็นแน่!”

เรือนกายตี้ฝูอีโซซัดโซเซ เขาไม่ได้หันหลังกลับมามองอีก เดินต่อไปตามทางแล้ว

หิมะโปรยปรายเต็มท้องฟ้าถาโถมเข้าหาเบื้องหลังที่เดียวดายของเขาจนมองไม่เห็นอีก

ความจริง ไม่เพียงแต่หลงซือเย่ที่มีความสงสัยอยู่เต็มอก แม้แต่สี่ทูตก็เปี่ยมด้วยความสงสัยเช่นกัน…

เพราะอะไร? เหตุใดเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงทำเช่นนี้?

…..

ไม่ว่าสรวงสวรรค์หรือขุมนรก ที่แห่งหนใดก็มิอาจพบพาน

ดวงดาราบนฟากฟ้าเปล่งแสงระยิบระยับ ดวงดาวน้อยใหญ่ดาษดื่น ส่องแสงพร่างพราวยามค่ำคืน

หมู่ดาวมากมายถึงเพียงนี้ ทุกวันล้วนมีล่วงลับดับหายและถือกำเนิดใหม่ทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่สังเกตได้ถึงสิ่งนี้?

ท้องนภาดังโดมโค้งเปล่งประกาย โอบล้อมมันขึ้นไป

เดิมทีมีดาวดวงใหญ่สองดวงเจิดจรัสอยู่ด้านบน ยามนี้ดวงหนึ่งล่วงลับดับหาย ส่วนอีกดวงหนึ่งก็โอนเอนง่อนแง่น…

ทุ่งบุปผาสีคราม ดอกไม้ใบหญ้าพันลึกบานสะพรั่ง

ท่ามกลางดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้ มีเก้าอี้โยกสองตัว ยามนี้เก้าอี้โยกทั้งสองอิงแอบแนบชิดซึ่งกันและกัน ทำให้ทั้งสองคนที่นอนบนเก้าอี้โยกนอนเคียงบ่าเคียงไหล่

คนผู้หนึ่งอาภรณ์ม่วงเกศาดำ คนอีกผู้หนึ่งเกศาดำอาภรณ์ดำ

หนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรี หนึ่งมีชีวี หนึ่งมลาย

นั่นก็คือตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่ว

ตี้ฝูอีโอบกอดนางกึ่งหนึ่ง มือข้างหนึ่งสิบนิ้วสอดประสานกับนาง

นี่คือท่าทางที่พวกเขาทำเป็นประจำตอนรักใคร่กันดี ทว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนี้มานานมากแล้ว

นางเศร้าเสียใจกับการเลิกราครั้งนั้นจนไม่อาจข่มตานอนหลับ ต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับวันคืนที่ไม่มีเขา

เขาก็เจ็บปวดจนไม่อาจหลับนอนได้ราวหัวใจโดนมีดกรีดเช่นกัน ข่มอารมณ์ความนึกคิดที่อยากจะโอบกอดนางไว้

บัดนี้ ในที่สุดเขาก็กอดนางได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไรแล้ว นั่งมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเคียงข้างนางได้แล้ว

เขารู้ดีว่าความจริงแล้วนางก็โหยหาสิ่งนี้เช่นกัน เพียงแต่น่าเสียดาย ตอนที่นางยังอยู่ เขาไม่อาจเติมเต็มความหวังของนางได้ ยามนี้ต่อให้มือของเขาและนางสอดประสานกันแนบแน่นสักเท่าใด นางก็ไม่มีทางรับรู้…

ความเจ็บปวดคล้ายพันเกี่ยวเข้าด้วยกัน เขาทอดถอนใจเบาๆ

“ซีจิ่ว ข้าสอนโหราศาสตร์ให้เจ้าดีหรือไม่? ความจริงข้าอยากสอนให้เจ้านานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าสอน จึงได้ล่าช้าจวบจนวันนี้…” น้ำเสียงตี้ฝูอีนุ่มนวล ศีรษะกู้ซีจิ่วพิงที่ซอกแขนของเขา ท่าทางของทั้งสองสนิทชิดเชื้อกันยิ่งนัก

“ซีจิ่ว มองเห็นดาวดวงใหญ่นั่นไหม? นั่นคือดาวราชัน หมายถึงเทพศักดิ์สิทธิ์ของโลกใบนี้ อืม ดาวดวงนี้ข้าเคยชี้ให้เจ้าดู ตอนนั้นข้าใช้วิชาบางอย่างด้านบน ทำให้มันดูเหมือนสว่างไสวพร่างพราว…ความจริงมันใกล้จะล่วงลับแล้ว…ซีจิ่ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ ตอนนั้นบนท้องฟ้ายังมีดาวที่เจิดจรัสอย่างยิ่งอีกดวงหนึ่ง ตอนนั้นแสงของมันเกือบเทียบเท่าดาวราชันแล้ว เจ้าบอกว่าหวังว่านั่นจะเป็นตัวเจ้าเอง ความจริงมันก็คือเจ้า เจ้าคือดาวราชันดวงใหม่…”

“ซีจิ่ว หนึ่งนภามิอาจมีสองตะวัน ปวงชนมิอาจมีสองราชัน นี่คือข้อกำหนดของโลกใบนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” ตี้ฝูอีแหงนหน้ามองท้องฟ้า น้ำเสียงสั่นเครือ

————————————————————————————-

บทที่ 1719 อดีตนั้นสุดจะไขว่คว้า 3

“ดังนั้นยามเมื่อดาวราชันดวงใหม่ผงาดขึ้นมา ก็ถึงเวลาที่ดาวราชันดวงเก่าต้องร่วงหล่นไป ข้าทราบลิขิตสวรรค์ตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนแล้ว ทราบว่าอีกร้อยปีให้หลังตนจะต้องร่;งหล่น และดาวราชันดวงใหม่จะถือกำเนิดขึ้น ข้าต้องอบรมเลี้ยงดูดาวราชันดวงใหม่ให้ผงาดขึ้นมา ปลดเปลื้องภาระหน้าที่บนกาย จากนั้นก็ล่วงลับไปอย่างไร้ห่วงไร้อาลัย…”

“ข้ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้มานับหมื่นปีแล้ว ประจักษ์แจ้งในการเกิดตายเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นสำหรับข้าแล้วการล่วงลับไม่มีค่าอันใดเลย และไม่เก็บมาใส่ใจ มีเพียงสิ่งเดียวที่เสียใจอยู่บ้างคือ ข้าพบเห็นเรื่องราวรักใคร่กันแทบเป็นแทบตายมามากมายถึงเพียงนั้น ทว่าตนกลับยังไม่เคยชมชอบผู้ใดอย่างแท้จริงเลยสักคน อันที่จริงปรารถนาจะลิ้มชิมรสชาติของความรัก รสชาติของการสูญเสียการควบคุมยิ่งนัก…”

น้ำเสียงตี้ฝูเยือกเย็นเรียบเรื่อย “แต่ว่าสตรีนับหมื่นนับพันบนโลกนี้กลับไม่เคยมีเลยสักนางที่ก้าวเข้ามาในหัวใจของข้าได้ ข้าก็ไม่ต้องการเช่นกัน…ต่อมาข้าเฝ้ารอให้ดาวราชันดวงใหม่จุติเสมอมา ยามที่คุณหนูกู้ซีจิ่วแห่งจวนแม่ทัพถือกำเนิดได้มีลางบอกเหตุ มีแสงเจ็ดสีปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง…ยามนั้นข้าสงสัยว่านางจะเป็นดาวราชันดวงใหม่ ดังนั้นจึงไปดูเสียหน่อย พบว่าคุณสมบัติของนางดาษดื่นทั่วไป เพียงแต่รูปโฉมไม่เลวเลย และบนร่างก็ไม่มีแสงเจ็ดสีปรากฏขึ้นอีก ข้าทดสอบด้วยวิธีมากมายอยู่หลายครา ได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นเดิม นางเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง…และข้าก็มองออกว่าเมื่อนางอายุสิบสองปีจะมีเคราะห์ใหญ่หลวงที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย ความเป็นไปได้ที่จะฝ่าด่านเคราะห์ได้มีน้อยนิดยิ่ง…”

ตี้ฝูอีเล่า พลางห่มเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งลงบนร่างกู้ซีจิ่ว “ยามนั้นถึงแม้ข้าจะรู้สึกได้ว่านางไม่ใช่ดาวราชันดวงใหม่ แต่ก็ยังกอดความหวังหนึ่งในหมื่นเอาไว้ บังเอิญว่ายามนั้นมารดาของนางต้องการปกป้องนางอย่างละเอียดครอบคลุมพอดี ขอร้องให้ข้าหมั้นหมายกับบุตรสาวนาง…ยามนั้นข้าไม่ใส่ใจเรื่องหมั้นหมายเลย มีก็ได้ไม่มีก็ได้เท่านั้น อีกอย่างข้าก็รู้สึกว่านางคงฝ่าด่านเคราะห์ตอนอายุสิบสองปีไม่ได้ ดังนั้นต้องรับปากมารดาของนาง หมั้นหมายกับนางที่อยู่ในวัยแบเบาะ ผนึกรูปโฉมของนางเอาไว้ ทำให้หน้าผากของนางปรากฏปาน…เงื่อนไขของสัญญาหมั้นหมายนั้นรุนแรงยิ่งนัก ข้าไม่คิดว่านางจะสามารถฝ่าข้ามไปได้…แต่ว่า สิ่งที่ข้าคิดไม่ถึงก็คือ นางฝ่าด่านเคราะห์ในยามอายุสิบสองนั้นไปไม่ได้จริงๆ หลังจากพุ่งชนกำแพงจนสิ้นชีพก็ถูกเจ้าเข้าสิงสู่ร่างได้สำเร็จ…”

“บางทีนี่อาจเป็นชะตาฟ้าลิขิต สวรรค์กำหนดให้เจ้าปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบเช่นนี้ ยังจำครั้งแรกที่พวกเราพบกันได้หรือไม่? ข้าจำแลงกายเป็นรูปปั้นหยกเพื่อฝึกวรยุทธ์ พอเจ้าเข้ามาก็เปลื้องอาภรณ์ข้าไป ซ้ำยังลูบคลำข้าอีก…”

“ยามนั้นข้าขุ่นเคืองและขบขันยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่ข้าถูกผู้อื่นแทะโลมเช่นนี้ ดังนั้นข้าต้องการควานหาตัวเจ้า คิดจะล้างแค้นเจ้า…”

“ซีจิ่ว ยามนั้นเจ้าลื่นไหลประหนึ่งปลาไหลน้อยก็มิปาน ใช้กลยุทธ์เอาตัวรอดสารพัดวิธีไม่ซ้ำกัน ดึงดูดให้ข้าสนใจใคร่รู้มากยิ่งขึ้น…เป็นครั้งแรกที่ข้าสนใจใคร่รู้ในตัวคนผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุนี้ตัวข้าในยามนั้นจึงวอแวเจ้าอย่างไม่ละวาง เคยเล่นลูกไม้กับเจ้าอยู่หลายครา อยากเห็นว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร…และท่าทีในแต่ละครั้งของเจ้าล้วนทำให้ข้ามองเจ้าอย่างชื่นชม…บางทีข้าอาจจะหวั่นไหวกับเจ้าตั้งแต่ยามนั้นแล้วกระมัง? ต่อมาเจ้าอ้างตัวเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ข้าจำเป็นต้องทดสอบเจ้าแบบส่วนตัวและต่อหน้าสาธารณชน อันที่จริงก่อนที่จะทดสอบเจ้าข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่…แต่ข้าไม่อาจก้าวข้ามขั้นตอนทดสอบไปได้ ยามนั้นข้าชอบพอเจ้าแล้ว และไม่อยากให้เจ้ามีอุบัติเหตุเหนือความคาดหมายจริงๆ ดังนั้นตอนที่ทดสอบบนแท่นข้าจึงผ่อนผันให้เจ้า ตัดสินว่าถึงแม้เจ้าจะมิใช่สานุศิษย์สวรรค์ ทว่าเป็นศิษย์ของเทพศักดิ์สิทธิ์…”

ตี้ฝูอีเงยหน้ามองดวงดาวบนฟากฟ้า ความคิดคล้ายจะหวนกลับไปสู่ช่วงเวลานั้น “ซีจิ่ว ตอนนั้นข้าก็ชอบเจ้าแล้ว ยังนึกอยู่ว่ารอหลังจากเจ้าออกมาจากป่าทมิฬได้ จะแต่งกับเจ้า ครองคู่โบยบินกับเจ้า ตัวข้าในยามนั้นคำนวณแล้วว่าข้ายังมีอายุขัยอยู่อีกเกือบร้อยปี และเจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา คุณสมบัติก็ไม่นับว่าดีนัก มีชีวิตอยู่ได้สักร้อยแปดสิบปีก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว…”

————————————————————————————-