ตอนที่ 86 คู่จิ้นที่ฝืนมา จะอย่างไรก็ไม่หวาน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูซิงหลันพูดอะไรไม่ออกแล้ว ได้โปรดเถอะ นางยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยนะ 

 

 

ข้ารู้แล้วว่าท่านเจ๋ง จ้ำจี้กับท่านราชครูอยู่ทุกวันทุกคืนทุกที่ทุกเวลาเลยใช่ไหม?  

 

 

แล้วเรื่องนี้มันจำเป็นจะต้องประกาศออกมาด้วยหรือ?  

 

 

ประเด็นสำคัญคือมาบอกกับนางที่เป็นพระมารดาเลี้ยงมันเหมาะเสียที่ไหน?  

 

 

สีหน้าจีเย่ว์เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ จีเฉวียนทำเช่นนี้ชัดเจนเลยว่ากำลังดูหมิ่นความสามารถเชิงบุรุษของเขา 

 

 

เขามองไปยังตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านหน้า “ไทเฮา กระหม่อมยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน เพียงแต่ฝ่าบาทไม่ทรงทราบรายละเอียด ขอท่านเชื่อใจกระหม่อม” 

 

 

คำพูดเช่นนี้ หากเป็นแต่ก่อนตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าพูดกับหลันเอ๋อร์ เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมายามเขาอยู่กับหลันเอ๋อร์ ต่างก็รักษามารยาทต่อกัน เรื่องที่จะไปทำอะไรลับๆ ล่อนั้นเป็นไม่มี 

 

 

แต่ตอนนี้เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงไร้ยางอายก่อน ถ้าเช่นนั้นเขาไม่ต้องรักษาหน้าก็ไม่เป็นไร!  

 

 

ปากของตู๋กูซิงหลันตอนนี้คว่ำจนถึงที่สุดแล้ว ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าสองคนนี้ทำตัวราวกับ ‘เป็ดทุ่ง’ ก๊าบๆๆ ร่ำร้องว่าตัวเองเก่งเจ๋งโคตรอยู่นั่น จะมาขอให้นางโปรดปรานหรือยังไง?  

 

 

และเพราะเกรงว่าพวกเขาจะยังโอ้อวดแข่งกันอีก นางจึงหันไปยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน “พวกท่านในเมื่อต่างก็เก่งกาจเยี่ยมยอดกันนัก ถ้าเช่นนั้นก็รักใคร่กลมเกลียวดูแลกันและกันให้ดีก็แล้วกัน ข้าไม่รังเกียจที่จะคอยชื่นชมอยู่ด้านข้าง” 

 

 

ไม่เพียงไม่มีรังเกียจ ทั้งยังตื่นเต้นสนใจอยู่บ้างด้วยซ้ำ 

 

 

เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นขนาดท่านราชครูยังรวบหัวรวบหางไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะรวบน้องชายตัวเองบ้างจะเป็นไรไป?  

 

 

ไม่แน่ว่ารวบไปรวบมา จีเย่ว์เองก็อาจจะติดใจ ต่อไปก็ยินยอมพร้อมใจเป็นฝ่ายในของเขาก็ได้นี่?  

 

 

แค่นี้ก็คลี่คลายปัญหาระหว่างพี่น้องไปได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ?  

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านางช่างฉลาดจริงๆ!  

 

 

วิญญาณทมิฬเองก็กำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง “อั๋วว่านะ ได้มาชมดูเหตุการณ์สดๆ ในที่แบบนี้ก็ไม่เลวเลย” 

 

 

ขณะที่มันพูดไปมันก็ลูบคลำนวดหัวตัวเองไปด้วย ทันใดนั้นมันก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา ใบหน้าดำๆ กลมๆ นั่นก็ปรากฎแสงสีแดงสองสายขึ้นมาจางๆ  

 

 

พอตู๋กูซิงหลันพูดออกไปอย่างนั้น ทั้งจีเฉวียนและจีเย่ว์ต่างก็หน้าดำทะมึน ถึงแม้จะไม่เข้าใจคำพูดของนางทั้งหมด แต่ว่าจากคำที่ว่ารักใคร่ดูแลกันและกันไม่กี่คำนี้ ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งสองรู้สึกบ่าไหล่เย็นวูบ 

 

 

ในอุโมงค์ยังคงมีกลิ่นตดจางๆ ผสมปนเปกับกลิ่นเหม็นอับชื้นบูดเน่า ทำให้ผู้คนยากจะทนทานอยู่แล้ว ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเห็นหน้าของจีเย่ว์ก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา 

 

 

จีเย่ว์เองก็รู้สึกว่าทะเลในกระเพาะกำลังพลิกตลบ เขาคลานถอยหลังไปจนไกลห่างจากจีเฉวียน 

 

 

ต้องมาคุกเขาคลานอยู่ด้านหลังของจีเฉวียนตลอดเวลาเช่นนี้ พาลให้เขารู้สึกไม่ดีแปลกๆ จริงๆ  

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันไปดูสองหนุ่มโฉมงาม ก็ยกมุมปากขึ้นยิ้ม ดูท่าแล้ว คู่จิ้นที่ฝืนบังคับมานี้ คงจะหวานไปกันได้ไม่นานเท่าไหร่ 

 

 

 

 

 

นางพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันหน้าป่ายปีนขึ้นไป ปีนขึ้นไปได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกว่าบนศีรษะมีอะไรเปียกๆ หยดแหมะๆ ลงมา พอดีหยดลงบนกลางกระหม่อม 

 

 

พอเอามือลูบดู ก็เห็นเป็นเลือดดำๆ! ที่ทั้งคาวทั้งเหม็น!  

 

 

พอเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าบนเพดานมีใบหน้าหนึ่งผุดออกมา!  

 

 

ใบหน้านั้นราวกับศีรษะถูกตัดออกมาจากคนที่มีชีวิตเป็นๆ แต่กลับไม่มีแววตา สีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว คล้ายกับพยายามที่จะออกมาจากกำแพงหิน 

 

 

เลือดสีดำแดงนั่นก็ออกมาจากปากและดวงตาของใบหน้านั้นนั่นเอง 

 

 

ภาพที่เห็นน่ากลัวเสียจนใครได้เห็นเป็นต้องหายใจไม่ออก 

 

 

หากว่าเป็นคนธรรมดามาเห็นเข้าละก็มีหวังอาจกลัวจนช๊อคตายไปแล้วก็ได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันล้วงเอากริชพิเศษของตนเองออกมา นางไม่ได้ลนลาน แต่ว่าเพิ่มความเร็วในการปีนขึ้นไปอีก 

 

 

จีเฉวียนและจีเย่ว์เองก็เลิกก่อความวุ่นวาย ติดตามนางมาอย่างกระชั้นชิด 

 

 

สุสานนี้ มีผีเฮี้ยนแล้ว!  

 

 

ฮ่องเต้ทรงเงยพระพักตร์กวาดพระเนตรดู พลันรู้สึกว่าใบหน้าของคนที่กำลังทะยอยผุดออกมานั้น กำลังยิ้มเยาะให้เขา 

 

 

เขารู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วร่าง ไม่สบายตัวแม้แต่น้อย 

 

 

จิตสำนึกของเขาหวนกลับไปยังความทรงจำไม่ดีในวัยเยาว์ ทำให้เขารีบยื่นมือออกไปคว้าข้อเท้าของตู๋กูซิงหลันไว้ 

 

 

ปฎิกิริยาเดียวที่เกิดขึ้นในทันทีของตู๋กูซิงหลันคือถีบเท้ากลับไป บังเอิญถีบลงไปบนพระพักตร์ของฮ่องเต้กลายเป็นรอยประทับรองเท้าจนหน้าแดงเถือก!  

 

 

จีเฉวียนโดนนางถีบเข้าไปเท้าหนึ่งเต็มแรงถึงกับมึนงง เดิมทีเขาคิดว่า ชาตินี้เขาคงโดนคนเอารองเท้าตบหน้าแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!  

 

 

แต่ว่าสตรีที่ไม่รู้จักรักชีวิตผู้นี้กลับกระทำซ้ำอีกหน!  

 

 

“เอ่อ…….” ตู๋กูซิงหลันพูดไม่ออก นางนึกว่ามีอะไรมาคว้าขาของตนเองเอาไว้ เจ้าสุนัขจีเฉวียนนี่ อยู่ดีๆ มาคว้านางทำไม?  

 

 

นางหันหน้ากลับไปมองเขาครั้งหนึ่ง เห็นเขากำลังจ้องมาที่ตนเอง มือข้างนั้นเกาะกอดตัวเองเอาไว้แน่น 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน……..เจ้าหนุ่มนี่ คงจะไม่ได้กลัวผีใช่ไหม?  

 

 

ก็มีความเป็นไปได้อยู่ การที่เขาสามารถปีนป่ายขึ้นมาบนบัลลังก์ได้ มือต้องเปื้อนเลือดมาไม่รู้ว่าเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ การที่จะกลัวเรื่องพวกนี้อยู่บ้างก็สมควรอยู่ 

 

 

” ลูกเอ๋ย ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้ว! ” ตู๋กูซิงหลันหันไปสบตาให้เขาอย่างเชื่อมั่น “ข้างหน้ามีแสงสว่างอยู่ คิดว่าคงใกล้จะถึงปลายทางแล้ว พวกเจ้าสองคนอย่ามัวกังวล มีข้าอยู่รับรองว่าไม่ตายไปได้หรอก” 

 

 

จีเฉวียน “…….” 

 

 

จีเย่ว์ “……..” 

 

 

พวกเขาคนหนึ่งเป็นฮ่องเต้ อีกคนหนึ่งเป็นท่านอ๋อง แต่ว่าพอเกิดเรื่องก็ต้องมาให้สาวน้องยนางหนึ่งปกป้องหรือ?  

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่มาสนใจอะไรให้มากความ ใช้ความว่องไวรวดเร็วมุ่งออกไปทางแสงสว่างนอกอุโมงค์ 

 

 

พอถึงปลายทาง ถึงได้เห็นว่าแสงสว่างที่สะท้อนออกมานั้นมาจากประตูทองแดงบานหนึ่ง 

 

 

ประตูทองแดงบานนั้นเป็นเพียงประตูสี่เหลี่ยมบานหนึ่ง ขนาดเพียงหนึ่งในสามของหน้าต่างปกติ ด้านบนมีลวดลายยันต์ที่สลับซับซ้อน ตรงกลางมีภาพหยินหยางขนาดเท่าไข่ไก่ใบหนึ่ง 

 

 

แสงสว่างสะท้อนมาจากดวงตาขอปลาบนรูปหยินหยางนี้เอง 

 

 

“กึกๆๆๆ ~” ขณะนั้นเอง ที่ด้านหลังของพวกเขาพลันเกิดความเคลื่อนไหว ใบหน้าที่ผุดออกมาจากกำแหงหินเหล่านั้นเริ่มร่วงลงมา มันส่งเสียงที่พาลให้คนฟังแล้วเกิดขนลุกชัน แต่ละใบหน้าราวกับเศษผ้าขี้ริ้วแต่ละชิ้นที่ผสานรวมตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหน้ามนุษย์ที่อัปลักษณ์น่าเกลียดไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

จีเย่ว์ที่อยู่ด้านหลังสุด กำลังจะถูกใบหน้ามนุษย์นั้นพุ่งเข้ามากัดขาข้างที่บาดเจ็บอยู่ 

 

 

“มาแล้วๆ! อาหารเรียกน้ำย่อย! กำลังเสียดายอยู่เลยว่าไม่มีวิธีดึงพวกมันออกมาจากก้อนหินได้! ” วิญญาณทมิฬนั่งรอต่อไปไม่ไหวแล้ว กระโดผลุบจากบ่าของตู๋กูซิงหลันไปบนตัวของจีเย่ว์ 

 

 

เพียงวูบเดียวก็ขวางอยู่เบื้องหน้าของใบหน้านั้น อ้าปากแดงฉาดของมันเตรียมเขมือบเข้าไปอย่างเต็มที่ 

 

 

ใบหน้าอัปลักษณ์นั่นไม่เห็นมันอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย กลับอ้าปากขยายขึ้นใหญ่กว่ามันเสียอีก เ เพียงครั้งเดียวก็เขมือบกลืนถวนจื่อเข้าไปทั้งหมด 

 

 

ถึงจะบอกว่าเขมือบกลืน แต่ที่จริงแล้วน่าจะพูดว่าใช้ผิวหน้านั้นครอบทับเจ้าวิญญาณทมิฬลงไปเสียมากกว่า จากนั้นก็คิดจะบดขยี้มันอย่างโหดร้าย เรียกว่าคิดจะบดเบียดมันให้แตกละเอียด 

 

 

จีเย่ว์หันหลังกลับไปดู เมื่อครู่เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างวูบผ่านตัวเขาไปยังด้านหลัง จัดการหยุดยั้งใบหน้าประหลาดนั่นไว้ 

 

 

เขาพลันตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ เพราะยามปกติมีแต่พบเจอกับคนธรรมดาทั่วไป มือสีขาวที่ผุดออกมาจากกำแพงเมื่อครู่ถือว่าเกินคาดไปมากแล้ว ตอนนี้ยังมีใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวนี่อีก ถึงแม้ว่าจะเคยมีจิตใจเข้มแข็งสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันที่ติดอยู่ด้านหน้าประตูทองแดงนั้น ก็รีบศึกษาดูอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็สามารถทำให้รูปปลาคู่ในภาพหยินหยางหมุนขยับได้ 

 

 

จากนั้นก็ขยับจนดวงตาของปลาทั้งสองกลายเป็นจุดเดียวกัน ทันใดนั้นกุญแจทองแดงในอ้อมอกของนางก็พลันเกิดความเคลื่อนไหว