ตอนที่ 699 การข่มขู่ของสกุลป๋าย / ตอนที่ 700 เข้าวังกลางดึก

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 699 การข่มขู่ของสกุลป๋าย

 

 

“เรื่องนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร” หลังจากพ่อลูกสกุลป๋ายกลับไป ซูไท่ก็มองซูหลี ผ่านไปพักใหญ่ก็พลันเอ่ยถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมา

 

 

นางนั้นเป็นคนมองทุกอย่างอย่างเที่ยงตรง แม้จะเผชิญหน้ากับสิ่งยั่วยวนใจชิ้นใหญ่ แต่กลับสามารถรักษาสติสัมปชัญญะได้อย่างดี

 

 

“ท่านพ่อคิดว่า สกุลป๋าย ป๋ายไต้ซือต้องการเกี่ยวดองเป็นครอบครัวเดียวกับเราจริงๆ หรือ” ซูหลีมองซูไท่อยู่นาน จากนั้นถึงได้เอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา

 

 

ซูไท่ได้ยินดังนั้นจึงผงะไปเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงขมวดคิ้ว “เจ้ารู้สึกว่าพวกเขาไม่จริงใจ?”

 

 

ซูหลีส่ายศีรษะ “จริงใจแน่นอนว่าจักต้องจริงใจอยู่แล้ว หากมิจริงใจป๋ายไต้ซือจะมาหาถึงที่หรือ”

 

 

“เช่นนั้น…” ซูไท่ขมวดคิ้ว นี่นางหมายความว่าอย่างไรกัน

 

 

“ข้ากับป๋ายเฮ่อไม่ถูกกันนัก ทั้งยังเคยพนันในที่สาธารณะจนสุดท้ายป๋ายเฮ่อเป็นผู้แพ้ อีกทั้งยังเคยมีเรื่องผิดใจกับป๋ายถาน ยามที่ป๋ายถานจะเข้าไปอยู่ในวังหลวงในตอนแรก ก็ถูกข้าทำให้เสียเรื่อง” ซูหลีมองซูไท่ด้วยดวงตาที่เป็นประกายปราดหนึ่ง

 

 

“ป๋ายถานและป๋ายเฮ่อเป็นพี่น้องกัน เป็นบุตรของป๋ายไต้ซือ อีกทั้งยังถือว่าเป็นบุตรที่ยอดเยี่ยมที่สุด ท่านพ่อคิดว่าในใจของป๋ายไต้ซือ บุตรของตนเองสำคัญหรือว่าคนนอกอย่างข้าสำคัญกัน”

 

 

หลังจากซูไท่ได้ยินคำพูดของซูหลี สีหน้าพลันเข้มขึ้น เมื่อครู่ยามป๋ายไต้ซือเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา เขามัวแต่ดีใจจนลืมคิดไปว่า ซูหลีกับบุตรของสกุลป๋ายมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก

 

 

“สำหรับสกุลป๋ายนั้น แต่ก่อนยังคิดว่าข้าเป็นตัวถ่วง บัดนี้พวกเขามาถึงจวนเพื่อต้องการเกี่ยวดอง ท่านพ่อไม่รู้สึกแปลกบ้างเลยหรือ”

 

 

เมื่อซูหลีเอ่ยเช่นนี้ ซูไท่ก็เริ่มครุ่นคิด

 

 

หลังจากที่ซูหลีได้เป็นถ้านฮวา ผู้ที่ไปมาหาสู่กับสกุลของพวกเขาก็มีมากเป็นพิเศษ ทว่าภายในนั้นมิเคยมีเงาของคนสกุลป๋ายเลยแม้แต่น้อย

 

 

ใครก็ล้วนทราบดีว่า ผู้ที่เพิ่งสอบคัดเลือกขุนนางผ่าน การไปมาหาสู่กันในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ป๋ายไต้ซือคลุกคลีอยู่ในสนามของขุนนางมานาน เขาจะไม่ทราบหรือ

 

 

เพียงพวกเขามิได้แสดงท่าทีที่ต้องคบค้าสมาคมหรือใกล้ชิดกับซูหลีตั้งแต่แรก

 

 

“เรื่องในราชสำนัก ท่านพ่อคงจะทราบดีว่า ข้าถูกฮ่องเต้สั่งให้ตรวจสอบเบื้องหลังของเรื่องผงฝิ่นอย่างทะลุปรุโปร่ง ยามข้าทำงานอยู่ที่เรือนส่วนหน้า ท่านพ่อก็ไม่เคยให้คนมาวุ่นวายกับข้า ดังนั้นจึงไม่ทราบว่า ที่จริงแล้ววันนี้ข้าได้จับกุมบุคคลที่มีความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากเอาไว้”

 

 

“คนผู้นี้เพิ่งจะถูกจับกุม คนสกุลป๋ายก็รีบมาที่นี่แล้ว ท่านพ่อไม่รู้สึกว่าแปลกมากหรือ”

 

 

คำพูดทุกประโยคของซูหลี ทำให้สีหน้าของซูไท่ดูย่ำแย่ลงหลายส่วน จนถึงช่วงสุดท้าย สีหน้าของเขาทั้งมีความเคร่งขรึมและความหวาดหวั่น มิหนำซ้ำแผ่นหลังยังเต็มไปด้วยเหงื่อ

 

 

เขาใช้ชีวิตมาครึ่งค่อนชีวิต อ่านเรื่องต่างๆ อย่างไม่ปรุโปร่งเหมือนกับซูหลีที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเลย

 

 

เรื่องนี้ดูแปลกประหลาดเกินไปจริงๆ ในเมื่อสกุลป๋ายไม่มีความหวั่นไหวกับเรื่องนี้ ไยถึงมาถึงที่นี่เพื่อพูดเรื่องการแต่งงานก่อน นอกจากว่าพวกเขาจะมีแผนการ…

 

 

ทว่าซูหลีกำลังตรวจสอบเรื่องนี้ ในขณะที่ซูไท่กำลังครุ่นคิดก็รู้สึกว่าบนหน้าผาก เหงื่อกาฬไหลพรู

 

 

“เจ้ากำลังพูดว่า สกุลป๋ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้หรือ”

 

 

“จากการเคลื่อนไหวของสกุลป๋าย เป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วน” ซูไท่เป็นบิดาของซูหลี ซูหลีจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้

 

 

อีกทั้งคนสกุลป๋ายมาหานางในเวลานี้ ก็ไม่กลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้ทรงเกิดความสงสัย นางก็ไม่จำเป็นต้องช่วยสกุลป๋ายปิดบัง

 

 

“นี่…” เมื่อทราบหัวใจสำคัญของเรื่องนี้แล้ว สีหน้าของซูไท่กลับยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม

 

 

“เช่นนี้จักทำอย่างไร แม้เขาจะมาสู่ขอ แต่นี่มิใช่กำลังข่มขู่เจ้าอยู่หรือ”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 700 เข้าวังกลางดึก

 

 

ในที่สุดซูหลีก็เข้าใจเจตนาที่ไป๋ไต้ซือมาวันนี้!

 

 

หากว่าซูหลีไม่ยอมรับการสมรสครั้งนี้ จะเท่ากับเปิดโปงสกุลป๋ายและเปิดเผยเรื่องราวในคดีฝิ่นทั้งหมด เช่นนั้นแล้ว

 

 

จะเท่ากับว่าเปิดเผยว่าเขาไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมในเรื่องฝิ่น หากเปิดโปงสกุลป๋าย เช่นนั้นแล้วขั้วอำนาจของสกุลป๋ายย่อมต้องหันมารับมือกับซูหลีแน่

 

 

พอถึงตอนนั้นซูหลีก็คงจะลำบาก…

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเพิ่งเข้ารับราชการ ไหนเลยจะเทียบเทียมกับผู้มีสายสัมพันธ์เครือข่ายเช่นนี้ได้

 

 

แต่ซูไท่ยังมองซูหลีอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าซูหลีงดงามราวหยกสลัก ดวงตาคู่นั้นสุขุมอย่างยิ่ง และยังเอาแต่เล่นพัดในมือ แต่ซูไท่ก็ไม่กล้าจะประมาทเจ้าลูกคนนี้

 

 

ซูหลีไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย เรื่องที่ขนาดเขายังไม่สังเกต ซูหลีกลับสังเกตเห็นได้ทันที

 

 

เด็กคนนี้…

 

 

ในใจซูไท่ตะขิดตะขวงใจอย่างยิ่ง เขาเองก็ไม่รู้ว่ามีบุตรชายเช่นนี้เป็นโชคดีหรือร้ายกันแน่

 

 

“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนนี้ตอนที่ฮ่องเต้ทรงมีพระเสาวนีย์ให้ข้าสืบเรื่องนี้ ก็ทรงคาดเดาไว้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ธรรมดา ข้ามีพระบรมราชโองการของฝ่าบาท อีกทั้งทำเรื่องให้ยืดเยื้อไป เรื่องนี้คนที่ควรจะรีบร้อนคือพวกเขาไม่ใช่ข้า”

 

 

สีหน้าซูหลีผ่อนคลาย แต่ละน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นก็แฝงไปด้วยความปลอบประโลม

 

 

หลังจากซูไท่คิดถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น บนหลังก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เรื่องนี้นับว่าจัดการยาก หลังจากรับปากบ้านสกุลป๋ายแล้วก็จะต้องช่วยปกปิดเรื่องสกุลป๋ายต่อฮ่องเต้

 

 

นี่ถือว่าผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง แต่หากไม่รับปากสกุลป๋าย ก็จะมีเรื่องกับคนจำนวนมากในตอนที่ซูหลียังไม่แข็งแรงมั่นคงในราชสำนัก

 

 

นี่…

 

 

ก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน!

 

 

เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางนิ่งเฉยไม่แยแสเช่นนี้ของซูหลี ทำให้ซูไท่วางใจอย่างอดไม่ได้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองซูหลีด้วยแววตาสับสนพลางเอ่ย

 

 

“เมื่อครู่ตอนเจ้าได้ยินว่าบ้านสกุลป๋ายมาก็เดาได้แล้วว่าใครใช่หรือไม่?”

 

 

ซูหลีหันหน้ามาเล็กน้อยแล้วก็ผงกศีรษะลงน้อยๆ

 

 

ซูไท่สูดลมหายใจเข้าปอด ความฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ของซูหลี ไม่เป็นขุนนางระดับสูง คงจะสิ้นเปลืองคนมีความสามารถจริงๆ !

 

 

“พวกเราสกุลซูอยู่ในราชสำนัก ไม่ได้มีพรรคมีพวกอะไร และไม่เข้าฝักเข้าฝ่ายพวกไหน ก่อนหน้าเป็นแบบนี้ ภายหน้าก็ควรจะเป็นเช่นนี้” ซึ่งนี่เป็นจุดที่ซูหลีชื่นชมซูไท่ที่สุด ถึงแม้ซูไท่จะล้มลุกคลุกคลานหลายปีดีดัก ยังเคยไปอยู่ในจุดเรืองอำนาจเลย

 

 

แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ระแวดระวัง ไม่ไปเข้าร่วมการชิงดีชิงเด่นของสกุลต่างๆ

 

 

นี่ก็เพียงพอแล้ว

 

 

“ท่านพ่อคิดเหมือนกันกับข้า อยากจะเป็นเพียงข้าราชบริพารในฝ่าบาท เช่นนั้นแล้วเราไม่ควรจะปกปิดพระองค์”

 

 

ซูไท่ได้ยินยังผงกศีรษะอย่างอดไม่ได้

 

 

ซูหลีพูดถูก อีกทั้งฝ่าบาทมิใช่คนที่จะหลอกลวงได้ง่าย ทรงอ่านคนได้ง่ายราวกระจก

 

 

เมื่ออยู่ในเงื้อมมือของฮ่องเต้แบบนี้ ก็ไม่ต่างกับรัชกาลก่อน หาทางเดียวที่พวกเขาทำได้คือจงรักภักดีต่อพระองค์

 

 

“ท่านพ่อไม่ต้องกังวลไป ข้าได้ให้ชุยตานไปเตรียมตัวแล้ว อาศัยช่วงดึกๆ เข้าในวัง ถึงแม้คนสกุลป๋ายจะกลับไปแล้ว แต่จะต้องทิ้งคนไว้แถวบ้านเรา ข้าจะปลอมตัวก่อนเข้าวัง ท่านพ่อทำเป็นไม่รู้เรื่องก็พอ”

 

 

ซูไท่ได้ยินเช่นนี้ก็เหลือบตามองซูหลีอย่างอดไม่ได้

 

 

ใจเขาเต้นระรัวเร็ว ยังดี! ดีที่คนผู้นี้เป็นบุตรชายเขา

 

 

มิฉะนั้นหากเขาต้องรับมือกับคนแบบนี้ในราชสำนัก เกรงว่าจุดจบที่ต้องเจอก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก

 

 

“ในเรือนพักของข้ามีองครักษ์ที่ฝ่าบาทยกให้พวกเขาดอยจับตาคนผู้นั้นอยู่ ท่านพ่อไม่ต้องกังวล เพียงแต่ต้องขอให้ท่านพ่อกำชับคนอื่นเสียหน่อย ว่าหากไม่มีเรื่องอื่น อย่าให้คนเข้าไปให้ห้องหนังสือข้าก็พอ!”

 

 

“…ตกลง!” ซูไท่ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผงกศีรษะรับปากอย่างลังเล