ภาคที่ 4 ตอนที่ 138 เชิญมาดูกับข้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงตึกทีหนึ่ง คุณหนูจวินเหยียบถึงพื้นดิน

 

 

ปากโพรงห่างจากคลังใต้ดินไม่ลึก สูงแค่หนึ่งคนกว่าเท่านั้น ใต้เท้าเป็นแผ่นหินเรียบ

 

 

“ด้านนี้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางอยู่ห่างไปหนึ่งก้าว กำลังยื่นมือผลักแผ่นหินสลักฉลุลายแผ่นหนึ่งขยับ แสงสว่างเลือนรางลอดออกมาจากเบื้องหลังนั่น

 

 

แผ่นหินถูกผลักเปิดก็เป็นบันได คุณหนูจวินชูคบไฟ เดินตามนายหญิงผู้เฒ่าฟางลงไป

 

 

หลังบันไดไม่มีกลไกกั้นขวางอันใดอีกต่อไป เป็นห้องเก็บของที่ตั้งชั้นวางอยู่

 

 

“จะเอากลไกอะไรเล่า ก็แค่ห้องเก็บของห้องหนึ่ง ไม่ลึกลับเช่นนั้นอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการหรอก” นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มเอ่ย ยืนอยู่หน้าชั้นไม้อันหนึ่งพลางดึงลิ้นชักเอาไม้ปัดฝุ่นด้ามหนึ่งออกมาอย่างพึงพอใจนัก “สิ่งนี้ครั้งก่อนข้าใส่เข้าไป ยังคิดอยู่ว่าครั้งหน้าตอนมาอีกหนจะปัดกวาดสักหน่อย”

 

 

นางพูดพลางปัดที่ชั้นไม้นิดหนึ่ง ฝุ่นปลิวฟุ้ง ทำให้นางอดไม่ได้ไอค่อกแค่ก

 

 

คุณหนูจวินกำลังมองไข่มุกราตรีที่ฝังอยู่ในกำแพงสี่ด้านประหนึ่งดวงดาราดาษดา แสงเลือนรางทั้งคลังนี่ก็เป็นพวกมันส่องออกมานี่เอง ได้ยินเสียงไอก็หันหน้าไปมองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

“ท่านยาย ท่านคนเดียวปัดกวาดไม่ไหวหรอก” นางเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางย่อมรู้ วางไม้ปัดฝุ่นกลับไปใหม่อีกหน

 

 

“ปัดกวาดก็ไม่จำเป็นหรอก” นางเอ่ย “ไม่มีใครรังเกียจเงินที่สกปรก”

 

 

สายตาคุณหนูจวินกวาดในห้อง ใช่แล้ว แม้ปกคลุมด้วยฝุ่น ก้อนเงินแท่งเงินลูกเงินที่วางบนชั้นวางชั้นแล้วชั้นเล่าเหล่านี้ก็ทำให้คนใจเต้นเร็วขึ้นเช่นกัน

 

 

แต่ นางไม่สนใจอะไรเงิน

 

 

“อยู่ด้านนั้น” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย ยื่นมือชี้มุมตะวันตกเฉียงใต้

 

 

คุณหนูจวินไม่ลังเลเดินเข้าไป ที่วางไว้ทั้งมุมตะวันตกเฉียงใต้ล้วนเป็นก้อนเงิน แต่ละชั้นๆ แต่ละกองๆ มองความแตกต่างอันใดไม่ออก

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินเข้ามา ยื่นมือหยิบก้อนเงินก้อนหนึ่งออกมาจากช่องหนึ่งในนั้น พลิกกลับมา

 

 

ใต้ก้อนเงินประทับตราสี่เหลี่ยมตราหนึ่ง

 

 

“เต๋อเซิ่งชาง” คุณหนูจวินรับมาอ่าน

 

 

ก้อนเงินของร้านแลกเงินทุกร้านย่อมมีตราประทับของตนเอง ตราประทับ คุณหนูจวินสีหน้าอึ้งเล็กน้อย ความลับอยู่ที่ตราประทับรึ?

 

 

นางยื่นมือหยิบก้อนเงินขึ้นมาจากในช่อง เต๋อเซิ่งชางหนึ่งก้อน เต๋อเซิ่งชางสองก้อน…

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่พูดไม่จาแล้วก็ไม่เคลื่อนไหวอีก เพียงมองอย่างนิ่งสงบ

 

 

ไม่ทราบพลิกไปถึงก้อนที่เท่าไร มือของคุณหนูจวินพลันหยุด ยังคงเป็นก้อนเงิน ส่วนก้นยังคงมีตราประทับดังเดิม เพียงแต่ตราประทับนี่ คำจารึกในตราประทับไม่ใช่เต๋อเซิ่งชางเหมือนก่อนหน้านี้ จำนวนอักษรมากอยู่บ้าง

 

 

“ท้องพระคลังหลวง” นางอ่าน “รัชศกต้าเหยียนปีที่สามเดือนแปดห้าสิบตำลึง”

 

 

เงินหลวง บอกว่าเงินของท้องพระคลังชัดเจน ท้องพระคลังของราชวงศ์แม้เงินของท้องพระคลังฟังดูแล้วที่มาใหญ่ยิ่ง แต่ในเมื่อเป็นประเภทหนึ่งของเงินหลวง เก็บซ่อนไว้ในร้านแลกเงินก็ปกติยิ่ง

 

 

นี่ค่าให้ระมัดระวังลับๆ ล่อๆ เช่นนี้เชียวรึ?

 

 

“ดังนั้นถึงบอกว่าของเหล่านี้ที่จริงไม่นับว่าเป็นความลับอันใดสักนิด” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย

 

 

แต่ความลับที่แท้จริงคือเรื่องราวเบื้องหลังเงินเหล่านี้ อาศัยเพียงเงินไม่อาจบอกชัดสิ่งใดได้

 

 

คุณหนูจวินก็คิดถึงจุดนี้เช่นกัน ผิดหวังอยู่บ้างวางเงินกลับไป

 

 

“ดังนั้นนอกจากราชโองการ อีกสิ่งหนึ่งก็คือเงินหลวงเหล่านี้?” นางเอ่ยถาม

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขานอืม

 

 

“ยังมีเทียบเชิญแผ่นหนึ่ง” นางเอ่ย “ความหมายไม่ต่างจากราชโองการมาก เชิญทางการกับทหารเคลื่อนพลได้ แต่สิ่งนั้นใช้ได้เพียงครั้งเดียว”

 

 

คุณหนูจวินนึกขึ้นมาได้ ทหารที่ซุ่มโจมตีคนที่เดิมทีซุ่มโจมตีพวกเขาเหล่านั้นตอนระหว่างทางจากหรู่หนานกลับหยางเฉิงนั่นเอง

 

 

นางค้นบนชั้นต่ออีกครู่หนึ่ง เงินหลวงเหล่านี้แทรกอยู่ในก้อนเงินของเต๋อเซิ่งชางเป็นจำนวนไม่น้อย

 

 

“เดิมทีมากกว่าตอนนี้อีก” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย “เริ่มแรกใช้ไปมากอยู่ ต่อมากิจการใหญ่ขึ้นก็ไม่ต้องแล้ว”

 

 

หรือก็คือจะบอกว่าเงินหลวงกลายเป็นเงินส่วนตัว เงินให้กำเนิดเงิน เงินซัดเงิน หลังหลายปีเช่นนี้ เทียบเชิญเคลื่อนทหาร ราชโองการล้วนเก็บคืนไปแล้ว เก็บเงินหลวงเหล่านี้ที่เหลือกลับไปอีก ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฟางกับราชวงศ์ก็กำจัดร่องรอยหมดสิ้นแล้ว รอนายหญิงผู้เฒ่าฟางตายไป ความลับนี่ก็ไม่มีคนล่วงรู้อีกต่อไป

 

 

“แม้เงินเหล่านี้ไม่นับว่าเป็นหลักฐานอะไรก็ไม่อาจให้พวกเขาได้” คุณหนูจวินวางก้อนเงินในมือลง สีหน้าแน่วแน่เอ่ย “สรุปคือสิ่งที่คนเลวอยากได้ไม่อาจให้ได้”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหลุดหัวเราะ วางก้อนเงินในมือกลับไปด้วย

 

 

“ได้” นางเอ่ย “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะฟังเจ้าสักครั้ง ไม่เช่นนั้นการแย่งสมบัติตระกูลของพวกเรานี่ก็เป็นเด็กเล่นเกินไปแล้ว ยิ่งเหมือนเล่นละคร ก่อเรื่องต่อไปสักพักเถอะ”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ขอบคุณท่านยายที่เชื่อข้า” นางเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มแล้ว

 

 

“เจ้ายังต้องการดูอีกไหม?” นางเอ่ย มองรอบคลังเงิน

 

 

นางไม่ได้มาดูเงินเสียหน่อย คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

 

 

“พวกเรากลับไปเถอะ” นางเอ่ย “หารือกันหน่อยว่าจะทำอย่างไรต่อไป”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหมุนตัวเดินไปด้านนอกด้วยกันกับนาง จากนั้นก็มองรอบด้านอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่บ้างอีกหน

 

 

“เงินด้านในนี้อายุมากกว่าพวกเจ้าอีก” นางเอ่ยขึ้น “เป็นสมัยท่านตาทวดเจ้าตอนนั้น เวลานั้นข้ายังเล็กอยู่เลย”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

ท่านตาทวดของจวินเจินเจินเวลานั้นก็ประมาณสมัยพระอัยกาของนาง เวลานั้นพระบิดาก็ยังเล็ก นางยังไม่เกิด

 

 

“…ได้ยินท่านตาทวดของเจ้าบอกว่า เวลานั้นลำบากนัก สงครามโกลาหล ชาวจินเพิ่งรุกราน ความหวาดผวาที่ฮ่องเต้ถูกจับไปยังไม่จาง ขนเงินมากเช่นนี้จากซานตงมาถึงซานซี นั่นหวาดผวาจริงๆ…” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยต่อ ฉับพลันคุณหนูจวินข้างกายก็ไม่ก้าวเดินแล้ว นอกจากนี้มือที่พยุงแขนนางไว้ก็คล้ายสั่นเล็กน้อย

 

 

เป็นอะไรไป?

 

 

กลัวแล้วหรือ?

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองไปอย่างประหลาดใจ สายตที่ปรับเข้ากับแสงมุกราตรีในห้องแล้วมองเห็นใบหน้าที่กลายเป็นซีดเผือดใต้แสงมุกชั้นหนึ่งเคลือบของสตรีข้างกาย

 

 

“เป็นอะไรไป?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางรีบเอ่ย กวาดมองรอบด้านอย่างไม่ทันรู้ตัวอีกครั้ง

 

 

คลังใต้ดินเพราะอยู่ใต้ดิน เข้าใกล้ปรโลก ชาวบ้านมักมีเรื่องเล่าว่ามีภูตผีเรื่องประหลาดออกมา เด็กนี่คงไม่โดนอะไรเข้าหรอกนะ?

 

 

คุณหนูจวินมองนาง ริมฝีปากสั่นระริก

 

 

“รัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” นางพ่นออกมาไม่กี่คำ

 

 

รัชศกไท่เหยียนปีที่สาม? นายหญิงผู้เฒ่าฟางงงงันนิดหนึ่ง อักษรสลักบนก้อนเงินเมื่อครู่

 

 

“เวลานั้นคือรัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” คุณหนูจวินมองนางเสียงสั่นเอ่ยขึ้นอีก

 

 

เวลานั้น? นายหญิงผู้เฒ่าฟางงงงันวูบหนึ่งอีกครั้ง เมื่อครู่ที่นางพูด…

 

 

“อ้อใช่แล้วล่ะ ตอนท่านตาทวดของเจ้าจากซานตงมาถึงซานซีก็คือรัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” นางรีบเอ่ย แล้วออกแรงตบหลังของคุณหนูจวิน “เจ้าเคยได้ยินบิดาเจ้าเล่าไหม? ชีวิตเวลานั้นไม่ง่ายอยู่บ้าง โกลาหลยิ่ง แต่ก็ผ่านไปแล้ว ไม่ต้องกลัว…”

 

 

คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบ คุณหนูจวินก็ยกเท้าเดินไปข้างนอก ก้าวเท้าของนางเร่งรีบและโซเซอยู่บ้าง คล้ายที่นี่มีหมาป่าหิวโหยพยัคฆ์ร้ายอันใด คิดแต่จะหนีออกไป

 

 

คงไม่ใช่เจอสิ่งชั่วร้ายเข้าจริงๆ กระมัง?

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางก้าวเร็วไวเอาไม้ปัดฝุ่นด้ามนั้นออกมาจากในลิ้นชักที่ชั้นวางข้างประตู เคาะบนชั้นวางแรงๆ ทีหนึ่ง

 

 

“อย่ามาหลอกเด็กบ้านข้านะ!” นางคิ้วตั้งตาดุเริ่มด่าขับไล่

 

 

คุณหนูจวินที่ก้าวเท้าพุ่งขึ้นบันไดอยู่ฝีเท้าชะงัก นางรู้จักสิ่งนี้ เคยเห็นกับอาจารย์ สตรีชนบทตอนที่คิดว่าเด็กๆ พบสิ่งชั่วร้ายจะด่าเสียงดัง เช่นนี้จะขู่ไล่สิ่งชั่วร้ายไปได้

 

 

คุณหนูจวินมองนายหญิงผู้เฒ่าฟางเท้าเอวตีไม้ปัดฝุ่นด่าเสียงดังอยู่ในคลังเงิน สีหน้าอึ้งงันวูบหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดสิ่งใดก็ไม่ได้พูด หันหน้าก้าวไวๆ เดินออกไป

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางอย่างไรก็ไม่วางใจ โยนไม้ปัดฝุ่นทิ้งตามออกไป รอนางปิดประตูคลังใต้ดินเรียบร้อย ปีนขึ้นไปกลับพบว่าข้างนอกไม่มีเงาของคุณหนูจวินแล้ว

 

 

อาจกลับห้องไปก่อนแล้ว แต่เมื่อนายหญิงผู้เฒ่าฟางสอบถามถึงได้รู้ว่าคุณหนูจวินออกจากจวนไปแล้ว

 

 

“ดึกป่านนี้ไปที่ไหน?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางประหลาดใจเอ่ยถาม

 

 

พ่อบ้านส่ายศีรษะ พวกเขาไม่กล้าขวางยิ่งไม่กล้าถามคุณหนูจวิน

 

 

ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? นายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้วสีหน้ากังวลวิตก

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

เสียงปังทีหนึ่ง ประตูถูกชนเปิด จูจั้นที่เพิ่งถอดเสื้อผ้าตกใจกระโดดลุกขึ้น แน่นอนไม่ได้ระแวงอันตรายความเป็นความตาย เพราะคนที่ฝ่าข้ามการป้องกันที่เขาวางไว้ได้อย่างชำนาญเช่นนี้ไม่มีทางมีคนอื่น

 

 

“ข้าว่าเจ้าคิดทำอะไร…” เขาจะเอาผ้าห่มคลุมบนร่างโดยสัญชาติญาณ แต่ยังสายไปก้าวหนึ่งคุณหนูจวินพุ่งเข้ามาคว้าแขนของเขาไว้แล้ว

 

 

“ข้ารู้ ข้ารู้ว่านั่นคือสิ่งใดแล้ว” นางเอ่ยเสียงแหบ

 

 

สีหน้าของนางซีดขาว น้ำเสียงสั่นเทา บนร่างฉาบลมเย็นต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมหายใจจากจมูกปากร้อนระอุ พุ่งโจมตีจูจั้นที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยกัน

 

 

ท่าทางนี่ของนางไม่เคยเห็นมาก่อน คล้ายครั้งนั้นที่ไหวอ๋องประชวรอยู่บ้าง

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น? นางถึงตกใจจนเป็นเช่นนี้?

 

 

จูจั้นสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง พลิกมือกุมหัวไหล่นาง

 

 

“อะไร?” เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม

 

 

คุณหนูจวินมองเขา

 

 

“สิ่งที่คนพวกนั้นจะเอาไปคือเงิน” นางเอ่ย “เงินเหล่านั้นเป็นเงินหลวง”

 

 

จูจั้นอืมตอบ

 

 

“แล้วอย่างไร?” เพียงชั่วความคิดเขาก็คิดออกแล้ว เอ่ยเสียงเข้ม

 

 

คุณหนูจวินริมฝีปากสั่นมองเขา

 

 

“ท่านรู้เรื่องรัชศกไท่เหยียนปีที่สามไหม?” ในที่สุดนางก็เอ่ยหลายคำนี้ออกมา

 

 

ดวงตาจูจั้นไม่แม้กระทั่งกะพริบ

 

 

“รัชศกไท่เหยียนปีที่สาม หลังทำสงครามเกือบสิบปี ในที่สุดชาวจินก็ถอยออกจากที่ราบภาคกลางแล้วเริ่มเจรจาสงบศึก ยินดีคืนเจ้านายและข้าราชบริพารเช่นฮ่องเต้เหรินเซี่ยวที่ถูกจับตัวไปกักขังไว้ที่แคว้นจิน” เขาเอ่ย “แต่ท้ายที่สุดชาวจินก็ฉีกข้อตกลง สังหารฮ่องเต้เหรินเซี่ยว ฉีกการเจรจาสงบศึก”

 

 

คุณหนูจวินมองเขา ก้มศีรษะ

 

 

“ทำไม?” จูจั้นเอ่ยถามเสียงเข้มอีกครั้ง

 

 

“เงินหลวงที่เก็บอยู่ในคลังของตระกูลฟาง คือของรัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” คุณหนูจวินคล้ายไม่อยากมองเขา ก้มศีรษะเอ่ยเสียงแหบ

 

 

จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง รอนางเอ่ยต่อ

 

 

คุณหนูจวินกลับคล้ายยากเปิดปาก ยิ่งก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม

 

 

“รัชศกไท่เหยียนปีที่สาม ท้องพระคลังหลวงหล่อเงินหลวงเพียงชุดเดียว” นางเอ่ยเสียงแหบ พูดถึงตรงนี้ก็เอ่ยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

 

 

จูจั้นตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ฉุกคิดได้

 

 

“ไม่มีทาง หรือว่า…” เขาหลุดปากร้อง

 

 

คุณหนูจวินคล้ายจะฝังศีรษะไปที่หน้าอก ทว่ายังไม่พอจึงใช้สองมือปิดหน้าอีก

 

 

จูจั้นสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว นั่งอยู่บนเตียงเนิ่นนานถึงพ่นคำหนึ่งออกมาใส่อากาศ

 

 

“ระยำ”

 

 

…………………………