ตอนที่ 260 กฎระเบียบ / ตอนที่ 261 โถงยางหรง

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 260 กฎระเบียบ 

 

 

เซียงฉือตามซูกงกงไปถึงห้องหนึ่งในสวน ห้องนี้ตั้งอยู่ตรงกลางอันเป็นสถานที่ใช้เชื่อมเพื่อติดต่อไปมา เป็นครั้งแรกของเซียงฉือที่ได้เห็นการวางตำแหน่งห้องเช่นนี้จึงรู้สึกแปลกใจกับสถานที่นี้ 

 

 

ซูกงกงผลักประตู ด้านในเป็นห้องสำหรับผู้หญิง รอบห้องเป็นม่านสีชมพู เบื้องหน้าเป็นโต๊ะไม้แกะสลักจากไม้สาลี่ การตกแต่งภายในเป็นแบบห้องของกุ้ยเหริน ซึ่งทำให้เซียงฉือตกตะลึง 

 

 

“ซูกงกง นี่หมายความว่ากระไร” 

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไปด้านใน ก็พบว่าหลังผ้าม่านบางเป็นเตียงขนาดใหญ่ ภายในห้องมีกลิ่นหอมรัญจวน ในโถงห้องมีแจกันเสียบกิ่งดอกท้อตั้งอยู่ การจัดแต่งล้วนเป็นตามแบบห้องส่วนตัวของหญิงสาว งดงามชวนหลงใหล 

 

 

ซูกงกงเห็นเซียงฉือยืนขมวดคิ้ว ท่าทางอึดอัดอยู่กับที่ตรงหน้าประตูห้องนอนจึงยิ้มแล้วพูดว่า 

 

 

“แม่นางเซียงฉือเป็นขุนนางงานอักษรขั้นที่เก้า ตามหลักแล้วไม่สามารถพักห้องตามแบบแผนนี้ได้ แต่แม่นางต้องเข้าใจว่าห้องนี้ฝ่าบาทสามารถเสด็จมาได้ทุกเวลา และแม่นางก็ต้องพร้อมที่จะรับเสด็จทุกขณะด้วย” 

 

 

“อีกทั้งห้องนี้เชื่อมต่อจากห้องบรรทมของฝ่าบาทที่ตำหนักหน้า ส่วนตำหนักหลังคือโถงยางหรงที่พระสนมตำหนักต่างๆ ใช้ถวายงานบรรทม ไม่ว่าเมื่อใดที่ฝ่าบาทประสงค์เรียกหาเจ้าก็จะต้องปรากฏตัวในทันที ที่ข้าพูดมาเจ้าเข้าใจหรือไม่” 

 

 

เซียงฉือได้ยินดังนั้น ด้วยความเป็นสตรีใบหน้าจึงแดงก่ำและใจก็เต้นแรงไม่อาจจะโต้ตอบได้จึงเพียงหน้าแดงก้มศีรษะต่ำแล้วพ่นลมออกจมูกเบาๆ 

 

 

ซูกงกงเห็นท่าทางนางเช่นนั้นแล้วก็ส่ายหน้าพูดว่า 

 

 

“แม่นางเป็นคนฉลาดข้าดูออก อีกทั้งยังแตกต่างจากพวกผู้หญิงที่มารับใช้ที่นี่ ข้าจึงจะบอกกับเจ้าเพิ่มเติมว่า ฝ่าบาททรงทุ่มเทกับราชกิจมากและมักทรงพักผ่อนอยู่ในตำหนักหน้า หากเจ้ามีน้ำใจก็จงช่วยแบ่งเบาพระราชภาระของพระองค์ให้มาก” 

 

 

“เมื่อเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้วก็ควรรู้ว่าแตกต่างจากสตรีทั่วไป อย่าได้เอ่ยปากบอกพระราชอุปนิสัยความเคยชินของฝ่าบาทต่อผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่เป็นการนำภัยมาสู่ตัว” 

 

 

“เพราะข้าเห็นเจ้าเป็นคนของตำหนักอวี้หยวน คิดว่าจะต้องถูกกุ้ยเฟยเค้นถามทุกอย่างเป็นแน่ หากเจ้าไม่มีธุระก็พูดคุยกับพวกผู้หญิงในวังหลังให้น้อยไว้ พึงรู้ว่าวังหลังนี้อย่างไรก็เป็นวังหลังของฝ่าบาท” 

 

 

ซูกงกงมีใบหน้ายิ้มแย้มดูเป็นผู้มีเมตตาเสมอมา เห็นใครก็ยิ้มให้ ในเวลานี้ก็ลดความเข้มงวดลงอีก 

 

 

เซียงฉือเห็นแล้วก็เพิ่มความเคารพขึ้นอีกหลายส่วน 

 

 

“กฎระเบียบของตำหนักเจิ้งหยาง ข้าจะจดจำให้จงดี” 

 

 

ซูกงกงมีเจตนาชี้แนะนางซึ่งนางก็รับไมตรี เมื่อเก็บสัมภาระขึ้นและจัดเรียงเสื้อผ้าติดตัวมาเรียบร้อยแล้ว นางจึงหยิบเอกสารที่ซูกงกงวางไว้ให้ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด 

 

 

ซูกงกงพูดฟังดูง่าย แต่การจะเดินเหินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทเร่งเรียกตัวแล้ว เวลานี้เซียงฉือควรจะได้อยู่อบรมฝึกฝนเรื่องกฎระเบียบกับใต้เท้าเหอ 

 

 

แต่ตอนนี้กลับโยนหนังสือพิธีการเอาไว้เล่มหนึ่งเพื่อให้นางศึกษาเอง 

 

 

เซียงฉือก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยง วันนี้เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่ง นางขยี้ตาที่รู้สึกล้าบิดขี้เกียจ แล้วท้องก็ร้องครืดคราดขึ้น 

 

 

นางกุมท้องอย่างเขินๆ เพิ่งจะเข้ามาที่นี่วันแรกจึงไม่รู้ว่าจะไปรับประทานอาหารได้ที่ไหน นางค่อยๆ ย่องออกไปแล้วมองไปทางด้านหลังตำหนัก เห็นแสงสว่างไสวไปทั่วแต่ไม่มีเงาผู้คน เมื่อเดินเข้าไปในโถงยางหรงที่ด้านหลังตำหนัก ประตูทางเข้าเป็นผ้าม่านสีแดงอร่ามตา นางเป็นข้าราชสำนักสตรีคนใหม่ เครื่องแบบและป้ายห้อยเอวทำให้นางกำนัลที่เฝ้าประตูไม่กล้าขวางทาง 

 

 

ความจริงนางตั้งใจจะไปถามว่าจะกินข้าวได้ที่ไหน แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก นางกำนัลทั้งสองฟากก็พากันถอยออกไปก่อนแล้ว 

 

 

เซียงฉือรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียง แล้วเดินเข้าไป 

 

 

เบื้องหลังผ้าม่านสีแดงมีไอน้ำแผ่คลุมหนาทึบ ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นหอมเย็นของดอกมะลิ ในฤดูกาลนี้หาดอกมะลิได้ยากยิ่ง นางรู้สึกว่ากลิ่นนี้หอมชวนดมจึงเดินก้าวเข้าไปอีก 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 261 โถงยางหรง 

 

 

เซียงฉือมองซ้ายแลขวาแล้วเดินเข้าไปในห้อง นางไม่เห็นใครสักคนในที่นั้น ที่ศาลาริมน้ำขนาดใหญ่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ร่วงหล่น 

 

 

นางเดินเข้าไปใกล้แล้วรีบหยิบกลีบดอกไม้ที่ร่วงลงมากลีบหนึ่งขึ้นสูดดมกลิ่นของมัน 

 

 

แล้วพริ้มตาเอ่ยขึ้นยิ้มๆ 

 

 

“หอมจังเลย แต่ไม่รู้ว่าดอกอะไร” 

 

 

“ของที่ฝ่าบาทใช้ ล้วนเป็นของดีๆ ทั้งนั้น” 

 

 

เซียงฉือเมื่อเห็นในห้องไม่มีใครจึงพูดเองเออเองอยู่คนเดียว ไม่คิดว่าจู่ๆ จะมีเสียงคนพูดขึ้นที่ด้านหลัง 

 

 

“นั่นเป็นดอกกุหลาบ เจ้าไม่รู้จักก็เป็นเรื่องปกติ” 

 

 

เซียงฉือได้ยินเข้าก็ตกใจพรวดพราดลุกขึ้นยืน นั่นเป็นเสียงของผู้ชาย สมองของเซียงฉือนึกถึงฮ่องเต้ขึ้นก่อนเป็นขณะแรก 

 

 

และย่อมไม่กล้าชักช้า รีบคุกเข่าลงที่ด้านข้างฟุบลงกับพื้นพูดขึ้นอย่างลนลาน 

 

 

“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขา ไม่ทราบว่าฝ่าบาทประทับอยู่ที่นี่จึงได้เสียมารยาท ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วยเพคะ” 

 

 

เซียงฉือหันกายกลับมาโดยที่ไม่ทันเห็นแม้เงาก็รีบคุกเข่า นางหมอบต่ำอยู่บนพื้น ดวงตามองเห็นแต่เพียงรองเท้ายาวสีดำคู่หนึ่งเบื้องหน้า บนนั้นปักเมฆมงคลด้วยด้ายทอง เป็นงานที่ประณีต คงจะสวมใส่สบายทีเดียว 

 

 

เซียงฉือมองดูรองเท้าคิดจนเหม่อลอย 

 

 

เป็นเช่นนั้นอยู่ชั่วขณะ คนที่ถูกเซียงฉือเรียกว่าฝ่าบาทก็ตกตะลึง จากนั้นปิดปากหัวเราะเบาๆ เซียงฉืองุนงง เสียงนี้ฟังดูคุ้นหู แล้วเสียงหัวเราะก็ยิ่งดังขึ้น 

 

 

เซียงฉือจึงทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมองดูบุรุษเบื้องหน้า 

 

 

นางขมวดคิ้ว มองดูผู้ชายตรงหน้า ความหวาดหวั่นในดวงตาแวบหายไปแล้ว ทันใดก็ถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้น จากนั้นถอยหลังลงก้าวหนึ่งจ้องมองผู้ชายเบื้องหน้า เอ่ยขึ้นอย่างสงสัยและไม่สู้พอใจ 

 

 

“เหตุใดเป็นท่าน” 

 

 

“ที่นี่คือโถงยางหรงของฝ่าบาท ท่านกล้าเข้ามาโดยพลการ ท่านเป็นใครกันแน่ เพียงสวมเสื้อผ้าชิ้นเดียวก็กล้ามาอยู่ที่นี่ ไม่กลัวถูกใครเห็นเข้าหรืออย่างไร” 

 

 

เซียงฉือพูดขึ้น ฝ่ายตรงข้ามหยุดหัวเราะนางแล้ว ชายเบื้องหน้าคนนี้คือหรงฉู่ที่เซียงฉือรู้จักมักคุ้น ผู้ชายที่ช่วยนางจับหิ่งห้อยคนนั้น 

 

 

นางยังคงจดจำความดีของเขาได้ตลอดมา 

 

 

หรงฉู่กอดแขนมองดูเซียงฉืออย่างนึกสนุก เห็นนางลอยหน้าลอยตาสลับบทบาทจากแขกเป็นเจ้าบ้านเสียเอง 

 

 

“เจ้าไม่ต้องถามข้า เจ้าล่ะมาทำอะไรที่นี่ อ้อ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาชื่ออวิ๋นเซียงฉือ” 

 

 

หรงจิงมองดูนางแล้วถามกลับอย่างรู้สึกสนุก เซียงฉือยอมจำนนไม่คิดจะโต้คารมเสียดสี นางมองดูการแต่งกายของเขาแล้วพูดว่า “หรงฉู่ ถ้าไม่รู้ว่าท่านเป็นองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาท คงต้องสงสัยว่าท่านเป็นฝ่าบาทเสียแล้ว” 

 

 

เมื่อเซียงฉือเห็นว่าเป็นหรงฉู่จึงปล่อยวางความคิดแล้วนั่งลงที่ข้างสระน้ำ เลือกเก็บองุ่นที่ข้างๆ จากที่อยู่ในสุด เมื่อจัดองุ่นเข้าที่เหมือนเดิมแล้วก็โยนไปให้หรงฉู่หลายลูกแล้วดึงเขานั่งลง 

 

 

หรงฉู่ฟังคำพูดของนางอย่างรู้สึกแปลกใหม่ วันนี้เขาได้สั่งห้ามคนนอกรบกวนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดนางยังเข้ามาได้ ตอนเขากลับเข้าตำหนักเจิ้งหยางได้รับรายงานจากซูกงกงว่าข้าราชสำนักสตรีงานอักษรมารายงานตัวแล้ว 

 

 

ซึ่งหรงจิงย่อมจะดีใจ แต่เขาออกไปข้างนอกมาทั้งวันจึงรู้สึกเหนื่อย จึงคิดจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยให้เรียกข้าราชสำนักสตรี แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนาง ทั้งยังได้มาพบกับนางที่นี่อีกด้วย 

 

 

ส่วนคำพูดของนางเมื่อครู่ แม้เซียงฉือจะเพียงพูดติดปากออกไป ทว่าเขากลับต้องการจะได้คำตอบ เขาอยากรู้ว่าถ้าหากนางรู้ว่าเขาไม่ใช่ทหารองครักษ์ต๊อกต๋อยแต่เป็นประมุขของไพร่ฟ้าคนปัจจุบันแล้ว จะมีท่าทีอย่างไร 

 

 

เขาถอดรองเท้า เดินมาทั้งวันในชุดแต่งกายแบบคุณชายทั่วไปและเพิ่งจะได้กลับมา ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่น เขาจึงได้ปลดพวกเครื่ององค์ระเกะระกะสุดจะทนแต่ละอย่างออกไป