ตอนที่ 695 ไยถึงมาส่งที่นี่
ซูหลีเดินนำชุยตานอย่างรีบเร่งมาที่ห้องรับแขกด้านหน้า
ทันทีที่เข้าไปก็พบกับป๋ายเฮ่อที่สวมชุดสีน้ำเงินปักลวดลายไผ่เขียว และยังมี…ป๋ายไต้ซือ
ฝีเท้าของซูหลีผงะไปเล็กน้อย ใบหน้าของซูหลีมีความคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นี่ช่างน่าสนใจโดยแท้ แค่เรื่องการพนันของคนหนุ่มเท่านั้น แม้แต่ป๋ายไต้ซือก็มาที่นี่ด้วย
หากไม่รู้ยังจะคิดว่าสกุลป๋ายให้ความสำคัญกับการเดิมพันครั้งนี้มาก หรือยังมีคนยกย่องที่สกุลป๋ายรักษาสัจจะกัน! ทำให้การที่พวกเขาโผล่มาที่นี่อย่างกะทันหัน…ซูหลีเม้มริมฝีปาก เก็บซ่อนความซับซ้อนในแววตาของตนเอาไว้
“คุณชายป๋าย ป๋ายไต้ซือ!” ทันทีที่ซูหลีเดินออกไป ก็ยกมือขึ้นทำความเคารพทั้งสองคน
ซูไท่ที่อยู่ด้านข้างมองนางปราดหนึ่ง บัดนี้ซูหลีช่างมีอนาคตกว้างไกลโดยแท้
ดูสิเพิ่งจะไม่เท่าไหร่ ก็มีแต่บุคคลที่เก่งกาจในเมืองหลวงมาหาที่จวนหลายท่านแล้ว! ครานี้ก็เป็นสกุลป๋าย สกุลขุนนางเก่าแก่อันดับต้นๆ แห่งเมืองหลวง!
“พี่ซู” ป๋ายเฮ่อได้ยินดังนั้นจึงมองไปทางนาง เขาเห็นแววตาซับซ้อนของซูหลี และขานเรียกซูหลีด้วยสรรพนามที่ประหลาดนัก
บัดนี้ซูหลีเป็นขุนนางเต็มตัว เขากลับเรียกซูหลีว่า ‘พี่ซู’ ก่อนหน้านี้ยามที่พวกเขาอยู่ในการเดิมพัน ก็ยังเรียกนางตามมารยาทว่า คุณชายซู เท่านั้น
บัดนี้คำเรียกว่า พี่ซู คล้ายกับมีสัญญาณอะไรบางอย่างมิปาน
ซูหลีชำเลืองมองและคาดคะเนอย่างลึกซึ้ง นางเพียงมองทั้งสองคน ทว่าป๋ายไต้ซือที่ยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา จากนั้นจึงเอ่ยอย่างคล้อยตามว่า “พี่ป๋าย”
“ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อมาทำตามที่เดิมพันเอาไว้” ป๋ายเฮ่อมองซูหลี ใบหน้าที่มีความซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก ทว่ายามที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา กลับไม่มีความสมัครใจเลยสักนิด
ซูหลีเห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาอย่างพิจารณา
ป๋ายเฮ่อนั้นแตกต่างหวังเฮ่อโดยสิ้นเชิง จิตใจของครอบครัวเขาไม่อาจเปรียบกับครอบครัวของหวังเฮ่อได้ ที่รู้ว่าแพ้ก็คือแพ้
ป๋ายเฮ่ออาจจะไม่ค่อยสมัครใจนัก ทว่ายามที่มาถึงที่นี่แล้วก็ยังแสดงท่าทีออกมาได้อย่างนิ่งเฉย ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้ยาก
ซูหลีถอนหายใจอยู่ในใจ แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้า ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดว่าป๋ายเฮ่อแล้ว นางก็เลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยว่า “ทว่าข้าจำได้ว่า ยามที่พวกเราเดิมพันนั้น เพียงแค่ให้พี่ป๋ายนำป้ายที่หนึ่งใต้หล้าไปไว้ที่สำนักเต๋อซั่นเท่านั้น อีกทั้งยังให้พี่ป๋ายเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาว่า สำนักเต๋อซั่นดีกว่าสำนักฉยงสือ…แล้วไยบัดนี้พี่ป๋ายถึงมาที่นี่กัน”
ความหมายที่ซูหลีต้องการจะสื่อก็คือ ถ้าจะทำตามที่เดิมพันไว้ ก็ควรไปจัดการที่สำนักเต๋อซั่น ไม่ใช่มาหานางถึงที่นี่
ป๋ายเฮ่อนั้นถือว่าเป็นคนสุขุม ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดของซูหลีแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง ทว่าเขายังสามารถเก็บอาการเอาไว้ได้ เขามองไปที่บิดาของตนปราดหนึ่ง และพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งเฉยว่า
“ในเมื่อเดิมพันกับพี่ซู แน่นอนว่าก็ควรทำตามเดิมพันกับพี่ซู อีกทั้งพี่ซูเป็นคนของสำนักเต๋อซั่น อย่างมากข้าก็แค่นำป้ายนี้ไปไว้ที่สำนักเต๋อซั่นพร้อมกับพี่ซู”
ขณะที่พูด เขาก็ชี้นิ้วไปทางด้านหลัง ซูหลีมองตามสายตาของเขาก็เห็นป้าย ‘ที่หนึ่งใต้หล้า’ ที่ถูกเด็กรับใช้หลายคนแบกเอาไว้ทันที
ป้ายนี้สร้างขึ้นงดงามประณีตเป็นอย่างมาก ตัวอักษรสีทองตัวใหญ่ที่เขียนว่า ‘ที่หนึ่งใต้หล้า’ นั้นมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น เป็นประกายต่อหน้าทุกคน
ซูหลียกมุมปากขึ้น ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม แต่เอ่ยอย่างไม่คลุมเครือว่า “เช่นนั้นก็ลำบากพี่ป๋ายแล้ว ที่ต้องเดินทางไปกับข้าวันพรุ่งนี้อีกครั้ง!”
มุมปากของป๋ายเฮ่อชะงักค้างไป เขาเห็นท่าทางที่ดื้อรั้นหัวแข็งของซูหลี เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปขายหน้าต่อหน้าผู้คนครั้งหนึ่งถึงจะจบเรื่อง!
ตอนที่ 696 มีคนมาขอแต่งงานอีกแล้ว
“ใต้เท้าซูเป็นคนที่มีอารมณ์ขันจริงๆ!” บรรยากาศออกจะตึงเครียดน้อยๆ แต่คนที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างๆ จู่ๆ ก็หัวเราะเสียงแหลมออกมา
ในแววตาที่มองซูหลีเจือไปด้วยความชื่นชม
“พี่ซูช่างโชคดีจริงๆ!” คราวนี้พี่ซูของป๋ายไต้ซือมิใช่ซูหลี แต่หมายถึงบิดาซูลี ซูไท่
ไม่ว่าอย่างไรป๋ายไต้ซือก็ถือเป็นผู้อาวุโสกว่าซูหลี จึงไม่มีทางที่จะเรียกซูหลีเป็นคนในวัยเดียวกัน
ซูไท่ได้ยินเช่นนั้น ก็รีบร้อนประสานมือเข้ากันพร้อมรีบร้อนเอ่ย มิกล้าๆ
ที่จริงในใจเขาเองก็ลังเลสับสน เพราะที่จริงแล้วเขาและป๋ายไต้ซือก็เป็นข้าราชการด้วยกันมานานหลายปี แต่ไม่เคยติดต่อพูดคุยกันมาก่อน
ด้วยสถานภาพของเขาย่อมไม่เห็นหัวเขาย่อมไม่คิดจะคบค้าสมาคมกับเขา
แต่ว่า…
คำว่าพี่ซูนี้พูดเสียจนซูไท่เองก็รู้สึกเช่นเดียวกับซูหลีขึ้นมาตงิดๆ ก็คือรู้สึกแปลกๆ แบบบอกไม่ถูก
“พี่ซูถ่อมตัวเกินไปแล้ว อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถเป็นขุนนางซ่าวซือระดับหนึ่ง หากการเริ่มต้นเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาแล้วละก็บุตรชายข้าเฮ่อเอ๋อร์ก็คงยิ่งกว่าธรรมดา”
ใบหน้าซูไท่กระด้างอีกฝ่ายพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็คงจะถ่อมตัวไปมากกว่านี้ก็ไม่ได้ มิฉะนั้นแล้วจะเป็นการพูดถึงบุตรชายอีกฝ่ายว่าเป็นคนธรรมดาดาษดื่นเกินไปแบบอ้อมๆ
ถึงแม้ว่าป๋ายเฮ่อจะธรรมดากว่าซูหลีจริงๆ ก็เถอะ
ซูไท่คิดถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างขึ้น ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาต่ำต้อยกว่าทุกคน แต่แล้วมันจะอย่างไร ตอนนี้บุตรชายเขาอยู่เหนือกว่าบุรุษทุกคนในเมืองหลวง
กระทั่งคนอย่างป๋ายไต้ซือก็ยังพยายามสนิทสนมกับเขา คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
และเพราะเหตุนี้เอง แววตาที่มองบุตรชายก็อ่อนโยนลงไปอย่างบอกไม่ถูก
“มาที่นี่วันนี้ นอกจากจะพาเฮ่อเอ๋อร์มาชดใช้สิ่งที่เดิมพันกับใต้เท้าซูแล้ว ก็ยังมีเรื่องสำคัญอ่ย่างยิ่งอยากจะหารือกับใต้เท้าทั้งสอง” เขาพูดอ้อมวกวนอยู่นานกว่าจะพูดเจตนาของเขา
ซูหลีได้ยินเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นมองป๋ายไต้ซือที่พูดเจื้อยแจ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ป๋ายไต้ซือพูดมาเถอะ!” ซูหลีมีตำแหน่งสูงกว่าซูไท่ แต่พูดไปแล้วทั้งซูไท่และป๋ายไต้ซือต่างก็เป็นผู้อาวุโส พวกเขาทั้งสองคุยกัน นางย่อมไม่มีสิทธิ์สอด
ท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัยพึ่งพาเช่นนี้ ซูไท่เองก็รู้แจ้งแก่ใจ จึงยังพอสามารถรับมือได้อย่างชำนาญ
“คือแบบนี้” ในใจป๋ายไต้ซือรู้ดี ถึงแม้เขาจะพูดคุยกับซูไท่อยู่ แต่เขามาเพื่อซูหลี ตอนที่พูดจาอยู่นั้นก็เหลือบมองซูหลีอย่างอดไม่ได้ และเอ่ยต่อ
“ซูหลีโดดเด่นแต่เด็ก พี่ซูเองก็เป็นง่ายๆ ส่วนข้าเองก็ได้ยินว่าซูหลียังไม่ได้แต่งงาน ก็เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมาไม่สู้…” เขาพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักนิ่งไป ดวงตาเป็นประกายวิบวับ
“เราสองครอบครัวจะมีโอกาสสนิทแนบชิดกันมากยิ่งขึ้นหรือไม่?”
พอเอ่ยเช่นนี้แล้วอย่าว่าแต่ซูหลีเลย กระทั่งซูไท่ยังนิ่งชะงักไป
แปลว่าป๋ายไต้ซือผู้นี้อยากจะเป็นทองแผ่นเดียวกับสกุลซู!?
นี่ นี่ออกจะ…
“บุตรสาวข้าที่ไม่เอาไหนเข้าวังไปแล้ว มิฉะนั้นคงเหมาะกับซูหลีนัก” ป๋ายไต้ซือเห็นท่าทางตกใจของซูไท่จึงรีบร้อนอธิบาย
“แต่ลูกสาวคนรองของข้า ตอนนี้อยู่ในวัยเหมาะสมที่จะออกเรียน ดูไปแล้วถือว่าคู่ควรกับซูหลีอยู่เหมือนกัน!”
ป๋ายไต้ซือยังมีบุตรีอีกคนหนึ่ง?
ซูหลีนิ่งชะงักไปน้อยๆ ทำไมในความทรงจำของนาง จำถึงจำได้ว่าป๋ายถานเป็นที่รักที่ทะนุถนอมเพียงหนึ่งเดียวในจวนสกุลป๋าย?
แต่คิดไปแล้วก็เห็นจะจริง ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือความสามารถของป๋ายถานก็ล้วนแต่เป็นที่หนึ่ง ทำให้ยามอยู่ในบ้านก็เป็นที่หนึ่ง และเมื่ออยู่ด้านนอกก็มีชื่อเสียงโดดเด่น ต่อให้มีพี่น้องร่วมสายเลือดอยู่ในจวน ก็คงถูกป๋ายถานข่มบดบังจนหมดสิ้น!