ภาคที่ 4 ตอนที่ 137 ขอให้ฟังข้าพูด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในห้องของนายหญิงผู้เฒ่าฟางตกสู่ความเงียบ

 

 

“เจ้าใจกล้านักจริงๆ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางฉับพลันยิ้มเอ่ยขึ้น “มิน่าถึงกล้าทำเรื่องที่คิดไม่ถึงมากมายเช่นนั้น”

 

 

คุณหนูจวินยิ้มด้วยแล้ว

 

 

“ก็แค่ปรารถนาความยุติธรรมเท่านั้น” นางเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้า

 

 

“ความยุติธรรมที่ว่า ย่อมมีได้มีเสีย พูดขึ้นมาท่านตาทวดของเจ้าก็เป็นชาวบ้านตัวเปล่าคนหนึ่งที่เลี้ยงชีพด้วยผืนดิน ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ วิ่งไปตะวันออกวิ่งไปตะวันตกก็ไม่แน่ว่าจะได้กินอิ่ม เจอปีแล้งข้าวหยากหมากแพงลูกหลานในบ้านก็เลี้ยงไม่ไหว ท่านยายทวดของเจ้าล้มป่วยไม่มีเงินเชิญหมอไม่มียาให้กินจึงตายไปทั้งอย่างนั้น” นางเอ่ย จากนั้นลุกนั่งตัวตรงยื่นมือชี้กวาดรอบด้าน “แล้วดูวันนี้สิ ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านหลังนี้เอาออกไปแลกก็ทำให้ครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่งมีกินมีดื่มได้ทั้งปีหรือกระทั่งทั้งชีวิต”

 

 

แล้วนางก็มองไปด้านนอกอีก

 

 

“กินดื่มอาหารโอชาสวมทองสวมเงิน ที่หยางเฉิงนี่ ที่ซานซีนี่ วันนี้อำนาจชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือใต้หล้านี้ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง”

 

 

มุมปากนางอมยิ้มมองไปทางคุณหนูจวิน

 

 

“เจินเจิน นี่ยุติธรรมใช่หรือไม่? ข้าไม่รู้สึกว่าเจ้าแผ่นดินคนนี้มีความผิดอันใด นี่เป็นทางที่ตระกูลฟางเลือกเอง”

 

 

พูดถึงตรงนี้สีหน้าของนางค่อยๆ เคร่งขรึม

 

 

“ต่อให้เป็นทางตายก็ต้องเดินต่อไป”

 

 

สีหน้าของนางแน่วแน่ แต่คุณหนูจวินก็มองเห็นความสิ้นหวังจางๆ อยู่ในนั้นด้วย ใช่แล้วเจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตาย ไยไม่ใช่ความสิ้นหวังแบบหนึ่ง

 

 

ใต้แผ่นฟ้าไม่มีผืนดินใดไม่ใช่ของจักรพรรดิ บนผืนดินไม่มีผู้ใดไม่ใช่ข้าของจักรพรรดิ เจ้าแผ่นดินผู้นี้ต้องการต้อนเจ้าให้จนมุม เจ้าจะหนีได้อย่างไรอีก

 

 

แทนที่จะดิ้นรนอย่างไร้ค่าลำบากไปถึงคนรุ่นหลัง ไม่สู้ตนเองเลือกไปตายอย่างเด็ดเดี่ยว บางทีเช่นนี้อาจเหลือทางรอดทางหนึ่งไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้

 

 

นางกล่าวโทษนายหญิงผู้เฒ่าฟางผิดไปหน่อยแล้ว คุณหนูจวินดวงตาขัดเคืองเล็กน้อย

 

 

“ท่านยาย ท่านยังไม่เข้าใจความหมายของข้า” นางเอ่ย “ข้าจะบอกว่าเจ้าแผ่นดินคนนั้นที่ท่านเชื่อไม่ใช่เจ้าแผ่นดินองค์นี้ตอนนี้ ท่านลืมแล้ว ราชโองการนี้เป็นอดีตฮ่องเต้ประทานให้”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองไปหานาง

 

 

“ใช่แล้ว อดีตฮ่องเต้ประทานให้ แต่ล้วนเป็นเจ้าแผ่นดิน มีสิ่งใดแตกต่าง?” นางเอ่ย

 

 

“แน่นอนย่อมแตกต่าง เจ้าแผ่นดินก็ไม่ใช่คนเดียวกัน ข้าไม่คิดว่าเจตนาของอดีตฮ่องเต้จะต้องการให้ข้าราชบริพารที่ทำงานให้ตาย” คุณหนูจวินเอ่ย “เรื่องที่เจ้าแผ่นดินองค์นี้ทำวันนี้ ขัดกับเจตนาของอดีตฮ่องเต้ ดังนั้นข้าถึงบอกว่าท่านเชื่อผิดแล้ว”

 

 

เช่นนี้หรือ?

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางนั่งตัวตรงมองนาง พินิจอยู่บ้าง

 

 

“ทำไมเจ้าคิดเช่นนี้?” นางเอ่ยถาม “เจ้ารู้อะไร?”

 

 

เพราะฮ่องเต้พระองค์นี้ตอนนี้สังหารเชษฐา บีบอดีตฮ่องเต้ให้ตายชิงราชบัลลังก์

 

 

“เพราะเขาเป็นคนเลวคนหนึ่ง” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหลุดหัวเราะ

 

 

“เจ้าช่าง…” นางเอ่ย

 

 

เป็นเด็กน้อย คำสุดท้ายนั่นไม่ได้เอ่ยออกมา

 

 

แม่นางคนนี้ทำเรื่องมากมายเช่นนี้ จะเป็นเด็กน้อยจริงๆ ได้เสียที่ไหน นางอยู่ที่เมืองหลวงเนิ่นนาน พบกับฮ่องเต้ก็หลายครั้ง บางทีคงมีเรื่องใดทำให้นางคิดเช่นนี้กระมัง

 

 

“เจินเจิน…” นางสีหน้าอ่อนโยนลุกนั่งตัวตรงอยู่บ้าง “เรื่องนี้…”

 

 

“ท่านยาย ร้านแลกเงินนี่ของตระกูลฟางเปิดแทนอดีตฮ่องเต้ใช่หรือไม่?” คุณหนูจวินรับช่วงคำของนาง เอ่ยถามตรงๆ “พวกท่านทำการค้าแทนอดีตฮ่องเต้”

 

 

ประโยคนี้ในที่สุดก็เผยกระจ่างแล้ว

 

 

แม้ทุกคนล้วนรู้กระจ่างอยู่แก่ใจหมดแล้วก็ตาม

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบ

 

 

“นี่ไม่ใช่ท่านบอกข้า นี่เป็นสิ่งที่ข้าคาดเดา นี่เดาง่ายนัก มีราชโองการของอดีตฮ่องเต้ มีเรื่องที่พวกท่านอยู่ดีๆ มั่งคั่งเมื่อยี่สิบปีก่อน” คุณหนูจวินไม่ได้ต้องการคำตอบของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง เอ่ยต่อทันที

 

 

ใช่แล้ว เอาราชโองการออกมา ความลับของตระกูลฟางก็เผยออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมหลายปีเช่นนี้นางจึงเก็บรักษาไว้ตลอดไม่เผยสู่ข้างนอก จนกระทั่งเพื่อตามหาจวินเจินเจิน

 

 

 นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้ม

 

 

“ข้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องไม่ดีอะไร ดังนั้นที่ท่านตา ท่านลุงและเฉิงอวี่พบการทำร้ายตามต่อกันถึงแลดูแปลก” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น มองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง “ท่านยาย ท่านถึงขั้นไม่คิดว่าเจ้าแผ่นดินต้องการให้พวกท่านตายสักนิด เพราะนี่เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุและไม่สมผล”

 

 

ใช่แล้ว นายหญิงผู้เฒ่าฟางแววตาผิดหวัง

 

 

“ดังนั้น ท่านยาย ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางต้องดื้อดึงไม่ตาย พวกเราตายได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องตายอย่างกระจ่าง” คุณหนูจวินขยับเข้าไปใกล้กุมหัวเข่าของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง มองนางด้วยสีหน้าจริงใจ “รู้ว่าทำไมตนเองตาย รู้ว่าใครต้องการให้พวกเราตาย ไม่อาจสับสนเลอะเลือน เช่นนี้ไม่แน่ว่าจะจงรักภักดีกับเจ้าแผ่นดิน ตรงกันข้ามเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะขัดบัญชาของเจ้าแผ่นดิน บัญชาเจ้าแผ่นดินของอดีตฮ่องเต้”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนาง สีหน้าในที่สุดก็อ่อนโยนลงบ้าง

 

 

“เจินเจิน แต่วันนี้อดีตฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว” นางเอ่ย

 

 

“คนจากไปชื่อยังคง ห่านบินผ่านเสียงยังอยู่ ต่อให้อดีตฮ่องเต้ไม่อยู่ แต่ไม่ใช่ฮ่องเต้ปัจจุบันพูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

เอ่ยคำพูดเด็กน้อยอีกแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มขมขื่นอีกครั้ง

 

 

“แต่ไม่ใช่เขาพูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นหรือ? แล้วจะอย่างไรได้เล่า?” นางเอ่ย

 

 

“แน่นอนทำอะไรได้อยู่ หากไม่ใช่หวาดกลัวพวกท่าน เขาไยต้องระมัดระวังลับๆ ล่อๆกระทำการ?” คุณหนูจวินเอ่ย “สิ้นเปลืองความคิดจะเอาราชโองการไป แล้วยังระมัดระวังปานนี้มาให้ท่านเปิดคลังสวรรค์ เห็นชัดยิ่งว่ากลัวสิ่งใดอยู่”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเปลี่ยนไปมาชั่วครู่

 

 

“ถ้าเช่นนั้น แล้วควรทำอย่างไร?” นางถาม

 

 

“เรื่องอื่นตอนนี้ไม่ทราบ แต่ตอนนี้ ของที่พวกเขาต้องการให้ไม่ได้เด็ดขาด” คุณหนูจวินตอบ กุมมือของนายหญิงผู้เฒ่าฟางแน่น

 

 

เช่นนี้หรือ นายหญิงผู้เฒ่าฟางครุ่น่คิด

 

 

“ต่อให้ใช้การแย่งสมบัติตระกูลมายื้อ นี่ก็ยื้อได้ไม่นานเท่าไร” นางลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น

 

 

ในที่สุดก็อ่อนลงแล้ว คุณหนูจวินอดไม่ได้โล่งอก บนหน้าปรากฏรอยยิ้ม

 

 

“ยื้อได้เท่าไรก็เท่านั้น นอกจากนี้การยื้อนี้บางทีอาจบังคับให้พวกเขาทำเรื่องอื่นออกมา เผยช่องว่างมากกว่าเดิม” นางเอ่ย “สรุปคือวันนี้พวกเราอยู่ในที่ลับ พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง พวกเราไม่ใช่เนื้อปลาให้ผู้ใดเชือดอีกต่อไปแล้ว”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางถอนหายใจไม่เอ่ยอีกต่อไป

 

 

“อีกประการ ท่านยาย” คุณหนูจวินกุมมือนางอีกครั้ง “ข้าไม่ถามเรื่องครั้งนั้นที่ท่านไม่อาจพูดกับผู้อื่นว่าเป็นเรื่องอันใด ข้าดูคลังสวรรค์ได้ไหม?”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มือที่ถูกนางกุมไว้พลันกำด้วย

 

 

คุณหนูจวินไม่ปล่อยมือ ขยับเข้าใกล้นายหญิงผู้เฒ่าฟางอีกครั้ง

 

 

“ข้าเพียงอยากดูซิว่าที่พวกเขารีบร้อนเช่นนี้ระวังเช่นนี้จะเอาอะไรไป” นางเอ่ย “และสิ่งนี้ก็พอดีเป็นสิ่งที่พวกเราข่มขู่พวกเขาได้ด้วย”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบงันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้ม

 

 

“ที่จริงก็ไม่มีอะไร ก็แค่สิ่งที่เจ้าเดาได้พวกนั้น” นางเอ่ย “ครั้งนั้นที่ตกลงกันก็คือ ตระกูลฟางมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความลับนี้ได้ ยามข้าตายถึงบอกเฉิงอวี่ได้”

 

 

นางพูดขึ้นคล้ายตัดสินใจอะไรบางอย่าง ปลดพวงกุญแจลงมา จากนั้นมองไปหาคุณหนูจวิน

 

 

“เจ้าไม่ใช่คนตระกูลฟาง”

 

 

……………………………………….

 

 

ราตรีมาเยือน ไฟโคมของตระกูลฟางหม่นแสงกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง ดุจดังความรู้สึกของคนตระกูลฟางหลายวันนี้

 

 

พี่น้องครอบครัวเดียวกันแก่งแย่งสมบัติตระกูลอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกไม่ดียิ่งนัก

 

 

เรือนข้างฝั่งตะวันออกด้านนี้ยิ่งไม่เห็นเงาคน ไฟโคมคล้ายจะไม่มี แต่ที่นี่กลับเป็นสถานที่ซึ่งระวังเข้มงวดที่สุด ไม่มีใครเข้าใกล้ได้โดยง่าย เพราะที่นี่ก็คือที่ซึ่งทางเข้าคลังสวรรค์อยู่

 

 

คบเพลิงในเรือนฉับพลันสว่าง น้ำมันส่งเสียงเผาไหม้ดังฉี่ฉี่ ส่องเงาร่างหนึ่งเฒ่าหนึ่งเยาว์สองคน

 

 

“ที่จริงนี่ก็เป็นครั้งที่สองที่ข้าเข้าคลังแห่งนี้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย คบไฟส่องบนสีหน้าที่ติดจะย้อนคำนึง “ครั้งแรกเป็นตอนท่านตาของเจ้าใกล้ตาย”

 

 

“ครั้งนี้พวกเราใครก็จะไม่ตาย” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้ม ก้มตัวหมุนกุญแจบนหินเขียวแผ่นใหญ่หลายหน ยื่นมือจับลูกบอลสลักลายที่คาบอยู่ในปากสิงโตสลักบนหินเขียวแผ่นใหญ่ออกแรงกดทีหนึ่ง

 

 

หินเขียวแผ่นใหญ่ฉับพลันจมลงไป เผยโพรงอันหนึ่ง ข้างในไม่ได้ดำมืดมิด สิ่งที่แตะสายตากลับเป็นแสงสว่างจางๆ

 

 

“มาเถอะ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางพูด ตนเองจับสองฝั่งไถลลงไปช้าๆ ก่อน

 

 

ความลับของตระกูลฟาง ในที่สุดก็จะเห็นแล้ว ไม่ พูดให้ชัดคือความลับของพระอัยยิกา ความลับของฉีอ๋อง หากไม่ได้ฟื้นกลับมา นางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ ตระกูลธรรมดาแห่งหนึ่งเช่นนี้จะเกี่ยวพันกับราชวงศ์

 

 

คุณหนูจวินชูคบไฟกระโดดเข้าไปอย่างว่องไว

 

 

…………………