บทที่ 383 ไม่มีคนกลางได้ไหม

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 383 ไม่มีคนกลางได้ไหม

นี่ไม่ใช่คำเปรียบเปรย

ร่างกายของเด็กหนุ่มที่ ‘ลุกเป็นไฟ’ หมายความว่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของหลินเป่ยเฉิน กำลังมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาจริงๆ

บัดนี้ เด็กหนุ่มมีสภาพเหมือนมนุษย์คบเพลิงอย่างไรอย่างนั้น

“ฟู่ ฟู่…”

“เชี่ย ท่านเทพี ได้โปรดช่วยดับไฟให้ข้าน้อยก่อน”

หลินเป่ยเฉินกระโดดโหยงเหยง พยายามใช้ปากเป่าดับไฟ ก่อนร่ำร้องด้วยความตื่นกลัว

แล้วเปลวไฟดับหรือไม่?

ไม่เลย

มิหนำซ้ำ มันยังลุกโชนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านเทพีขอรับ ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วย… เอ๊ะ”

หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาเพราะสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง

เป็นไปได้อย่างไรกัน?

ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย?

หลินเป่ยเฉินก้มมองฝ่ามือ หน้าอก ช่วงท้อง ต้นขาและเท้าของตนเอง

ทุกตำแหน่งมีเปลวไฟลุกโชน

แต่นอกจากเสื้อผ้าของเขาที่ถูกเผาไหม้แล้ว ไม่มีเส้นขนบนตัวของหลินเป่ยเฉินจะถูกเผาไหม้เลยสักเส้นเดียว

ซ้ำร่างกายของเขาสามารถปรับตัวกับความร้อนได้อย่างรวดเร็ว

ทำให้ในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินไม่รู้สึกร้อนอย่างที่คิดอีกแล้ว

และเขาก็ไม่ได้เจ็บปวดอีกด้วย

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หลินเป่ยเฉินยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น สิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือ…

นี่เป็นพลังปราณธาตุ!

 เขาสามารถเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้อีกครั้งแล้วหรือ?

แต่ทำไมมันไม่ใช่พลังปราณธาตุน้ำเหมือนครั้งที่แล้ว?

พลังปราณธาตุที่เขาเปิดได้ในครั้งนี้…

คือพลังปราณธาตุไฟ?!

มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

ต่อให้หลินเป่ยเฉินมีความรู้ด้านทฤษฎีการฝึกวิทยายุทธ์ต่ำเตี้ย แต่เขาก็ยังพอรู้เรื่องราวเหล่านี้อยู่บ้าง

พลังปราณธาตุของแต่ละบุคคล ไม่ใช่สิ่งที่จะสุ่มขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล เพราะมันคือพลังปราณธาตุที่อยู่ในตัวบุคคลผู้นั้นมาตั้งแต่เกิด

หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ มันเป็นสิ่งที่สวรรค์ได้ลิขิตไว้ตั้งแต่แรก

เมื่อเปิดได้พลังปราณธาตุชนิดไหน พลังปราณธาตุชนิดนั้น ก็จะอยู่ติดตัวไปจนตาย

ดังนั้น การที่หลินเป่ยเฉินเปิดพลังปราณธาตุในครั้งแรกเป็นพลังปราณธาตุน้ำ ครั้งนี้เขาก็สมควรได้พลังปราณธาตุน้ำเช่นเดิม

แต่เพราะเหตุใด ครั้งนี้เขาถึงเปิดได้พลังปราณธาตุไฟขึ้นมาล่ะ?

แบบนี้มันไม่ปกติแล้ว

หรือว่าในร่างกายของเขาจะมีพลังปราณธาตุอยู่ถึง 2 ชนิด?

หรือว่าร่างกายของเขาจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา?

หลินเป่ยเฉินรีบก้มมองสำรวจร่างกายของตนเองด้วยความตกตะลึง

มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่?

เด็กหนุ่มพบว่าเขาก็ยังเป็นเขาคนเดิม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

หรือจะเป็นเพราะว่าเทพีกระบี่เกิดความสับสน หรือไม่ก็ความจำเสื่อม จนลืมไปว่าครั้งที่แล้วเขาเปิดได้พลังปราณธาตุน้ำ?

หลินเป่ยเฉินไม่รู้คำตอบ

หลินเป่ยเฉินไม่กล้าถาม

ก็จะให้เขาพูดว่าอย่างไรได้เล่า?

เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกพลังปราณธาตุด้วยหรือ?

หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายอีกครั้ง

ต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้ เขามีพลังเทียบเท่าปรมาจารย์ระดับที่ 3 เปลวไฟบนร่างกายจึงลุกโชนสว่างไสวเหมือนมังกรเพลิง ถึงแม้จะดูน่าหวาดกลัว แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลินเป่ยเฉินน่าจะสามารถควบคุมได้

เด็กหนุ่มสูดหายใจลึก ลองโคจรพลังควบคุมปราณธาตุไฟ เหมือนที่เขาเคยใช้พลังควบคุมปราณธาตุน้ำมาก่อน

บนมือของเขาปรากฏลูกบอลไฟลูกหนึ่งลุกโชนสว่างไสว

หลินเป่ยเฉินลองลดระดับความร้อนแรงของเปลวไฟที่พุ่งทะลุขึ้นมาจากรูขุมขนบนผิวหนัง

เปลวไฟหดตัวลงไปจนดับสนิท

แต่เมื่อเขาลองโคจรพลังลมปราณอีกครั้ง

เปลวไฟก็พุ่งทะลวงขึ้นมาจากใต้ผิวหนังดังเดิม

เพียงไม่นาน หลินเป่ยเฉินถึงกลับสามารถควบคุมได้ตามใจชอบ ว่าจะให้เปลวไฟไปปรากฏขึ้นตรงส่วนไหนของร่างกายบ้าง

อย่างเช่น เขาสามารถควบคุมให้นิ้วมือทั้งห้าของตนเอง มีสภาพเป็นเหมือนเทียนไขห้าเล่มได้อย่างง่ายดาย

หรือจะควบคุมให้ไฟลุกท่วมเพียงส่วนศีรษะของเขาก็ได้เช่นกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แตกต่าง

ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะด้านบนหรือด้านล่าง

แต่แน่นอนว่าตรงจุดศูนย์กลางของร่างกาย หลินเป่ยเฉินไม่มีทางทดสอบให้ไฟลุกเด็ดขาด

แม้แต่สองเท้าของหลินเป่ยเฉิน เขาก็ทำให้มันลุกเป็นไฟได้เช่นกัน และเขาสามารถทำให้ไฟไม่ลุกติดพื้นที่กำลังยืนอยู่ได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ เด็กหนุ่มจึงพูดออกมาด้วยความดีใจสุดขีด “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว เรามีพลังปราณธาตุไฟจริงๆ…”

นอกจากจะเป็นพลังปราณธาตุที่เท่แล้ว หลินเป่ยเฉินยังรู้อีกด้วยว่าพลังปราณธาตุไฟมีอานุภาพการทำลายล้างรุนแรงที่สุด หากพลังปราณธาตุน้ำเป็นตัวแทนของการบำรุงรักษา พลังปราณธาตุไฟก็เป็นตัวแทนของการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า

ความจริงแล้ว พลังปราณธาตุน้ำเหมาะสมสำหรับพวกที่จะสละตัวเป็นนักบวชคอยช่วยเหลือผู้อื่นมากกว่า ซึ่งผิดกับความต้องการของหลินเป่ยเฉินโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าพลังปราณธาตุไฟ มีความเหมาะสมกับเขามากที่สุดแล้ว

มันเป็นเปลวไฟที่สามารถเผาผลาญได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นตัวเขาเอง

ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเหงื่อ ขนคิ้วหรือขนหน้าแข้ง ต่างก็ไม่ถูกเผาไหม้หรือระเหยหายไป

และมันยังไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายอีกด้วย

ยกเว้นก็แต่เพียงเสื้อผ้าที่เผาไหม้เท่านั้น…

เฮ้ย

เดี๋ยวก่อนนะ

เสื้อผ้าอย่างนั้นหรือ?

อย่าบอกนะว่า…

หลินเป่ยเฉินก้มมองร่างกายของตนเองอีกครั้งและก็พบว่าเขากำลังยืนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์

เขาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบใช้ทั้งสองมือปิดบังส่วนสำคัญของร่างกาย

ถ้าอยู่ในห้องน้ำมันก็คงไม่มีปัญหาหรอก

แต่ปัญหาก็คือขณะนี้หลินเป่ยเฉินอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเมืองหยุนเมิ่ง มิหนำซ้ำ เขายังยืนอยู่ต่อหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ที่เป็นสตรีหน้าตางดงาม…

ดูเหมือนจะมีปัญหาใหญ่แล้วสิ

“ฮื่อ ท่านยังจะมองทำไมอีก? เหตุไฉนยังไม่หลับตา?”

เขาโวยวายใส่รูปปั้นเทพีกระบี่ที่ยังลืมตาโพลง

ก็จะให้หลินเป่ยเฉินทำอย่างไรได้อีก?

เทพีกระบี่เป็นคนมอบพลังนี้ให้แก่เขาเองนะ

แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากรูปปั้น

สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องนำเสื้อคลุมสำรองที่เก็บอยู่ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ออกมาสวมใส่ เรียบร้อยดีแล้วจึงเตรียมหันไปมอบคำอธิบายให้แก่อาจารย์ติง ทว่า ติงซานฉือยังคงนั่งคุกเข่าสวดมนต์อยู่ตรงหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาของเขาปิดสนิท ลักษณะท่าทีสงบเยือกเย็น ราวกับไม่รู้ตัวเลยว่ารอบกายเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก และกลับมาตั้งสติอีกครั้ง

นี่หมายความว่าอาจารย์มองไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้อย่างนั้นหรือ

อย่าว่าแต่มองไม่เห็น ได้ยินก็ไม่ได้ยินด้วยซ้ำ

มิฉะนั้นแล้ว อาจารย์ติงจะสวดมนต์ต่อไปได้อย่างไร

แสดงว่าเทพีกระบี่ต้องรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้น นางจึงใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปิดกั้นทุกคนจากสิ่งที่เกิดขึ้น และมีเพียงหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะก็เริ่มกลับมาเต้นตึกตักในระดับปกติอีกครั้ง

“ขอบพระคุณท่านเทพีเป็นอย่างยิ่ง บุญคุณในครั้งนี้ ข้าน้อยใช้เวลานับหมื่นปีก็ไม่สามารถตอบแทนได้หมดสิ้น”

หลินเป่ยเฉินคุกเข่าลงขอบคุณรูปปั้นเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจ

เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวางท่าใหญ่โตกับนางอยู่แล้ว

แต่เทพีกระบี่ยังคงไม่ตอบสนอง

หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย

เขาขยับนั่งตัวตรง

สำรวมกิริยาให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมมากขึ้น

“กราบเรียนท่านเทพีกระบี่ ข้าน้อยเป็นสาวกผู้ซื่อสัตย์ของท่าน ข้าน้อยรับปากว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด…”

ถ้าเขาสามารถสื่อสารกับเทพีกระบี่ได้โดยตรง มันก็คงยอดเยี่ยมที่สุด

หลินเป่ยเฉินไม่อยากจะติดต่อกับเทพีกระบี่หิมะไร้นามอีกแล้ว เพราะเขาไม่รู้เลยว่าจะโดนนางหลอกเงินอีกเมื่อไหร่

สามารถพูดตอนนี้ได้เลยหรือเปล่านะ?

น่าจะได้มั้ง

การสื่อสารโดยไม่มีคนกลางน่าจะดีที่สุดอยู่แล้ว

ทำไมถึงจะไม่ใช่ล่ะ?

ผ่านไปประมาณ 20 ลมหายใจ

ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวจากเทพีกระบี่อีกครั้ง

น้ำเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นในหูของหลินเป่ยเฉิน

“ข้าไม่เคยพบเห็นผู้ที่ถูกเลือกต้องมาเปิดพลังปราณธาตุเป็นครั้งที่ 2 มาก่อน เด็กน้อย เจ้าทำให้ข้าสนใจในตัวเจ้าจริงๆ มิเสียทีที่มีสถานะเป็นร่างทรงเทพเจ้า เอาเป็นว่านับจากวันนี้ไป บารมีของข้าจะคอยคุ้มครองเจ้า…”

หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มด้วยความดีใจเมื่อได้ยินดังนั้น

ในที่สุด เขาก็สามารถติดต่อกับเทพีกระบี่ได้โดยตรงแล้ว

ฮ่าฮ่าฮ่า

ลาขาดละนะ เทพีกระบี่หิมะไร้นามจอมหลอกลวง

หลินเป่ยเฉินตั้งใจว่าเมื่อกลับออกจากวิหารเทพกระบี่ เขาจะรีบลบบัญชีของเทพีกระบี่หิมะไร้นามออกจากการเป็นเพื่อนในแอปวีแชททันที

แต่ในทันใดนั้น เทพีกระบี่กลับพูดออกมาว่า “นับจากนี้ไป หากเจ้ามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็สามารถติดต่อข้าผ่านทางเทพีกระบี่หิมะไร้นามได้ตลอดเวลา พวกเจ้าทั้งสองคนต้องร่วมมือกันให้ดี ห้ามทะเลาะกันเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายวับไปในพริบตา