“นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอกตัญญูถึงขนาดสมบัติร่วมกลบฝังของท่านย่าตัวเองก็ยังจะขุดออกมาหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันแทบจะหันไปค้อนตาขาวใส่มัน นางคิดว่าที่จริงแล้วคนเองเป็นคนที่มีหลักการและรู้จักขอบเขตคนหนึ่งนะ
วิญญาณทมิฬพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เจ้าเอาแน่! “
ตู๋กูซิงหลัน “……” ที่จริงแล้ว สมบัติร่วมกลบฝังของท่านย่า ไปดูๆ เสียหน่อยก็ได้ ไม่เอามาก็แล้วกัน
เพ้ย! เรื่องที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องสมบัติร่วมกลบฝังเสียหน่อย แต่นางมีความรู้สึกอย่างชัดเจนเลยว่า สุสานของเย่วฮูหยินเกี่ยวพันกับหยกสรรพชีวิต
เพราะตั้งแต่ตอนที่อยู่ด้านนอกของสุสานเย่วฮูหยิน นางก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของกุญแจทองแดงดอกนี้แล้ว
เป็นไปได้ว่าหยกสรรพชีวิตเองก็ถูกส่งมายังโลกนี้เหมือนกับนาง หากสามารถตามหามันกลับมาได้ ไม่แน่ว่านางอาจมีโอกาสกลับไปยังโลกเดิมได้
พอคิดได้ถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ชักจะตื่นเต้นขึ้นมา
ที่ด้านข้างตัววุ่นวายทั้งสองยังเถียงกันไม่หยุดหย่อน นางค้อนควักใส่พวกเขาคราหนึ่ง ก็ไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป สลัดมือจีเฉวียนออกมุ่งไปด้านหน้า
เรี่ยวแรงที่สบัดนั้นไม่น้อย ทำเอาฝ่ามือของจีเฉวียนถึงกับขึ้นสีแดงขึ้นมา
เขาชักจะกรุ่นโกรธขึ้นมาบ้าง สตรีผู้นี้ยิ่งทียิ่งขวัญกล้าใหญ่แล้ว หรือคิดว่าอยู่ในสุสานแห่งนี้แล้วเขาจะไม่กล้าสั่งสอนนางหรือไง?
แม้จะมีโทสะ แต่ว่าเขากลับไม่ลังเลที่จะก้าวตามไปแม้แต่น้อย ทำให้จีเย่ว์ได้แต่ติดตามอยู่เบื้องหลัง
จีเย่ว์เองถึงกับหน้าคว่ำ ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงไร้สาระกับเขาให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีก ใครจะไปรู้ว่าในสุสานของเย่วฮูหยินตกลงแล้วยังมีสิ่งใดอยู่อีกแน่ สมควรรีบออกจากที่นี่ไปก่อนจึงจะดีที่สุด
ทางอุโมงค์ที่คับแคบ เป็นดังที่ตู๋กูซิงหลันคาดการณ์ไว้ ได้แต่ให้แต่ละคนบีบตัวเองผ่านเข้าไป
ภายในอุโมงค์อับชื้น ยังมีกลิ่นเน่าเหม็นจากสิ่งที่สะสมมานานปีโชยออกมาเป็นระยะ ทำให้ฮ่องเต้ผู้มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นที่ว่องไวเป็นพิเศษต้องหายใจอย่างยากลำบากกว่าเดิม
ยังดีที่ บนตัวของตู๋กูซิงหลันมีกลิ่นหอมเฉพาะของดอกฮวาย พอลมเบื้องหน้าพัดโชยมา ก็เจือจางกลิ่นเหม็นอับชื้นเหล่านั้นลง ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
แต่ว่าจีเฉวียนยังคงรู้สึกทรมานมากจริงๆ มือซ้ายของเขาบาดเจ็บ แม้แต่ปิ่นปักผมนั่นก็ยังไม่ได้ดึงออก ตอนนี้ต้องปีนขึ้นไป จำเป็นต้องใช้มือพยุง มุมหินตะปุ่มตะป่ำเหล่านี้ช่างทำให้ผู้คนลำบากเหลือเกิน
เขาหันไปมองดูจีเย่ว์ ก็เห็นเขากำลังปีนตามตนมาติดๆ ขาข้างที่บาดเจ็บขูดลากไปตามพื้น สร้างความเจ็บปวดจนเขาหน้าตาบูดเบี้ยว พอเห็นเช่นนี้พระทัยของฮ่องเต้ก็พอจะสงบลงได้บ้าง
เขาหรี่ตามอง มุมปากยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ “อี้อ๋อง เจ้ามันใช้การไม่ได้แล้ว”
อี้อ๋อง “……..” เขาคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า หัวข้อต้องห้ามของเหล่าบุรุษ จะออกมาจากปากของจีเฉวียน
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ ขออย่าได้ทรงเป็นกังวลในตัวกระหม่อมเลย รักษาพระกำลัง ประคองชีวิตเอาไว้สำคัญกว่า” จีเย่ว์พูดแล้ว ก็แตะยันต์บนหัวให้แน่นเข้า “ยิ่งไปกว่านั้นกระหม่อมใช้การได้หรือไม่ ไทเฮาทรงทราบแก่พระทัยดี”
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว ก็สามารถทำให้จีเฉวียนหน้าดำทะมึนได้สำเร็จ
เขาจ้องมองจีเย่ว์ด้วยสายตาเย็นชาวูบหนึ่ง ก็หันกลับไปดูตู๋กูซิงหลันที่เอาแต่ส่ายก้นกระดุ๊กกระดิ๊กมุ่งมั่นไปข้างหน้า
หรือว่าเจ้าคนโอหังอวดดีสองคนนี้ จะกล้าทำเรื่อง?
ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้น “??? “
เจ้าลูกสุนัขสองตัวนี้ทำไมพอพูดอะไรขัดกันคำหนึ่งเป็นฮึ่มๆ ฮึดฮัดใส่กันด้วยนะ จะฮึดฮัดใส่กันก็ทำไปเถอะแต่อย่าได้ลากนางไปเอี่ยวด้วยจะได้ไหม?
นางตัดขาดกับจีเย่ว์ไปก็ต้องนานแล้ว แถมยังตัดแบบเด็ดขาดไร้เยื่อใยเลยด้วยซ้ำเข้าใจไหม?
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้เจ้าของร่างเดิมจะรักจีเย่ว์จะเป็นจะตายแค่ไหน แต่ก็ยังคงรักษาตัวไว้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะฉะนั้นจีเย่ว์จะใช้การได้หรือไม่ นางจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร?
อืม แต่ถ้าจะพูดเรื่องใครใช้การได้หรือไม่ละก็….ถ้ายกเฉพาะเรื่องขนหน้าแข้งมาวิเคราะห์กัน นางรู้สึกว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขคงจะนำหน้าอยู่ขั้นหนึ่ง
เพราะว่าถ้าขนดกแสดงว่าไตดี ถ้างั้นเรื่องนั้นก็คงจะแข็งแรงดีด้วย
ก็ดูรูปร่างของท่านราชครูสิ หากว่าฮ่องเต้ทรงสามารถจับเขามาจัดการได้ เช่นนี้ยังจะต้องไปเสริมกำลังวังชาอะไรกันอีก
แล้วเท่าที่ดูก็เห็นฮ่องเต้มีกำลังวังชากระปี้กระเป่าอยู่ทุกวี่ทุกวัน หุๆๆ ……ไม่อยากจะคิดเลย
ไปๆ มาๆ ตู๋กูซิงหลันก็ถูกเจ้าสองคนนี้ชักนำจนคิดอะไรออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว คิดไปๆ ก็พาลรู้สึกขึ้นมาว่าที่ด้านหลังเย็นวูบวาบอยู่ไม่น้อย นี่ย่อมจะต้องเป็นเพราะสายพระเนตรเย็นวาบทีจับจ้องนางอยู่แน่นอน
นางพลันรู้สึกเหน็บหนาวจนทั้งร่างเย็นสะท้านขึ้นมา พอหันหลังกลับไปดู ก็เห็นฮ่องเต้ที่แปะยันต์เอาไว้บนหน้าผาก จ้องมองมาด้วยสายพระเนตรเย็นยะเยือก ในประกายตานั้นยังสะท้อนแววโทสะอยู่ด้วยไม่น้อย
“ถ้าทนไม่ไหว ก็ไปคว้าเอาอี้อ๋องไปกอดเถอะ ทำไมเขาจะต้องมาชักหน้าโหดใส่กันด้วย เจ้าเองก็ไม่ใช่สะใภ้ของเขาเสียหน่อย แล้วที่จริงก็ยังไม่เคยนอนด้วยกันด้วยซ้ำ” วิญญาณทมิฬรู้สึกว่าตนเองไม่อาจเข้าใจน้ำพระทัยของฝ่าบาทได้จริงๆ
ทำไมมันดูๆ ไปแล้วเหมือนเห็นเขากลัวจะโดนสวมเขากัน
ตู๋กูซิงหลัน “…….” นี่มันเรื่องหน้าอายจริงๆ
นางแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เก็บสายตากลับมาก็มุ่งหน้าต่อไป และอาจจะเป็นเพราะต้องคลานปีนไปตลอดทาง ลมตดที่กลั้นเอาไว้อยู่นานแล้ว พอมัวแต่เจ็บตรงนั้นอายตรงนี้ ไม่ทันระวังก็เผลอปล่อยออกมา
เสียงดัง ‘ปูด~’
แล้วลมที่ปล่อยออกไปนั้น ก็พุ่งเข้าใสใบหน้าที่ที่งดงามหาที่ใดเปรียบของฮ่องเต้เข้าไปเต็มๆ กระทั้งยันต์ที่แปะอยู่บนพระพักตร์ของเขายังปลิวขึ้นมา
วิญญาณทมิฬ “อ้ายย่าห์ เหม็นฉิบ! “
ฟ้าดินได้โปรดเมตตาด้วย นางแค่ผายลมออกไปทีเดียว แต่ว่าไอ้อุโองค์อุบาทนี้กลับสะท้อนเสียงลมของนางขึ้นมา เสียงนั้นสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบจึงค่อยหายไป
คนที่ตดในอุโมงค์กับตดในลิฟท์นั้นมีผลเท่ากัน
ว่ากันตามจริงแล้ว ขนาดนางที่อยู่ต้นลมยังรู้สึกว่ารับไม่ค่อยจะได้เลย เช่นนี้แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้และอี้อ๋องที่อยู่ใต้ลมแล้ว
ในสมองของตู๋กูซิงหลันยามนี้ปรากฎภาพของตู๋กูเหลียนที่ถูกลากออกไปคราวนั้น
กรรมตามสนองในโลกมิตินี้ช่างรวดเร็วราวกับพายุพัดเสียเหลือเกิน โถ่เอ๋ย!
ฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังเดิมทีสีพระพักตร์ก็เย็นชาเกินจะหาใดเปรียบอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเพิ่มความหนาวเหน็บขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เขาย่นจมูก สายตาก็จ้องไปยังก้นของตู๋กูซิงหลันที่ปล่อยอาวุธออกมา ราวกับว่าอยากจะจับนางมาเสียบไม้เสียนัก
ตู๋กูซิงหลันไม่มีทางเลือกได้แต่กระดุ๊บกระดิบไปข้างหน้า ใจก็กลัวว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขอาจจะล้วงเอาดาบออกมาเสียบนางเข้าให้
นางผิดไปแล้ว นางควรจะสกัดกั้นปิดประตูเมืองเอาไว้!
หัวใจของนางเต้นเสียงดังตึกๆ ตักๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่า “ต่อไปเจ้าต้องกินผักให้มาก กินเนื้อให้น้อย”
ตู๋กูซิงหลัน “??? ” นี่เขาไม่โกรธหรือ? ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจคนที่ปล่อยตดผายลมที่สุดหรอกหรือ?
นางยังไม่ทันตั้งสติได้ ก็ได้ยินอี้อ๋องกล่าวรับอย่างเห็นด้วยกับจีเฉวียนว่า “ไทเฮา ท่านต้องกินผลไม้ให้มากด้วย”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” คนรักเก่า ขอร้องเจ้าหุบปากเถอะ!
นี่มัน……….หน้าอายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้ว!
“เนื้อสัตว์กินมากเกินไปไม่ดีต่อร่างกาย แถมเจ้ายังกินเสียมากมายอยู่ทุกวัน” จีเย่ว์ยังคงไม่ลืมกล่าวต่อไป
พอเขากล่าวออกไป ก็เห็นจีเฉวียนหันมาจ้องเขาดวงสายตาเย็นวาบอีกครั้ง แต่ละวันตู๋กูซิงหลันกินอะไรบ้าง เขาช่างรู้ดีนักนะ?
ดูท่า ภายในวังของเขา คงจะมีสายลับของอี้อ๋องอยู่ไม่น้อย
พอยิ่งคิดถึงถ้อยคำของเขาเมื่อครู่ จีเฉวียนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีหนามทิ่มตำพระทัย พาลเปลี่ยนเรื่องหันไปถามตู๋กูซิงหลันว่า “ไทเฮา เราสงสัยยิ่งนัก ตกลงว่าอี้อ๋องใช้การได้หรือไม่ เจ้าว่ามาสิ”
ตู๋กูซิงหลัน “……..” ปัดโถ่เอ๋ย สถานการณ์แบบนี้อย่าได้หาเรื่องทิ่มแทงกันจะได้ไหม?
นางในตอนนี้คิดแต่จะออกไปจากอุโมงค์นี้ให้เร็วที่สุด จะได้ดูว่าตกลงแล้วในสุสานของท่านย่ามีหยกสรรพชีวิตอยู่หรือไม่
“หืม ทำไมไม่พูด? ถ้างั้นก็หมายความว่าไม่ได้เรื่องละสิ? ” จีจีเฉวียนไม่ปล่อยโอกาสให้นางได้ทันมีปฎิกิริยา ก็สรุปให้ทันที “ก็ใช่สิ น้องชายของเราคนนี้ ตั้งแต่เล็กมาแล้วก็ผ่ายผอมอ่อนแอ นอกจากสมองที่ดีอยู่สักหน่อยแล้ว สุขภาพนั้นใช้ไม่ได้เลย”
“เจ้าเองก็ไม่ต้องไปปิดบังอะไรให้เขา ใช้การไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายอะไร ข้าที่เป็นพี่ชายใช้การได้ก็พอแล้ว”