ตอนที่ 697 ซูหลีคิดว่าอย่างไร
“ภายหน้าหากพวกเราได้เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ซูหลีก็ถือเป็นบุตรชายข้าครึ่งหนึ่งด้วย!” มีบางคำพูดที่ไม่ต้องพูดตรงไปตรงมามากนัก แต่ป๋ายไต้ซือยังสามารถชี้ช่องให้เห็นประโยชน์ในนั้นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาและสกุลป๋ายอยู่ในราชสำนักมาก็นาน มีเส้นสายคนรู้จักอยู่เต็มไปหมด มีอิทธิพลในราชสำนักก็พอๆ กับตระกูลเซี่ย พอได้คำสัญญาเช่นนี้จากปากเขาถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
ถึงแม้ซูหลีจะเริ่มต้นด้วยตำแหน่งที่สูงมาก อีกทั้งได้เริ่มเป็นขุนนางระดับหนึ่ง พูดไปที่แล้วนางก็ไม่ได้มีรากฐานอะไรในราชสำนัก รู้จักคนก็อยู่ในวงจำกัด
ถึงแม้ว่าคนในสำนักเต๋อซั่นจะสูงศักดิ์กันอย่างยิ่ง แต่คนเหล่านั้นอายุยังน้อย จึงยังไม่ได้เข้ารรับราชการกัน
คนที่ยังอยู่ในราชสำนักตอนนี้ก็มีแต่คนแก่อย่างพวกเขา พอพูดแบบนี้แล้วการสมรสครั้งนี้ ไร้ซึ่งผลเสีย และมีแต่ผลดีต่อตัวซูหลีทั้งสิ้น
อีกทั้งขุนนางมีจำนวนมากแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากสมรสกับบุตรีของป๋ายไต้ซือ ต่อให้บุตรสาวไม่มีชื่อเสียงอะไร ไม่ได้โด่งดังเท่าป๋ายถาน แต่ก็ถือว่ากลายเป็นพวกเดียวกับป๋ายไต้ซือ
ภายหน้าอยู่ในราชสำนัก ย่อมมีคนเข้าข้างซูหลีไม่น้อย
ทันทีที่ป๋ายไต้ซือเปิดปากเอ่ย ในใจซูไท่ก็ครุ่นคิดในทันที เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็รู้สึกได้เลยว่าความคิดนี้ของป๋ายไต้ซือก็ไม่เลวนัก!
ขนาดเขาได้ยินยังใจสั่นไม่ได้!
หากได้เป็นทองแผ่นเดียวกับสกุลป๋ายละก็ อนาคตในภายหน้าของซูหลีก็คงรุ่งโรจน์เรืองรอง!
“ลูกสาวคนรองของข้าถึงแม้ว่าจะเกิดจากภรรยารองในบ้าน แต่ก็เติบโตอยู่ในสายตาฮูหยินของข้า มีมารยาทและความรู้อย่างมาก ซูหลีมีนิสัยซุกซนหากได้มีครอบครัว ก็ควรจะหาคนที่มีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล บุตรสาวคนรองของข้าไม่ด้อยไปกว่าใครแน่ในด้านนี้!”
ป๋ายไต้ซือผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นราชครู ยิ่งพูดซูไท่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้เข้าท่าเอาการ
โดยเฉพาะเมื่อเขาครุ่นคิดไปแล้ว ตำแหน่งขุนนางของซูหลีคือเซ่าซือ
หากตอนนี้ฮ่องเต้ทรงมีทายาท ซูหลีอาจบังเอิญกลายเป็นคนในอาณัติของป๋ายไต้ซือ เป็นผู้ช่วยของป๋ายไต้ซือ
หากว่ามีความสัมพันธ์เช่นนี้เพิ่มเข้าไปด้วยก็คงจะ…
ซูหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ เอาแต่ยิ้มไม่พูดไม่จานางเคาะพัดที่ถืออยู่กับฝ่ามือตนเองอย่างไม่ใส่ใจ
ป๋ายไต้ซือเอาแต่พูดคุยกับซูไท่ ทว่าถึงพูดกับซูไท่ แต่เขาเอาแต่เหลือบมองซูหลีอยู่ตลอดเวลา
เห็นซูหลีไม่พูดไม่จาเพียงแต่ยิ้มละไม กระทั่งตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเช่นนี้ ใบหน้านางก็แค่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ หัวใจพลันหนักอึ้งลง
ซูหลีอายุอานามเพียงเท่านี้ ไม่พูดเรื่องอื่น เพียงแค่ใบหน้าท่าทางที่สุขุมนุ่มลึกนี้ ทำให้หวาดระแวงอย่างมาก
วันนี้มาทาบทามขอลูกเขย ป๋ายไต้ซือเองก็มีเจตนาแฝงอยู่
นี่คือมิตรไมตรีเขายื่นให้ซูหลี หากซูหลีรับไมตรีนั้นจะเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง และหลังจากนี้เป็นต้นไปข้างกายเขาก็จะมีแขนขาที่แข็งแรงเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
คำพูดเหล่านั้นที่เขาพูดไปเมื่อครู่ ไม่ใช่จงใจชมเชยซูหลี แต่เป็นความในใจของเขา
ได้คนฉลาดแบบนี้มาอยู่ข้างกาย คงจะมีบางเรื่องเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
แต่หากซูหลีไม่ยอมรับปากขึ้นมา…
แววตาป๋ายไต้ซือพลันหนักอึ้ง เช่นนั้นแล้วก็จำต้องกำจัดคนผู้นี้ ไม่พูดเรื่องตำแหน่งของเขาในตอนนี้ แต่พูดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายมี และจากข่าวคราวที่เขาได้มาเรื่องคนที่ซูหลีจับมา
สามารถทำให้ป๋ายไต้ซือตกที่นั่งลำบากได้!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ป๋ายไต้ซือก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก มองซูหลีพลางเอ่ย “ซูหลีเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ตอนที่ 698 ขอพิจารณา
ถามนางหรือ
ซูหลีเลิกคิ้วขึ้น นางไม่รู้อะไรทั้งสิ้น
ป๋ายไต้ซือต้องการให้บุตรีของอนุของเขาแต่งงานกับนาง แน่นอนว่าแม้จะเป็นบุตรีของอนุ ทว่าก็มีคนไม่น้อยที่ต่อแถวรอสู่ขอบุตรีของป๋ายไต้ซือ
ทว่าซูหลีมิใช่บุรุษที่แท้จริง นางจะแต่งภรรยาเข้ามาเพื่ออะไรกัน
นางยังไม่คิดที่จะแต่งงาน!
แน่นอนว่า เรื่องนี้นางไม่อาจพูดกับป๋ายไต้ซือได้
นางได้ยินดังนั้นสีหน้าจึงผ่อนคลายลงไปครู่หนึ่ง จากนั้นคล้ายกับมีความฮึกเหิมบางอย่าง นางรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงคารวะป๋ายไต้ซือแล้วเอ่ยว่า
“ข้าน้อยไม่รู้มาโดยตลอดว่า ป๋ายไต้ซือจะให้ความสำคัญกับข้าน้อยขนาดนี้ อีกทั้งยังต้องการบุตรีของไต้ซือแต่งงานกับข้าน้อย”
หลังจากซูไท่ได้ยินคำพูดของซูหลีแล้ว ใบหน้าก็วูบไหวเล็กน้อย ซูหลีนี่ช่างเฉลียวฉลาดโดนแท้
งานแต่งครั้งนี้ เขารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้
หากสามารถเกี่ยวดองกับสกุลป๋ายในเวลานี้ได้ อนาคตซูหลีคงเป็นดั่งเสือติดปีก ที่สามารถกระโดดมาเป็นบุคคลที่มีอำนาจในเมืองหลวงได้ทันที!
“เพียงแต่…” ทว่าซูหลีไม่เปิดโอกาสในทางนั้นตั้งตัว ซูหลีพูดประเด็นด้วยเสียงเบาว่า
“เรื่องการแต่งงาน การดูตัวนั้นเป็นหน้าที่ของมารดา แม้ซูหลีไม่มีมารดา ทว่าบัดนี้บิดายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องได้รับการอนุญาตจากบิดาเสียก่อน”
ซูหลีพูดจบก็มองที่ซูไท่ปราดหนึ่ง
ซูไท่ถึงกับอึ้งไป นี่นางหมายความว่าอย่างไรกัน
ทว่าเขากลับเห็นนางส่ายหน้าเล็กน้อย ซูไท่ขมวดคิ้ว นี่ต้องการให้เขาปฏิเสธหรือ
ทว่างานแต่งครั้งนี้เป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะเหตุใดซูหลีที่ต้องการปฏิเสธกัน
ซูไท่ไม่เข้าใจ และกลับไม่ต้องการปฏิเสธป๋ายไต้ซือเช่นนี้
“ไต้ซือคงมีเรื่องที่ไม่ทราบ ก่อนหน้านี้บิดานั้นกลัดกลุ้มใจกับเรื่องของข้าเป็นอย่างมาก บิดารู้สึกกังวลใจและมักเอ่ยว่าเรื่องภรรยาและเรื่องของครอบครัวนั้นไม่สำคัญ ทว่าจักต้องมีคุณสมบัติที่ดี เป็นคนที่อ่อนหวาน และสามารถเติมเต็มอุปนิสัยของข้าได้…”
ซูไท่…
เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?
ไยแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบ
คนที่ไม่เข้าใจซูหลีนั้น ยังมีป๋ายไต้ซือกับป๋ายเฮ่อ
ป๋ายไต้ซือขมวดคิ้วมองนาง ดังนั้นความหมายของนางคือต้องการปฏิเสธหรือ
“เช่นนี้ก็แล้วกัน ป๋ายไต้ซือสู้ให้เวลาข้ากับบิดาเสียหน่อย สามวันภายหลังข้าจักให้คำตอบแก่ท่าน ท่านว่าเป็นอย่างไร” ซูหลีดึงหลายสิ่งหลายอย่างมาพูด สุดท้ายกลับกล่าวว่าขอเวลาพิจารณา
ความเคร่งขรึมพาดผ่านในดวงตาของป๋ายไต้ซือ ทว่ากลับคลี่คลายไปอย่างรวดเร็ว
หากหลังจากซูหลีได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ตกปากรับคำในทันที เกรงว่าเขาจะมีความสงสัยและรู้สึกว่านี่ซูหลีต้องการหลอกลวง!
ทว่านางเอ่ยว่าต้องพิจารณาเสียก่อน นั่นก็หมายความว่าซูหลีเกิดความหวั่นไหวกับอำนาจของสกุลป๋าย
เพียงแต่เรื่องสำคัญขนาดนี้แม้จะถือเป็นเรื่องดีมาก แน่นอนว่าไม่อาจตอบตกลงอย่างลวกๆ ได้
ป๋ายไต้ซือคิดดังนั้น เขามีข้อสรุปในใจแล้ว จากนั้นจึงลุกขึ้นและเอ่ยกับซูหลีว่า
“การแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ จักต้องใช้เวลาพิจารณาเป็นธรรมดา พี่ซูที่ช่างโชคดีโดยแท้ ซูหลีนั้นเป็นคนสุขุมเยือกเย็นนัก!”
สุขุมเยือกเย็น…
ซูไท่ถึงกับมุมปากกระตุก เขามีชีวิตอยู่มาตั้งนาน ตลอดครึ่งชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินใครเอ่ยว่าซูหลีเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาก่อน!
เมื่อได้ยินป๋ายไต้ซือเอ่ยเช่นนี้ ซูไท่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี
“เช่นนั้นข้าจะรอคำตอบจากพี่ซู! หวังว่าซูหลีจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” ป๋ายไต้ซือปรายตามองซูหลีด้วยท่าทางมีเลศนัย
จากนั้นจึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วจึงได้ขอตัวลากับซูไท่ และออกจากสกุลซูพร้อมกับป๋ายเฮ่อ