นานิทานอาหารเที่ยงที่บ้านตระกูลแม็กซิมัส หลังจากทานอาหารเทียบเรียบร้อยแล้วหลินจือก็ไปชมบ้านใหม่ของนานิด้วย
นานิที่เป็นดาราดังในตอนนี้ การเงินนั่นถือว่ามีอยู่ ดังนั้นสถานที่ซื้อแน่นอนว่าไม่ได้แย่เกินไป ระบบความปลอดภัย รปภ.ก็ดีมาก
บ้านก็ออกแบบมาอย่างสวยงาม มีประมาณหนึ่งร้อยสี่สิบตารางเมตร นานิสามารถลากกระเป๋าเข้ามาพักได้เลย
หลินจือเห็นว่าทุกๆ ที่ในบ้านต่างก็ถูกเก็บกวาดอย่างเรียบร้อย อดพูดอย่างใจหายไม่ไหวว่า “นี่เธอลงมือเร็วมากจริงๆ”
“ตอนแรกฉันก็ถ่ายละครอยู่ข้างนอกบ่อยๆ อยู่แล้ว ดังนั้นก็เลยย้ายของจำเป็นเล็กน้อยมาด้วยเลย” นานิพูดเยาะเย้ยตัวเอง “ของจำเป็นที่ว่านั้น ต่างก็เป็นเสื้อผ้าและเครื่องสำอาง”
บ้านหลังนี้มีห้องนอนสองห้องหนังสือหนึ่งห้อง นานิได้เปลี่ยนห้องนอกหนึ่งห้องและห้องหนังสือเป็นห้องแต่งตัวแล้ว ดูออกเลยว่าดาราหญิงนั้นแสวงหาการแต่งตัวยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
หลินจือมองดูห้องครัวที่สะอาดเรียบร้อยอีกครั้ง พูดล้อเล่นว่า “ดูแล้วเธอคงไม่กินอาหารบนโลกใบนี้”
“เธอพูดตรงๆ เลยว่าฉันลงครัวไม่เป็นก็จบ” นานิพูดจบแล้วก็หัวเราะดังขึ้นมาเอง
ชงชาดอกไม้ให้กับหลินจือหนึ่งแก้ว ทั้งสองก็นั่งคุยกันอยู่บนโซฟา
หลินจือได้ข่าวต่างๆมากมายจากนานิ อย่างเช่นวันที่สองของเจ็ดวันหลังจากที่พินอินเสียชีวิตแล้ว วีนาก็ถูกเทาเท่ส่งไปต่างประเทศแล้ว
“ได้ข่าวว่าเป็นตายวีนาก็ไม่ยอมไป แต่ว่าท่าทีของเทาเท่ยืนหยัดแน่วแน่ แม้กระทั่งคุณท่านก็สนับสนุนการตัดสินใจนี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะร้องห่มร้องไห้ ก็ต้องถูกส่งไป” ในตอนที่นานิพูดประโยคนี้รู้สึกสะใจมาก
ผู้หญิงที่ไร้เหตุผลอย่างวีนา สมควรที่จะถูกส่งไป
พูดประโยคหนึ่งที่ไม่น่าฟัง หากวีนายังอยู่ที่เมืองเจสเวิร์ดต่อ เทาเท่คงจะโสดไปทั้งชีวิต อย่าว่าแต่หลินจือ ถึงแม้ว่าเทาเท่แต่งงานกับผู้หญิงอื่นแล้ว เกรงว่าผ่านไปไม่นานเขาก็คงจะโมโหเพราะวีนาและหย่าไป
“อื้ม” หลินจือก้มหน้าจิบชาดอกไม้ ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร
นานิพูดอย่างใจหายว่า “จริงๆ แล้วเทาเท่ก็น่าสงสารนะ พ่อก็ไม่สนิทแม่ก็ไม่รัก น้องสาวก็ไม่เชื่อฟัง แล้วใช้ชีวิตอย่างน่าเยือกเย็นหดหู่จริงๆ”
นานิพูดต่อว่า “เมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่า ทำไมตอนนั้นคุณปู่ของเขาถึงยืนหยัดจะให้เขาแต่งงานกับเธอ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว”
“เธอเข้าใจแล้ว?” หลินจือตะลึงงัน
เธอเป็นคนในเหตุการณ์จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดเลยว่าตอนนั้นคุณท่านสามารถใช้เงินก้อนหนึ่งไล่พ่อลูกชาร์ลและเธอไป แต่สุดท้ายแล้วกลับยืนหยัดว่าเทาเท่แต่งงานกับเธอ
“ใช่ ฉันเข้าใจแล้ว” นานิวิเคราะห์อย่างจริงจัง “เธอคิดดูนะ คนที่อ่อนโยนเงียบสงบ ละเอียดอ่อนใส่ใจอย่างเธอ สิ่งที่ให้เทาเท่ต่างก็เป็นความห่วงใยที่เขาไม่เคยมีมาก่อน การอยู่ของเธอเท่ากับว่าได้ให้ความอบอุ่นกับชีวิตที่เยือกเย็นของเขาเลยนะ”
“คุณท่านต้องเคยสืบเรื่องเธอย่างละเอียดมาก่อนแน่นอน ดังนั้นจึงได้ทำการตัดสินใจแบบนั้น”
“ดูจากตอนนี้แล้ว ผู้คนในตระกูลฟอเรนาทั้งหมด คนที่เข้าใจเทาเท่มากที่สุดคือคุณท่าน คนที่เอ็นดูเขามากที่สุดก็คือคุณท่าน”
หลังจากที่หลินจือฟังการวิเคราะห์ของนานิแล้วก็อึ้งไปสักพัก คำพูดของนานิมีเหตุผลมากจริงๆ
จากคนนอกดูแล้ว เทาเท่เท่นั้นสูงส่งเจิดจ้า มีเพียงแต่คนอย่างเธอที่เคยอาศัยอยู่กับเขาจริงๆ จึงจะรู้ว่า จริงๆ แล้วในชีวิตของเขาไม่ได้มีความอบอุ่นใดๆ เลย
นอกจากทำงานแล้วก็คือทำงาน และคนในครอบครัวอย่างเช่นพ่อแม่และน้องสาว ก็ไม่เคยเป็นห่วงเขาก่อนเลย จะหาเขาก็ต่อเมื่อตอนที่ต้องการเงิน
นานิพูดอยู่ข้างอีกว่า “คุณท่านตัดสินใจให้เขาสู่ขอเธอที่อ่อนโยนคนนี้เป็นภรรยา เพราะอยากให้เขาสร้างครอบครัวของเขาเองใหม่ ได้รับความอุ่นจากครอบครัวเล็กๆ นี้”
“แต่ว่าน่าเสียดาย ตอนนี้……” นานิแบมือ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลินจือเม้มปากและดื่มชาดอกไม้ต่อ ในใจมีความเจ็บปวดขึ้นมา รู้สึกสงสารแทนเทาเท่
แต่ว่าหลังจากที่สงสารแล้วในใจกลับมีความยืนหยัดขึ้นมา เธอมองไปทางนานิ “ดังนั้น ฉันก็ยิ่งไม่สามารถคบกับเขาต่อได้อีก”
“ในชีวิตของเขาขาดความอบอุ่นอยู่แล้วแต่แรก ควรจะหาผู้หญิงที่สามารถคลอดลูกๆ ให้กับเขาด้วย พวกเขาคลอดลูกด้วยกันหลายคนๆ แบบนี้ในบ้านจึงจะมีชีวิตชีวา เขาเองก็จะมีความสุขกว่า”
นานิมองดูหลินจืออย่างเงียบๆ อดสงสารไม่ไหว
หลินจืออาจจะคิดว่าเธอสามารถสงบสติอารมณ์ของตนเองได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าในตอนที่เธอพูดประโยคนี้น้ำเสียงฝืดฝืนจนจะร้องไห้ออกมาแล้ว
ปล่อยผู้ชายที่รักตนเองและตนเองรักไปแบบตาต่อตา เจ็บปวดยิ่งกว่าความรักก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้รับการตอบกลับ
นานิได้แต่รีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา “ช่างเถอะช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องความรงความรักแล้ว จริงๆ แล้วฉันมาเปกก้าครั้งนี้ เพราะว่ากองถ่ายหยุดให้สองสามวัน”
หลินจือเก็บอารมณ์ของตนเองแล้วถามเธอ “หยุด?”
นานิจ้องเธอแล้วตอบกลับ “อื้ม”
ทันใดนั้นในใจของหลินจือก็มีลางไม่ดีขึ้นมา “อย่าบอกนะว่าแม่ของเจเทาวน์——”
นานิพยักหน้า “อื้ม สองสามวันก่อนแม่ของเขาเสียชีวิตแล้ว แต่ว่าตอนนั้นเธอกำลังเป็นไข้อยู่ เขาไม่ให้ฉันบอกเธอ”
“เฮ้อ……” ดวงตาของหลินจือแดงเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าเวลาของคุณแม่เจนีจะเหลือไม่มากเลย ทว่าในตอนที่ได้ยินข่าวร้ายนี้กะทันหัน หลินจือก็ยังรู้สึกเสียใจ เธอเคยเจอคุณแม่เจนีครั้งหนึ่ง ทว่าสามารถรู้สึกได้ว่าคุณแม่เจนีคือคนที่ดีมาก
หากคนดีบนโลกใบนี้ต่างก็สามารถอายุยืนยาวได้ แบบนั้นจะดีเพียงไหนเนี่ย
ณ เมืองเจสเวิร์ด
ณ สำนักงานของโซเมน
“เชี้ย นายบ้าไปแล้วเหรอ?” โซเมนตะโกนร้องด้วยความตะลึงงันไปก่อน
หลังจากนั้นก็เป็นคำขอร้องของจอนห์ที่น่ารำคาญ “หัวหน้า ช่วยด้วยครับ”
หลังจากนั้นก็เป็นเสียงไม่อยากจะเชื่อของไวท์ “นายจะย้ายไปอยู่ที่เปกก้าจริงๆ เหรอ?”
นทีบดีถอนหายใจและพูดขึ้นคนสุดท้าย “เท่ ถึงแม้ฉันรู้สึกว่าการตัดสินใจของนายจะบ้าคลั่ง แต่ว่าฉันรู้ ความรักก็คือแบบนี้ มันมีเวทมนตร์ที่ทำให้คนบ้าคลั่ง”
เทาเท่ที่นั่งอยู่ข้างในสุดของโซฟากลับสีหน้าสงบ “พวกนายจำเป็นต้องกระต่ายตื่นตูมขนาดนี้ไหม? ฉันไม่ได้จะย้ายฟอเรนากรุ๊ปไปด้วยซะหน่อย แค่ซื้อบริษัทภาพยนตร์ที่นั่นเท่านั้นเอง”
จอนห์ทวงความยุติธรรมให้ตนเอง “แต่หัวหน้าบอกว่าหลังจากนี้จะดูแลบริษัทภาพยนตร์เป็นหลัก งั้นฟอเรนากรุ๊ปในเมืองเจสเวิร์ดก็ยังต้องเป็นผมและควีนคอยดูแลไม่ใช่เหรอครับ”
จอนห์จะร้องไห้ออกมาแล้ว “หัวหน้าปล่อยพวกเราสองคนไปเถอะครับ พวกเราช่วยคุณดูแลแค่ช่วงเวลานี้ ก็รู้สึกว่าชีวิตครึ่งหนึ่งหายไปแล้ว หลังจากนี้หากคุณอาศัยอยู่ยาวที่เปกก้า ผมไม่รู้ว่าควีนจะเป็นยังไง ผมรู้แค่ว่าผมต้องหัวล้านแน่นอนครับ”
เทวดาเท่านั้นที่รู้ว่าการดูแลบริษัทหนึ่งยากเพียงไหน เขาและควีนร่วมมือกันยังรู้สึกไม่ไหวเลย
ตอนแรกคิดว่าแค่ดูแลชั่วคราว ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้เทาเท่กลับมาบอกว่าหลังจากนี้เขาจะอาศัยอยู่ยาวที่เปกก้า จอนห์รู้สึกว่าฟ้าจะถล่มลงไปแล้ว
ตำแหน่งพวกนั้นที่ดูเหมือนจะสูงส่ง ไม่ได้ทำง่ายขนาดนั้นเลย
เทาเท่พร่ำบ่นจอนห์อย่างไม่พอใจ “ทำไมฉันดูแลมาหลายปีขาดนี้หัวยังไม่ล้านเลย? ฉันดูแลคนเดียว นายยังดูแลกับควีนสองคนด้วย”
จอนห์ยอมรับอย่างไม่ลังเล “ดังนั้นนี่สามารถยืนยันได้แล้วว่าความสามารถของเราสองคนไม่พอ คุณอยู่ดูแลต่อดีกว่าครับ”
หัวหน้าของเขาคงจะบ้าไปแล้วแน่ๆ เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งกลับเดินทางจากเมืองเจสเวิร์ดตามไปถึงเมืองเวลฟ์ที่ระยะทางไกลมาก