ภาคที่ 4 ตอนที่ 139 ความจริงที่ไม่กล้าคิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คุณหนูจวินคิดออกแล้ว ที่จริงนางเคยเห็นเงินนี่มาก่อน

 

 

ตอนยังเล็กมากนางค้นมั่วซั่วในห้องหนังสือของพระบิดา ค้นเจอเงินก้อนหนึ่ง เพราะได้ยินนางกำนัลทั้งหลายพูดว่าตัดเงินไปใช้ นางจึงเอากรรไกรเตรียมจะลองดู

 

 

พระบิดาพบเข้าจึงตะโกนหยุดนาง

 

 

แต่พระบิดาไม่ได้ตกอกตกใจที่นางเล่นกรรไกรเช่นนั้นเหมือนพี่สาวกับนางกำนัลแม่นมทั้งหลาย

 

 

“เงินก้อนนี้ไม่อาจตัดได้” เขาเพียงเอ่ยอย่างอ่อนโยน

 

 

เงินตัดแล้วก็ยังเป็นเงิน ทำไมตัดไม่ได้เล่า?

 

 

“เพราะนี่เป็นเงินของรัชศกไท่เหยียนปีที่สาม” พระบิดาเอ่ยอย่างจริงจังอยู่บ้าง “จิ่วหลิงเอ๋ย เจ้าต้องจำไว้ นี่คือเงินของรัขศกไท่เหยียนปีที่สาม”

 

 

รัชศกไท่เหยียนปีที่สามทำไมหรือ?

 

 

“นั่นคือความอัปยศ” พระบิดาเอ่ยเสียงเข้ม มองก้อนเงินในมือ “เงินนี้เป็นเงินที่หล่อขึ้นมาเพื่อไถ่พระปัยกาของเจ้ากลับมาโดยเฉพาะ”

 

 

สำหรับนางที่อายุยังน้อยนิดแล้ว ยังไม่รู้จักว่าพระปัยกาคือใคร แล้วพระปัยกาอยู่ที่ไหน? ไถ่กลับมาหมายความว่าอย่างไร?

 

 

“พระปัยกาของเจ้าถูกชาวจินจับตัวไป” พระบิดาเอ่ย

 

 

นี่สำหรับนางเป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่ง พระราชวังใหญ่เช่นนี้ กระทั่งวังหลังนางยังเดินออกไปไม่ได้ ถึงกับมีคนจับตัวพระปัยกาไปได้?

 

 

พระบิดาถูกคำพูดของนางทำให้หัวเราะแล้ว หัวเราะพลางเต็มไปด้วยความเศร้าสลด

 

 

“พระปัยกาของเจ้าไม่ได้ถูกจับไปที่นี่ เขาไปแนวหน้าทำสงคราม” พระองค์เอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักอีก “ต่อให้ไม่ได้อยู่แนวหน้า แคว้นล่มแล้ว กำแพงสูงคฤหาสน์กว้างยังขวางอะไรได้อีกเล่า? คนที่ถูกจับไปไม่ใช่แค่พระปัยกาของเจ้า ยังมีข้าราชบริพารมากมาย แล้วยังมีอนุชาพระองค์หนึ่งของพระอัยกาเจ้าด้วย”

 

 

ในวังที่แท้มีคนมากปานนั้นเชียว? ยามปกติคนที่มักพบในวังก็มีเพียงครอบครัวของพวกนางแล้วก็ครอบครัวของพระอัยกา อ้อ ยังมีท่านอ๋องอนุชาของพระอัยกาอีกหลายคน ปีก่อนเคยพบครั้งหนึ่ง บอกว่าอยู่ในสถานที่ต่างๆ กัน ไม่อาจมาเมืองหลวงบ่อยๆ ได้

 

 

หลังจากนั้นพระบิดายังพูดอะไรอีกบางอย่าง แต่สำหรับนางที่อายุยังน้อยนิดคนนั้นน่าเบื่อยิ่งนัก ฟังไม่เข้าใจก็ไม่จำ หลังจากนั้นนึกย้อนไปก็จำได้เพียงสีหน้าเศร้าสลดและโกรธแค้นของพระบิดาเท่านั้น

 

 

“จิ่วหลิง เจ้าต้องจำไว้ รัชศกไท่เหยียนปีที่สามคือความอัปยศ จำไว้ให้มั่น อย่าให้มีความอัปยศเช่นนี้อีก ต้องทำให้แคว้นแข็งแกร่งทหารเข้มแข็ง”

 

 

เสียงของพระบิดาในความทรงจำทอดยาว ห้องหนังสือปกคลุมด้วยสีเหลืองแห้งเหี่ยวของฤดูใบไม้ร่วง เงินที่ถูกนางใช้กรรไกรทิ่มจนเป็นรอยแตกรอยหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือส่องแสงหม่นๆ ออกมา

 

 

“เวลานั้นมอบเงินทองแพรพรรณแก้ชาวจิน ชาวจินกลับตัดรอนทำลายข้อตกลง บอกว่าชาวโจวเชื่อไม่ได้ ปฏิเสธไม่คืนฮ่องเต้เหรินเซี่ยว ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวตระหนกประชวรหนักสวรรคตในเมืองของชาวจิน” จูจั้นเอ่ยช้าๆ ทำลายความเงียบสงบที่ทำให้คนหายใจไม่ออกในห้อง” “ทุกคนล้วนด่าชาวจินว่าไร้ยางอายไม่รักษาสัญญา ใต้หล้าประชาชนเดือดดาล ที่แท้…”

 

 

เสียงของเขาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง ในห้องตกสู่ความเงียบงันอีกหน แต่คุณหนูจวินรู้ความหมายที่เขาจะพูด

 

 

ที่แท้ที่ชาวจินด่าถูกต้องแล้ว เงินที่ตกลงกันแล้วกลับไม่ได้ส่งให้ชาวจิน แต่มาถึงซานตง มาถึงในมือของตระกูลฟาง กลายเป็นกิจการแห่งหนึ่งให้กำเนิดเงินมากกว่าเดิม

 

 

และทุกสิ่งนี่ปิดบังคนทั้งใต้หล้า ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวไม่อาจไถ่กลับคืน ถูกชาวจินทำร้ายจนตาย พวกเขาราชวงศ์ตระกูลฉู่โศกเศร้าที่เสียครอบครัวรวมถึงได้รับความอัปยศ พร้อมกันนั้นก็ได้รับความสงสารจากคนทั้งใต้หล้า

 

 

อัปยศหนอ

 

 

มือของคุณหนูจวินแทบจะจิกใบหน้าลงมา นางไม่มีหน้าพบคนแล้ว ร่างกายนางสั่นเทา

 

 

ใครทำ? ฉีอ๋อง? พระอัยกา? พระบิดารู้ไหม?

 

 

ทำไมต้องทำเช่นนี้?

 

 

“ข้าขบคิดไม่เข้าใจ ข้าขบคิดไม่เข้าใจ” เสียงนางงึมงำประหนึ่งสะอื้น

 

 

จูจั้นมองนาง

 

 

“เจ้าขบคิดไม่เข้าใจจริงหรือ?” เขาเอ่ย เสียงเข้มต่ำแต่ไม่ลังเลสักนิด “ข้าได้ยินว่าตอนนั้นคนที่ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวโปรดที่สุดคือซู่อ๋อง”

 

 

คุณหนูจวินฝังศีรษะต่ำลงอีก

 

 

นางไม่ได้อายุน้อยแล้ว ภายหลังเติบใหญ่ก็รู้แล้วว่าพระปัยกาเป็นใคร รู้จักพระญาติทั้งหลายมากมายที่ไม่เคยพบในพระราชวังแต่มีชื่ออยู่

 

 

ซู่อ๋อง เป็นโอรสองค์ที่แปดของพระปัยกา เป็นน้องแปดของพระอัยกาของนาง แม้ได้รับบรรดาศักดิ์อ๋องแต่ไม่ได้ออกไปอยู่ข้างนอก รั้งอยู่ในพระราชวังมาตลอด บอกว่าเพราะอายุน้อย ที่จริงเห็นชัดว่าได้รับความโปรดปราน แต่ก็เพราะเช่นนี้ เมื่อชาวจินบุกตีเมืองแตกบุกพระราชวังจึงชิงพระองค์ไปด้วย

 

 

ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวสวรรคต ฉีกการเจรจาสงบสุข สองแคว้นทำสงคราม ข้าราชบริพารเช่นซู่อ๋องย่อมไม่มีเวลาสนใจ ต่อมาไม่นานนักก็ประชวรสวรรคตด้วยแล้ว

 

 

ใช่แล้ว นางไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว นางรู้ว่า ‘ฮ่องเต้เหรินเซียนโปรดปรานซู่อ๋อง’ ประโยคนี้ของจูจั้นหมายความว่าอย่างไร หากฮ่องเต้เหรินเซี่ยวยังอยู่ ผู้ที่เถลิงราชย์เป็นฮ่องเต้สืบทอดราชบัลลังก์ไม่แน่ว่าจะเป็นพระอัยกาของนาง

 

 

พระอัยกาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ เพราะประเทศไม่อาจไร้เจ้าแผ่นดินแม้หนึ่งวัน แต่ประเทศก็ไม่อาจมีเจ้าแผ่นดินสองพระองค์ได้เช่นกัน ถ้าเช่นนั้นหากรับฮ่องเต้เหรินเซี่ยวกลับมาแล้วพระอัยกาจะทำอย่างไรเล่า? คืนตำแหน่งแก่ฮ่องเต้เหรินเซี่ยว? คืนแล้วหลังจากนั้นเล่า? ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวยังจะเลือกพระอัยกาเป็นฮ่องเต้พระองค์ต่อไปไหม?

 

 

ดังนั้น…

 

 

ไม่ใช่นางขบคิดไม่เข้าใจ นางไม่กล้าคิด ถูกคำพูดประโยคนี้ของจูจั้นบีบให้ไม่อาจไม่คิด หนาว ปลายนิ้วแตะถูกผ้าห่ม จึงยื่นมือกระชากมาห่มตัวเองไว้เสีย

 

 

หนาวจริงเชียว หนาวนักเชียว

 

 

จูจั้นได้แต่สวมเพียงกางเกงตัวใน ท่อนบนเปลือยเปล่านั่งอยู่บนเตียง ถลึงตา

 

 

“แม้ฟังดูแล้วน่ากลัวนัก” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “แต่ราชวงศ์ไม่มีบิดาบุตรพี่น้อง…”

 

 

คุณหนูจวินฉับพลันแหวกผ้าห่มโผล่ศีรษะออกมา

 

 

“ถ้าเช่นนั้นท่านพ่อก็ไม่มีสิ่งใดน่าสงสาร เขาถูกทำร้ายก็ไม่มีสิ่งใดควรค่าให้โกรธ” นางเอ่ย “ฉีอ๋องแย่งบัลลังก์นี่ของเขาไปก็ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง บัลลังก์นี่เดิมทีก็แย่งชิงมา ล้วนเป็นคนเลว ล้วนแย่งชิง ล้วนเข่นฆ่า ..ล้วนสู้เดรัจฉานยังไม่ได้”

 

 

“เจ้าดูเจ้าสินี่ไร้เหตุผลแล้ว” จูจั้นเอ่ยเสียงเข้ม “ตอนสมองเจ้าไม่แจ่มใสก็ไม่ต้องคิดแล้ว”

 

 

“สมองข้าแจ่มใสยิ่ง” คุณหนูจวินตะโกน

 

 

“เจ้าสติแจ่มใสบัดซบน่ะสิ” จูจั้นโต้กลับอย่างไม่เกรงใจสักนิด

 

 

สารเลวคนนี้! คุณหนูจวินถลึงตามองเขา

 

 

“หากเจ้าสติแจ่มใสก็ควรตระหนักว่าพระอัยกาของเจ้า พระบิดาของเจ้ากับฉีอ๋อง ไม่ใช่คนเดียวกัน สิ่งที่พวกเขาทำเป็นสิ่งที่แทนตัวเองได้เท่านั้น” จูจั้นเอ่ย “เจ้าไม่อาจเพราะเรื่องที่พวกเขาทำผิด ก็คิดว่าพ่อเจ้าตายไม่ผิด ตายสมควรแล้วได้”

 

 

“ข้าไม่ได้บอกว่าพระบิดาของข้าสมควรตาย” คุณหนูจวินเอ่ย ทิ้งศีรษะลง

 

 

นางเพียงไม่รู้ว่าพระบิดาทราบเรื่องนี้หรือไม่

 

 

“บิดาเจ้ารู้หรือไม่รู้ เป็นคนละเรื่องกับที่เขาถูกทำร้าย” จูจั้นเอ่ย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ตอนนี้เจ้าต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เจ้าต้องการทำคือสิ่งใด เจ้าจะแก้แค้นให้บิดาของเจ้า ส่วนความลับน่าละอายนานาในการผลัดเปลี่ยนบัลลังก์ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้ายุ่งได้รวมถึงยุ่งไหว”

 

 

คุณหนูจวินห่อผ้าห่ม เหตุผลนางล้วนเข้าใจ แต่…

 

 

“จูจั้น” นางเงยหน้ามองบุรุษผู้นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า “ท่านรู้สึกรังเกียจไหม?”

 

 

จูจั้นยิ้มแล้ว

 

 

“เรื่องน่ารังเกียจในใต้หล้ามากไป” เขาเอ่ย “ข้ารังเกียจไม่ไหวหรอก แล้วข้าก็ไม่ว่างรังเกียจด้วย”

 

 

คุณหนูจวินมองเขาจากนั้นก็ยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี่น่าดูกว่าร่ำไห้ไม่เท่าไร

 

 

“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องคิดแล้ว ตอนนี้เจ้าอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไป เลอะเทอะอยู่แน่ะ” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ข้าไม่คิดแล้ว” นางเอ่ยบอก “ข้าง่วงแล้ว ข้านอนก่อนล่ะ”

 

 

นางพูดจบก็โถมตัวนอนลงบนเตียง กระชากผ้าห่มคลุมปิดศีรษะ

 

 

จูจั้นหวิดถูกเบียดร่วงลงไป มองคุณหนูจวินที่ห่อตัวเองเป็นก้อนอย่างอึ้งๆ

 

 

“นี่เป็นเตียงของข้า” เขาเอ่ย

 

 

แต่คุณหนูจวินคล้ายหลับไปแล้วไม่สนใจสักนิด

 

 

จูจั้นได้แต่เอาตัวเองลงมา ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วงมีความเย็นอยู่เจือจาง เวลานี้เขาเพิ่งพบว่าตนเองยังคงเปลือยท่อนบน ฉับพลันหน้าแดง ลนลานอยู่บ้างกระชากเสื้อจากบนราวมาสวม

 

 

แต่เวลานี้สวมไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว ดูไม่ใช่ดูไปหมดแล้วรึ

 

 

“เติงถูจื่อ” เขาพึมพำประโยคหนึ่งแล้วมองเตียงที่ถูกยึดครองไป เตียงไม่ใหญ่ แต่สตรีคนนั้นห่อผ้าห่มจนหดกลายเป็นก้อน ดูไปแล้วเล็กกระจ้อยทั้งยังน่าสงสาร

 

 

เขาถอนหายใจแผ่วเบา นั่งลงบนพื้นข้างเตียง ในห้องตกสู่ความเงียบสงบ ค่ำคืนยิ่งมืดลง

 

 

……………………