ในชั่วพริบตาที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของผึ้งเขียวถูกทำลาย ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ผึ้งมารที่บินหึ่งๆ อยู่ท่ามกลางม่านหมอกเหล่านั้น ก็เปล่งแสงสว่างวาบ 

 

 

เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ระเบิดร่างกายตัวเองออกทีละตัวๆ 

 

 

ตั้งแต่ที่ผึ้งยักษ์สีเขียวถูกทำลายร่าง จนถึงตอนที่จิตวิญญาณมารสองตัวสลายหายไป ก็เกิดขึ้นแค่ชั่ววินาทีเท่านั้น 

 

 

หานลี่ไม่แม้แต่จะมองซากศพของมารอินทรีที่ตกลงมา เลื่อนสายตาไปมองอสูรมารระดับสูงตัวสุดท้ายที่อยู่ไกลออกไป 

 

 

สายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง 

 

 

แน่นอนว่ามารสองเขาย่อมมองเห็นเหตุการณ์ทางด้านนี้ทั้งหมด ภายใต้ความตกตะลึง ก็มีสีหน้าเขียวคล้ำ 

 

 

แม้ว่าผึ้งยักษ์และมารอินทรีจะมีพลังยุทธ์ไม่เท่าเขา แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก คาดไม่ถึงว่าแค่ปะหน้าทั้งสองก็จะถูกอีกฝ่ายสังหารได้อย่างง่ายดาย แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ยังหนีไม่พ้น 

 

 

นี่จะไม่ทำให้มันรู้สึกหนาวสะท้านได้อย่างไร  

 

 

แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำสำเร็จ แต่ก็เป็นเพราะใช้การลอบโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว เขาถามตัวเองหากตนอยู่ในสถานการณ์เดียวกับอีกฝ่าย ก็ไม่อาจสังหารสหายร่วมวิถีได้อย่างเรียบร้อยเช่นนี้ 

 

 

ทว่ามารตัวนี้เองก็แปลกประหลาดใจอยู่บ้าง 

 

 

การดึงดูดความสนใจของพวกเขาเมื่อครู่และสิ่งที่ปรากฏขึ้นทีหลังอย่างเงาสีทองซึ่งถูกค้อนของเขาทำลาย มันคืออะไรกัน 

 

 

พวกเขาสัมผัสได้ชัดๆ ว่ามีพลังวิญญาณที่ไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่ถูกหลอกอย่างง่ายดายเช่นนี้ 

 

 

ไม่ว่าจะอย่างไร หากเขาเข้าไปประมือเพียงลำพังละก็ แปดเก้าส่วนคงต้องเพลี่ยงพล้ำ ไม่สู้รอให้กำลังเสริมมา แล้วค่อยคิดหาวิธีสังหารอีกฝ่ายจะดีกว่า 

 

 

หากไม่ไหวจริงๆ ก็ฝ่าฝืนกฎของเทือกเขาและสัญญาที่ทำกับแดนนอกปิดทางเข้าเอาไว้ แล้วสังหารคนผู้นี้ทิ้งไปเสียเลย 

 

 

คิดดูแล้วบรรดาระดับสุดยอดที่มาจากภายนอก คงไม่มาถกปัญหาอะไรกับนายท่านระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เทือกเขาเพื่อคนเพียงคนเดียว  

 

 

มารสองเขาช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก หลังจากได้สติจากการตกตะลึงแล้ว ก็คิดหาวิธีรับมือออกในทันใด 

 

 

ดังนั้นในเวลาเดียวกันที่หานลี่มองมา ฉับพลันนั้นเขาก็ตะปบมือทั้งสองออกไป  

 

 

หลังจากเสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ค้อนเหล็กสองด้ามก็หดเล็กลงจนมีขนาดเท่าปกติ และบินกลับมาในมือของเขา 

 

 

จากนั้นพลันอ้าปากออกพ่นกระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมก่อนหน้านี้ออกมาอีกครั้ง มือหนึ่งชี้ไปที่สมบัติชิ้นนี้อย่างรวดเร็ว 

 

 

ผิวของกระจกสัมฤทธิ์เปล่งเสียงหึ่งๆ พลางพ่นลำแสงเย็นเยียบออกมากลุ่มหนึ่ง แล้วห่อหุ้มลงมาด้านล่าง 

 

 

ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น  

 

 

หลังจากลำแสงเย็นเยียบลดระดับลงมา เงาร่างสูงใหญ่ของมารสองเขาก็หายวับไปจากที่เดิม 

 

 

จากนั้นกระจกสัมฤทธิ์ก็สั่นเทากลายเป็นเงาสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไปจากกลางอากาศ 

 

 

ฉากนี้ทำให้หานลี่ที่อยู่ไกลออกไปตกตะลึง และรู้สึกคาดไม่ถึงไปเล็กน้อย 

 

 

แต่ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าเคร่งขรึม รูม่านตามีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ระลอกคลื่นประหลาดปรากฏขึ้น ทำให้ผู้คนที่มองดวงตาของเขา ถูกดึงดูดสายตาแม้กระทั่งจิตวิญญาณเข้าไป 

 

 

ดูเหมือนว่าจะมองอะไรออก หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม สองนิ้วจึงแตะไปที่หว่างคิ้วอย่างรวดเร็ว 

 

 

ไอสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น และผนึกรวมกันกลายเป็นดวงตาสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกดวงหนึ่ง 

 

 

นั่นก็คือเนตรทำลายล้าง 

 

 

เมื่อเนตรปีศาจปรากฏรูป ก็กลอกตาไปมาทันที ลำแสงสีดำสนิทไหลวนอยู่ มีอักขระไหลวนไปมาอยู่ในแววตารางๆ 

 

 

เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ลำแสงสีดำความหนาเท่านิ้วมือถูกพ่นออกมาจากเนตรทำลายล้าง และเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่บรรยากาศรอบๆ ห่างออกไปรอยจั้งเศษ พลันมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น จากนั้นรัศมีลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ระลอกคลื่นสั่นเทากลางอากาศและสลายออก 

 

 

เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงเย็นเยียบสีหม่นหมองดีดออกมาจากรัศมีลำแสง และบินห่างออกไปสิบจั้งเศษ ถึงได้ซวนเซหยุดลง 

 

 

ลำแสงหม่นแสง มารสองเขาพลันปรากฏตัวขึ้นด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว 

 

 

แทบจะในเวลาเดียวกันเสียงฟ้าผ่าก็ดังเหนือหัวของมารตนนั้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ด้านในมีเงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ 

 

 

“แย่แล้ว” 

 

 

ร่างของมารสองเขายังไม่ทันยืนให้มั่นคง แต่หลังจากกวาดสายตาไปเหนือศีรษะ จิตใจพลันหนักอึ้ง แทบจะสะบัดมือทั้งสองไปตามความรู้สึก 

 

 

ชั่วขณะนั้นค้อนยักษ์สองด้ามในมือพลันเปล่งเสียงหวีดร้อง แล้วพุ่งลงไปทับเงาร่างคนเหนือศีรษะ  

 

 

ในเวลาเดียวกันตรงทรวงอกก็มีผลึกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ธงสีฟ้าด้ามหนึ่งบินออกมา พลิ้วไหวเล็กน้อย แล้วกลายเป็นม่านลำแสงสีฟ้า ห่อหุ้มเรือนร่างของเขาเอาไว้ 

 

 

ส่วนตัวของมารสองเขาพลันมีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายกลับพุ่งออกไปราวกับลูกธนู หมายจะดึงระยะห่างออกจากหานลี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน 

 

 

แต่หานลี่จะปล่อยให้มารตนนี้สมใจได้อย่างไร เห็นเพียงอัสนีสีเขียวขาวบนท้องฟ้าระเบิดออกเสียงดังสนั่น สายฟ้าเปลี่ยนสีกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินระยิบระยับ 

 

 

จากนั้นร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้น หมุนวนแล้วกลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวขนาดสองสามจั้งตัวหนึ่ง สยายปีกทั้งสองข้างออก แล้วพาประจุไฟฟ้าสีเงินหนาเท่าปากชามกระโจนเข้ามาเป็นสายๆ 

 

 

ความเร็วของมันนั้น ชั่วพริบตาที่ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ กรงเล็บยักษ์ก็ตะปบไปหาค้อนสีดำที่บินเข้ามา 

 

 

เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้น! 

 

 

ค้อนยักษ์ถูกกรงเล็บยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปราวกับกระดาษ จากนั้นเสียงโอดครวญพลันดังขึ้น อสรพิษสีเงินระเบิดออกแล้วดีดตัวออกมาเป็นสายๆ 

 

 

ครู่ต่อมากรงเล็บยักษ์ก็ไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย ชั่วครู่ก็ตะปบไปที่ม่านลำแสงสีฟ้าบนเรือนร่างของมารสองเขา 

 

 

นอกเหนือความคาดหมายไปเล็กน้อย ม่านลำแสงสีฟ้าที่ดูธรรมดาๆ กลับเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นม่านลำแสงที่ดูราวกับผลึกน้ำ 

 

 

ไม่ว่าประจุไฟฟ้าหรือว่าพลังมหาศาลของกรงเล็บยักษ์ เมื่อตะปบไปที่มัน ก็จมหายเข้าไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด 

 

 

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มารสองเขาที่อยู่ในรัศมีลำแสงพลันผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ 

 

 

แต่ไม่รอให้เขาได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก ด้านนอกรัศมีลำแสงก็มีเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น เห็นจะงอยวิหคสีเขียวกลายเป็นลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจิกลงมาเป็นสายๆ  

 

 

เสียง “ปังๆๆ” ดังขึ้นสามครั้ง รัศมีลำแสงระเบิดออก จากนั้นเสียงไพเราะก็ดังขึ้น คาดไม่ถึงว่ารัศมีลำแสงแวววาวจะถูกจิกอยู่ที่เดียว แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงสีฟ้าแล้วสลายหายไป 

 

 

“เอ๋” 

 

 

มารสองเขาที่อยู่ด้านในพลันตกตะลึง แขนสองข้างโบกสะบัดขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน 

 

 

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กรงเล็บสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา กลายเป็นกรงเล็บตาข่ายตัดสลับกันไปมาอย่างหนาแน่น ต้านทานเหนือศีรษะของเขาเอาไว้ 

 

 

แต่จะงอยปากของวิหคยักษ์สีเขียวพลันขยับอีกครั้ง 

 

 

ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในกรงเล็บลำแสง 

 

 

ชั่วขณะนั้นสายฟ้าสีเงินพลันออกฤทธิ์ กรงเล็บตาข่ายถูกฉีกออกอย่างง่ายดาย ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปราวกับเงาลวงตา 

 

 

ร่างมารสองเขาสั่นเทาอย่างหนัก รูโลหิตขนาดเท่าปากชามปรากฏขึ้นตรงนั้น และยิ่งไปกว่านั้นในรูโลหิตยังมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงเป็นระยะๆ 

 

 

ชั่วขณะนั้นใบหน้าของมารตัวนี้พลันเผยสีหน้าหวาดกลัวไม่อยากจะเชื่อออกมา แต่ไม่รอให้มันได้เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญ รูโลหิตตรงทรวงอกก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินพุ่งออกมาเป็นสายๆ แล้วระเบิดออกอีกครั้ง 

 

 

สายฟ้าสีเงินจมหายเข้าไปในม่านสองเขา 

 

 

หลังจากเสียงฟ้าร้องดังขึ้นชั่วครู่ ถึงได้หยุดลง 

 

 

กายเนื้อของมารสองเขารวมทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมด้านใน กลายเป็นผุยผงท่ามกลางลำแสงอัสนีที่รุนแรงตั้งนานแล้ว สลายหายไปจากยุทธภพนี้อย่างไร้ร่องรอย 

 

 

เหลือเอาไว้เพียงกระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมบานนั้น! 

 

 

หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปบนกระจกสัมฤทธิ์ ก็ยกมือขึ้นกวัก ชั่วขณะนั้นพลังแรงดูดกลุ่มหนึ่งพลันก่อตัวขึ้น ชั่วครู่ก็ดูดสมบัติที่ไร้เจ้าของเข้ามาอยู่ในมือ และก้มหน้าลงพิจารณาสองแวบ 

 

 

แต่ก็ไม่พบอะไรจากการมองแบบลวกๆ นั้น 

 

 

ทว่าเขากลับรู้สึกสนใจเจ้าสิ่งนี้มาก 

 

 

กระจกบานนี้สามารถรวบรวมพลังปราณ และยังพาคนหลีกหนีไปกลางอากาศได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สมบัติอาคมธรรมดาๆ และไม่รู้ว่ามารตัวนี้ได้สมบัติชิ้นนี้มาอย่างไร 

 

 

มือหนึ่งโบกสะบัด ฉับพลันนั้นลำแสงสีเหลืองที่แผ่ออกมาจากกระจกพลันสลายหาย 

 

 

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะต้องการสังหารอีกฝ่าย เขาจึงสำแดงยันต์ชำระพิสุทธิ์และยันต์เกราะเอกออกมาทีเดียว แต่ตอนนี้ได้สมบัติชิ้นนี้มาแล้ว ก็นับว่าไม่เสียเปรียบนัก 

 

 

หานลี่ขบคิดเช่นนี้ ก็ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งรอต่อ ลำแสงหลีกปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง พุ่งไปยังส่วนลึกของทะเลหมอก 

 

 

สองสามเค่อพายุมารสีดำผืนหนึ่งก็หวีดร้องดังขึ้นมาจากขอบฟ้า 

 

 

แต่หลังจากที่หมุนวนหน้าทะเลหมอก ชั่วขณะนั้นก็หม่นแสงลงแล้วสลายหายไป ด้านในวายุมีมารอสูรรูปร่างประหลาดๆ ห้าตนปรากฏขึ้น 

 

 

“ที่ที่พวกเขาสามคนหายไปครั้งสุดท้ายคือที่นี่” อสูรน้อยหนึ่งในนั้นที่ร่างกายดูเหมือนสร้างขึ้นจากกระเบื้องเคลือบกวาดสายตาไปยังทะเลหมอกแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น 

 

 

อสูรทั้งสี่ที่เหลือมองทะเลหมอก แววตาฉายแววระแวดระวัง 

 

 

“จากการร่วมมือของนายท่านอู่ลี่และพวกทั้งสาม จะไม่มีข่าวคราวในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าพบความยุ่งยากอะไรระหว่างทาง?” มารอสูรหัวงูเหลือมตัวนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา  

 

 

“ก็ไม่แน่ใจนัก ทว่าไม่ว่าอย่างไร ทุกท่านก็ต้องกระตือรือร้นไว้ พวกเราต้องระวังมากหน่อย” อสูรน้อยสั่นศีรษะ จากนั้นก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปล่อยให้สงสัยอีก 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

มารอสูรที่เหลือทยอยกันก้มหน้าลงตอบรับอย่างนอบน้อม 

 

 

จากนั้นมารอสูรห้าตนก็กลายเป็นวายุมาร พุ่งเข้าไปในทะเลหมอก 

 

 

หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ ตรงจุดที่หานลี่สังหารมารสองเขา มารอสูรเหล่านั้นก็ทยอยกันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง 

 

 

พวกมันใช้สายตาฉงนสงสัยพิจารณาทุกอย่างรอบด้าน 

 

 

อสูรประหลาดตัวที่เหมือนเป็ดแต่หัวมีเขาเดี่ยวสีขาวตัวนั้น กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปด้านล่าง แค่กะพริบวาบก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

การเคลื่อนไหวนี้แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจจากมารอสูรตนอื่นๆ จึงอดที่จะมองสบตากันไปมาแวบหนึ่งไม่ได้ 

 

 

แต่ผ่านไปแค่ชั่วครู่ ไอมารด้านล่างพลันหมุนวน มารอสูรเป็ดตัวนั้นบินออกมาจากด้านใน 

 

 

แค่ตะปบเท้าที่มีพังผืดออกมา ก็มีเศษเขาวัวขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นในเท้าทั้งสองข้าง 

 

 

“นี่คือเขาวิญญาณของนายท่านอู่ลี่ มาตกอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่ากลับคืนสวรรค์แล้ว” มารอสูรเสืออีกตนหนึ่ง เอ่ยพึมพำด้วยความหนาวเหน็บหัวใจ 

 

 

“ดูแล้วพวกเขาสามคนคงเพลี่ยงพล้ำไปแล้วจริงๆ คาดไม่ถึงว่าผู้ที่กำลังไล่ตามจะมีอิทธิฤทธิ์ถึงเพียงนี้?” อสูรน้อยหรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา 

 

 

“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรต่อ ผู้ที่มาจากภายนอกผู้นั้นหนีไปตั้งนานแล้ว พวกเราไม่อาจไล่ตามได้อีก” มารอสูรงูเหลือมมีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใส แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น 

 

 

“หึ ต่อให้รู้ตำแหน่งของคนผู้นี้ ข้าก็ไม่อาจไล่ตามไปได้อีก ในเมื่ออีกฝ่ายสังหารอู่ลี่และพวกทั้งสามได้อย่างง่ายดาย พวกเราเข้าไปก็คงไม่ใช่คู่มือ กลับกันเถิด!” อสูรน้อยแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด 

 

 

“แต่หากเป็นเช่นนี้ กลับไปก็ไม่รู้ว่าจะรายงานอย่างไรสินะ นายท่านจะต้องโกรธมากแน่” อสูรกลับเอ่ยอย่างแช่มช้าและหวาดกลัว