ขณะเดียวกัน ตะไคร่น้ำบนกำแพงก็เริ่มร่วงหล่นลงมา มือขาวซีด บวมฉึ่ง มากมายผุดออกมาจากกำแพง
แต่ละมือล้วนมีเล็บสีดำยืดยาว ต่างก็พุ่งเข้าหาเสื้อผ้าของจีเย่ว์ ราวกับว่าต้องการจะลากตัวเขาเข้าไปในกำแพง กลบฝังอยู่ในนั้นไปด้วยกัน
พอเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ไตร่ตรองอะไรอีก ล้วงยันต์ผืนหนึ่งออกมาขว้างออกไป
พอยันต์ผืนนั้นผนึกอยู่บนกำแพง ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากในกำแพงดังออกมาไม่หยุด มือที่คว้าจีเฉวียนไว้ต่างก็คลายออก จีเย่ว์ที่ขาหักก็ลุกขึ้นพุ่งตรงมาทางตู๋กูซิงหลัน
จีเฉวียนน้ำเสียงเย็นชา สายพระเนตรเพ่งมองอยู่ที่ขาของเขา “อี้อ๋อง ขนาดขาหักยังวิ่งได้ไวเชียวนะ “
ฮ่องเต้ตรัสยังไม่ทันได้ขาดคำ ก็เห็นตะไคร่น้ำบนพื้นผิวโดยรอบพวกเขาเริ่มขยับหลุดลอก มือขาวซีดมากมายผุดขึ้นจากพื้นดิน คราวนี้แต่ละมือต่างก็ยืดยาวขึ้นกว่าเดิม กรงเล็บสีดำน่าขยักแขยงราวกับเถาวัลย์ที่เลี้อยพันเข้ามาใกล้
พอเห็นแล้วคราวนี้ ฮ่องเต้ก็ไม่ตรัสสิ่งใดอีก คว้าตัวตู๋กูซิงหลันได้ก็พุ่งตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ความเร็วขนาดนี้ยังเหนือกว่าจีเย่ว์อยู่หลายส่วน ทั้งยังทอดทิ้งสิ่งประหลาดเหล่านั้นเอาไว้เบื้องหลัง
จีเย่ว์คว้ามือข้างซ้ายของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ วิ่งติดตามมาด้วย วิ่งไปก็กล่าวไปว่า “ฝ่าบาท พระบาทของท่านบวมจนข้อเท้าแทบหักยังวิ่งได้ไวเช่นนี้ กระหม่อมแพ้เสียแล้ว “
“อี้อ๋อง เจ้าอายุยังน้อย” จีเฉวียนตอบเสียงเย็นชา ดึงตัวตู๋กูซิงหลันให้เข้ามาประชิดมากขึ้น
คนที่อยู่ตรงกลาง ทั้งถูกดึงไปและลากตามกันเช่นตู๋กูซิงหลันนั้น “??? “
เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเป็นง่อยกันหมด แย่งกันจะให้ข้าแบกหรือไง?
พวกเจ้าเห็นไอ้ตัวที่ออกมาจากกำแพงหินพวกนั้นแล้วไม่รู้สึกประหลาดใจบ้างหรือไง?
เรื่องที่ว่าใครวิ่งเร็วกว่ากันมันใช่ประเด็นสำคัญไหม เฮ่อ?
พูดไปแล้ว ช่วยปล่อยข้าก่อนได้ไหม ข้าไม่ได้กลัวเสียหน่อย! ข้าจะไปจัดการไอ้ตัวเก่งๆ มาป้อนถวนจื่อ!
แต่ว่าคนทั้งสองนี้กลับไม่ให้โอกาสนางเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าแทบจะหอบหิ้วนางวิ่งหนีตะเลิดเปิดเปิง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าด้วยความเร็วขนาดนี้เท้าของนางแทบจะไม่ติดพื้น ตัวลอยละลิ้วไปตลอดทางแล้ว
ก็จะทำไงได้ ใครใช้ให้ขาของพวกเขายาวกว่านางขนาดนี้….
วิ่งตะลุยมาได้พักใหญ่ จนรู้สึกว่าหลบหนีสิ่งประหลาดบนกำแพงนั่นได้สำเร็จ พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่าโพรงถ้ำนี้ยิ่งทียิ่งแคบลงเรื่อยๆ
อีกทั้งตลอดเส้นทางที่วิ่งผ่านมา ภายในถ้ำนี้มีโครงกระดูกอยู่ไม่น้อย ดูไปแต่ละคนแต่ละร่างท่าทางจะตายอย่างหน้าหวาดผวา พวกเขามัวแต่รีบวิ่ง ไม่ได้สังเกตให้ละเอียด
พอมองดูไปเบื้องหน้า ก็เห็นว่าถ้ำนี้ยังทอดยาวไปอีกไกลจนมองไม่เห็นปลายทาง หากว่าจะเดินต่อไปอีกละก็มีแต่ต้องเบียดตัวเข้าไปทีละคนๆ แล้ว
ภายในอุโมงค์ที่คับแคบนั้นมีสายลมเย็นๆ โชยออกมาเบาๆ พัดผ่านร่ายกายที่มีแต่เหงื่อร้อนชุ่มของพวกเขาจนรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย
หากไม่ใช่ว่าอุโมงค์นี้คับแคบมากเกินไป ตู๋กูซิงหลันก็คิดว่านางอยากจะใช่ไหล่ข่างหนึ่งแบกคนรักเก่า ไหล่อีกข้างแบกเจ้าลูกชาย จะได้มีสองมือว่างๆ มาเบิกทางได้
ดูเจ้าสองตัวนี่สิ เมื่อครู่ตอนวิ่งมายังกระฉับกระเฉงกันน่าดู พอหยุดลงเท่านั้นละ แต่ละคนๆ ก็ทำหน้าเจ็บปวดเสียจนเหงื่อโทรมหน้า
ดูท่าแล้วตลอดทางที่วิ่งมานั้น ทั้งสองคนแทบจะไม่ได้พักหายใจเลย!
หลังจากที่เงียบกันไปอยู่พักใหญ่ ตู๋กูซิงหลันก็ตัดสินใจกล่าวออกมาว่า “ข้าคิดว่า พวกเจ้าสองคนพักผ่อนรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปสำรวจดูข้างหน้าให้ก่อนดีกว่า”
“เราไม่อนุญาต ” จีเฉวียนยังไม่แม้แต่จะปล่อยมือนาง เบื้องหน้ามีอันตรายใดบ้างก็สุดรู้ ถึงแม้นางจะดวงแข็ง แต่ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะทำอย่างไร?
เขาทำพระพักตร์นิ่งเฉย ตรัสจากใจว่า “มีแต่เจ้าที่ใช้ยันต์ได้ หากว่าเจ้าหนีไปคนเดียวจะทำยังไง? “
ตู๋กูซิงหลัน “……..”
” ไทเฮาพะยะค่ะ ที่จริงกระหม่อมเองก็สงสัยอยู่ว่า ท่านไปร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์เสกยันต์พวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่? ” จีเย่ว์จ้องดูนาง ตั้งแต่ตอนที่นางเขวี้ยงยันต์เพื่อช่วยชีวิตเขา เขาก็อยากจะถามมาโดยตลอด
หลันเอ๋อร์ที่เขารู้จัก เป็นสตรีสูงศักดิ์ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ไม่เคยต้องแบกไม่เคยต้องถืออะไร รู้จักแต่ชมนกชมไม้ หยอกเย้าเขาเท่านั้น
นางไม่มีทางใช้ยันต์เป็นแน่!
คราวนี้ตู๋กูซิงหลันปวดหัวเข้าจริงๆ เสียแล้ว เจ้าลูกหมีนี่ ทำไมถึงได้ช่างซักไซร้ถึงขนาดนี้?
นางถอนใจเบาๆ ตอบว่า “วันนี้ตอนที่ไปเชิญท่านนักพรตอู๋เจิน เขากำลังวาดยันต์อยู่พอดี บอกว่าใช้สำหรับปราบปีศาจได้ ข้าอาศัยว่าหน้าหนาก็เลยขอมา”
ตู๋กูซิงหลันพูดไปก็ล้วงเอายันต์ออกมาอีกสองใบ แปะเอาไว้บนหน้าผากพวกคนคนละใบ “อย่าหาว่าข้าตระหนี่เลยนะ ยันต์พวกนี้เหลือไม่มากแล้ว กัดฟันให้พวกเจ้าสองคนเลยก็แล้วกัน “
จีเฉวียนจ้องมองนางด้วยสายตาคมกล้า ยิ่งได้อยู่ร่วมกับนางมาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพบว่านางยังมีเรื่องอีกมากมายที่สามารถทำให้เขาประหลาดใจได้เท่านั้น
ยันต์ของนักพรตอู๋เจินนั่น ต่อให้มีพันตำลึงทองยังยากจะแลกมาได้สักแผ่น เขาจะใจกว้างกับนางได้ปานนี้?
คิดว่าคงไม่ใช่แน่แล้ว!
จีเย่ว์ก็เองก็มองนางอย่างเคร่งขรึม คิดจะดูให้ออกว่านางยังปิดบังอะไรไว้บ้าง
ตู๋กูซิงหลันถูกพวกเขาจ้องมองเสียจนหวั่นใจ นางไม่รู้จะทำเช่นไรดีแล้ว
นางไม่สนใจตัววุ่นวายทั้งสองนี้อีก หันหลังกลับไปทางปากอุโมงค์ เท้าก้าวออกไปไม่ทันไรก็ถูกพวกเขาทั้งสองคนยึดเอาไว้อีก
จีเฉวียนเอาตัวขวางจีเย่ว์ไว้ ทั้งยังปัดมือที่จับตู๋กูซิงหลันเอาไว้ออกไป “อี้อ๋อง เจ้าวิ่งได้เร็ว เจ้าไปสำรวจดูทางก่อน เรากับไทเฮาจะรอข่าวดีจากเจ้า”
จีเย่ว์ “……” เมื่อครู่ไม่ใช่ว่ามีคนวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าเขาอีกหรือ?
เขากำหมัดแน่นเข้า หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะทำให้หลันเอ๋อร์พลอยต้องเจ็บไปด้วย เขาไหนเลยจะยอมปล่อยมือโดยง่าย?
“ฝ่าบาท ในอุโมงค์นั่นไม่แน่ว่าอาจมีสิ่งวิเศษอันใด พระองค์เป็นโอรสสวรรค์ เชิญเสด็จก่อนเถอะพะยะค่ะ” อี้อ๋องถอยออกไปด้านข้าง จากนั้นคำนับ ‘เชื้อเชิญ’ ให้อย่างนอบน้อม
จีเฉวียนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ที่แห่งนี้มีพวกเขาเพียงแค่สามคน อี้อ๋องที่ยามปกติจำยอมอ่อนน้อมกลับไม่ยอมเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว
เขายกยิ้มเย็นที่มุมปาก เงยหน้าอย่างรวดเร็วจนยันต์เหลืองแผ่นนั้นปลิวสะบัด สายพระเนตรก็เคร่งขรึมอึมครึมอย่างถึงที่สุด
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อย่าได้วุ่นวายอีกเลย ไปพร้อมกันทั้งสามคนนี่ละ”
ตู๋กูซิงหลันแทบจะทนทั้งสองคนนี้ไม่ไหวแล้ว นางมองจีเฉวียนที่กุมมือตนเองเอาไว้ไม่ยอมคลาย พลางกล่าวว่า “ข้าจะปีนนำหน้า พวกเจ้าสองคนตามข้ามา เผื่อว่าที่ด้านหลังมีตัวอะไรไล่ตามมา พวกเจ้าที่เป็นบุรุษตัวโตจะได้ต้านทานเอาไว้ก่อน”
“เราจะอยู่ข้างหน้า เจ้าเดินตรงกลาง” จีเฉวียนเถียงได้ไม่จบไม่สิ้น
“ไทเฮา ท่านต้องอยู่ตรงกลาง ” จีเย่ว์เองก็ว่าตาม “กระหม่อมจะไม่ยอมให้ท่านได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย”
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
หากว่านางอยู่ตรงกลาง แล้วเกิดไปเจอะเจออะไรกันเข้า มีหวังได้กลายเป็นไส้ขนมเปี๊ยะแน่ เชื่อไหมเล่า?
เมื่อมองดูแผ่นยันต์ที่ติดอยู่บนหน้าผากพวกเขาปลิวเบาๆ อีกทั้งท่าทางที่โง่งมของพวกเขา ตู๋กูซิงหลันได้แต่กังวลใจไม่คลาย
สวรรค์ช่างมีอคติกับนางนัก ถึงได้ส่งเจ้าตัวยุ่งยากทำสองนี้มาคอยเกาะติดนาง!
วิญญาณทมิฬก็ปวดหัวจนทนไม่ไหว “หากว่าเอาตามอั๊วว่านะ ปล่อยเจ้าสองตัวนี้ไปตามบุญตามกรรมเสียเถอะ พวกเราไปกันเองไม่ได้หรือไง? ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟังนะ รับรองว่าในอุโมงค์นั่นมีอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ อั๊วรู้สึกตึกๆ ตักๆ อยากจะกระดุ๋งกระดิ๋งเป็นกระต่ายแล้ว”
“ที่สำคัญที่สุดนะ สุสานของเย่วฮูหยินมีสมบัติมีค่าควรเมืองเป็นสมบัติร่วมกลบฝัง! “
” มาๆๆ ไปกันได้แล้ว! “