ตอนที่ 701 แต่งเป็นหญิงออกบ้าน / ตอนที่ 702 เหมาะสมกันมาก

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 701 แต่งเป็นหญิงออกบ้าน

 

 

“นายน้อย…แบบนี้ นี่จะไม่เป็นอะไรจริงเหรอเจ้าคะ?” ไป๋ฉินหอบสิ่งของเข้ามา ในตอนที่เห็นซูหลีตรงหน้ากระจกก็แข้งขาอ่อนเกือบคุกเข่าลง

 

 

ซูหลีแต่งตัวเป็นผู้หญิง!

 

 

นี่ก็ช่างแล้ว!

 

 

นี่เป็นชุดผู้หญิงที่สวยงามประณีตอย่างมาก

 

 

เสื้อสีแดงปักดอกเหมยด้วยดิ้นทองสาดกระจาย ด้านล่างเป็นกระโปรงสีขาวนวล บนศีรษะประทับปิ่นหยกระย้าด้วยทับทิมสีแดงสด แถมยังแต้มสีชาดด้วย!

 

 

นี่ นี่เป็นการแต่งตัวอย่างงดงามครั้งหนึ่ง!

 

 

“สวยหรือไม่?” เหมือนซูหลีไม่ได้ยินคำพูดไป๋ฉิน หรี่ตามองนางแล้วถามว่าสวยหรือไม่

 

 

ไป๋ฉินผงกศีรษะอย่างเผอเรอ ทำไมจะไม่สวย สวยจะตายอยู่แล้ว

 

 

นางไม่เคยเจอคนที่งดงามอย่างนายน้อยของตนเองมาก่อน

 

 

แต่ว่า!

 

 

ที่นี่บ้านสกุลซู นายน้อยบ้าไปแล้วหรือ?

 

 

“สวยก็ใช้ได้แล้ว เย่ว์ลั่วเอาเสื้อคลุมมาแล้วเหรอยัง?” ซูหลียิ้มเย็น โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

 

 

นางพูดกับซูไท่อย่างชัดเจนแล้วว่าจะปลอมตัวออกนอกบ้าน อีกทั้งทำให้คนในบ้านไม่สังเกตเห็นนาง จะได้ปล่อยให้นางออกไป

 

 

แต่งตัวคราวนี้ ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน

 

 

ขอแค่ซูไท่ไม่เป็นบ้า คงต้องไม่แฉนาง อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรชายของซูไท่ พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าได้ดีก็ได้ดีด้วยกัน ถ้าล่มจมก็ไปด้วยกัน ซูไท่รู้ดีที่สุด

 

 

แต่ที่จริงทำไมถึงปลอมตัวเป็นผู้หญิง ก็มีแค่ซูหลีที่รู้แจ้งแก่ใจที่สุด

 

 

ในวันนั้น หลังจากที่นางเปลี่ยนใส่ชุดผู้หญิงในทรงอักษรยั่วยวนฉินเย่หานไป

 

 

ถือเป็นการล้างแค้นเล็กๆ เรื่องที่ฉินเย่หานทำรุ่มร่ามกับนางในห้องทรงอักษร แต่ฉินเย่หานฮ่องเต้ใจแคบแบบนั้น ย่อมต้องจำขึ้นใจ

 

 

วันนี้นางเข้าวังไป เพื่อไปขอร้องเขา

 

 

หากไม่เอาอกเอาใจ นางจะไปขอร้องเขาได้อย่างไร?

 

 

ทันทีที่นึกถึงวิธีที่จะปลอบประโลมฉินเย่หานให้ทรงพระเกษมสำราญ ซูหลีก็หน้าแดงระเรื่อ…

 

 

 “ทำไมหน้าแดงแบบนี้ล่ะเจ้าคะ ร้อนหรือเปล่า?” เย่ว์ลั่วหยิบเอาเสื้อคลุมของซูหลีมา เห็นใบหน้ากระเบื้องเคลือบขาวของนาง เต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อชวนหลงใหล แล้วถามเสียงแผ่ว

 

 

“แค่ก! ไม่มีอะไร” ซูหลีกระแอมเสียงเบา นี่นางคิดอะไรวุ่นวายประหลาด นางกำลังทำเรื่องจริงจังอยู่!

 

 

เย่ว์ลั่วได้ยินเช่นนี้ก็เหลือบตามองซูหลีน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะคลุมผ้าคลุมในมือบนร่างนาง

 

 

เสื้อคลุมตัวนี้เป็นสีดำล้วน ด้านบนปักลายเมฆสีดำ ทั้งใหญ่และทั้งหนัก

 

 

นี่เป็นของขวัญที่ส่งมอบให้ซูหลีหลังจากที่นางเป็นถ้านฮวา

 

 

ตอนนั้นนางเห็นก็เก็บของชิ้นนี้เอาไว้ และเป็นไปอย่างที่คาดวันนี้ได้ใช้แล้ว

 

 

ซูหลีสวมชุดคลุมเอาไว้ แล้วสวมหมวกขนาดใหญ่ไว้ด้วยพอปกปิดเอาไว้แล้ว มองไม่ออกเลยว่านางแต่งเป็นอิสตรี ถึงจะเป็นในจวนต่อให้เจอคนที่สนิทกับนางเกรงว่าก็คงมองไม่ออกเหมือนกัน

 

 

ไป๋ฉินอยู่ข้างๆ ใบหน้าตะลึงค้าง พลางคิดว่านายน้อยของนางทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนี้?

 

 

“เอาล่ะ ข้าไปแล้ว พวกเจ้าสองคนเฝ้าบ้านให้ดีๆ อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา รู้หรือไม่?” ซูหลีหันมากำชับ

 

 

หญิงสาวทั้งสองรับคำ

 

 

แล้วนางถึงได้ก้มหน้าลง กำปกชุดคลุมแน่น แล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างรีบร้อน

 

 

นางเดินสาวเท้าอย่างรวดเร็ว บวกกับซูไท่ได้จงใจกำชับให้คนในจวนเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว จึงไม่เจอใครเลยตลอดทาง จนมาถึงประตูหน้า ซูหลีก็รีบร้อนถอดชุดคลุมออกแล้วเดินออกไป

 

 

นางทำผมแบบอิสตรี เดินกระมิดกระเมี้ยนออกมา ชุยตานที่เฝ้าอยู่ข้างรถม้าก็ตะลึงค้างไปเล็กน้อย

 

 

 “คุณหนู!” ซูหลีเคยกำชับเขาไว้ก่อนแล้ว

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 702 เหมาะสมกันมาก

 

 

ดังนั้นยามเห็นซูหลีปราดแรก เขาจึงเรียกว่าคุณหนูซูหลี ไม่ใช่นายน้อย

 

 

ซูหลีผงกศีรษะและไม่เอ่ยอะไรมาก เพียงก้าวสาวขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นรถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนออกจากประตูจวนซู

 

 

เวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ผู้สอดแหนมที่สกุลป๋ายส่งมาคอยสอดส่องที่นี่อยู่ตลอดเวลา หลังจากซูหลีเดินทางออกไป ผู้สอดแนมผู้นั้นก็ค่อยๆ ปรากฏมองไปทางที่พวกเขาออกไปปราดหนึ่ง

 

 

นายท่านให้เขาจับตาดูคนทางนี้ ทว่าคนที่เดินทางออกไปเห็นได้ชัดว่าเป็นอิสตรี คนขับรถม้ายังเรียกขานว่าคุณหนู คงจะเป็นคุณหนูคนไหนในจวนซูสักคนกระมัง

 

 

ตอนนี้ยังไม่ถือว่าไม่ดึกมากนัก หากออกไปข้างนอกก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

 

 

ผู้สอดแนมคนนั้นเพียงมองปราดหนึ่ง จากนั้นจึงหันเหสายตาของตนกลับ ไม่สนใจรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปอีก

 

 

ส่วนซูหลีที่อยู่บนรถม้า กลับเถิดเสื้อคลุมของตนเองออกเผยให้เห็นอาภรณ์ด้านในของตนเอง นางนำเสื้อคลุมที่ถอดออกวางได้อย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงเอนหลังลงบนหมอนพิงที่อยู่ด้านหลังและหลับตาลง

 

 

“ถึงแล้วขอรับ”เสียงของชุยตานดังมาจากด้านนอกทำให้นางได้ลืมตาขึ้น หลังจากลงจากรถม้าก็เดินตรงเข้าสู่วังหลวง

 

 

ที่แปลกมากก็คือ ท่าทางการแต่งกายของสตรีนอกวังอย่างนาง กลับหาผ่านเข้าประตูวังได้โดยไม่มีใครขัดขวาง เพียงแต่เดินตามนางไปเท่านั้น

 

 

ราตรีนี้ไร้จันทร์ มีเพียงดาวดวงเล็กไม่กี่ดวงที่ทอสายบนท้องฟ้า ดังนั้นสีท้องฟ้าจึงค่อนข้างจะมืดครึ้มเป็นอย่างมาก

 

 

ซูหลีเดินไปไม่กี่ก้าวก็สวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ท้องฟ้าที่ครึ้มกอปรกับผ้าคลุมหน้า ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน

 

 

นางไม่ลังเลเท่าไหร่นัก เพียงเดินตรงไปที่ห้องทรงอักษร

 

 

ดีที่แม้จะอยู่ไกลก็สามารถเห็นแสงไฟของห้องทรงอักษรอยู่บ้าง นางผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นจึงเดินไปทางห้องทรงพระอักษรด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา

 

 

“ใคร…!” หวงเผยซานที่เดินออกมาด้านนอกพอดี ก็เห็นสตรีผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ เขาจึงตีหน้าขรึม

 

 

ทว่าเมื่อคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ก็มีประกายความตกตะลึงพรึงเพริดปรากฏบนใบหน้าของเขา ซูหลีไม่เอ่ยอะไรออกมา เพียงส่ายศีรษะให้แก่เขา

 

 

หวงเผยซานหวนสติกลับมา หลังจากผงกศีรษะต่อหน้าแล้วก็นำนางเดินเข้าไปภายในห้องทรงอักษร

 

 

“ถวายบังคมฝ่าบาท!” ซูหลีหยุดที่หน้าโต๊ะทรงงาน จากนั้นจึงคุกเข่าทำความเคารพ

 

 

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันในยามราตรีเช่นนี้ ทำให้ฉินเย่หานผงะไปเล็กน้อย เขาวางพระราชฎีกาในมือลง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “ลุกขึ้น”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีลุกขึ้นยืน ฉินเย่หานถึงได้ทราบว่าวันนี้ซูหลีสวมอาภรณ์ของสตรีและประทินโฉมแบบอิสตรี อีกทั้งยังมีกลิ่นอายที่มีเสน่ห์กว่าที่อยู่ในห้องทรงอักษรวันนั้นอยู่หลายส่วน

 

 

เอวบางที่เล็กจนมือข้างหนึ่งสามารถโอบรอบ ทรวงอกที่ดูอวบอิ่ม รูปร่างที่ดูอรชรอ้อนแอ้น

 

 

ฉินเย่หานมองดูแล้ว ดวงตาพลันลุ่มลึกขึ้นกว่าเดิม

 

 

“กระหม่อมเข้ามาในเมืองหลวงอย่างเลินเล่อ ก็เพราะมีเรื่องด่วนที่ต้องการปรึกษากับฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีคล้ายกับไม่เห็นสายตาที่ฉินเย่หานจับจ้องที่ร่างของตนมิปาน นางก้มศีรษะและเอ่ยเสียงเบา

 

 

“เรื่องอะไร” ซูหลีได้ยินเสียงที่มีความตื่นเต้นของตนเอง ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงอะไรออกมา

 

 

“…กระหม่อมพูดแล้ว ฝ่าบาทอาจจะทรงกริ้วได้” ซูหลีพลันหยุดข้างไว้

 

 

ฉินเย่หานผงะเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “สู้พูดออกมาเสียดีกว่า”

 

 

ในเวลานี้ซูหลีช้อนดวงตารูปดอกท้อที่ทำให้ผู้หวั่นไหวขึ้นมา นัยน์ตาเป็นประกายแวววาวราวกับแสงดาวมิปาน

 

 

“ทูลฝ่าบาท ป๋ายไต้ซือให้คนมาสู่ขอกระหม่อมที่จวนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ทว่าหลังจากซูหลีพูดจบ บรรยากาศภายในห้องนี้ก็เย็นลงอย่างเฉียบพลัน

 

 

ซูหลีเม้มปาก ไม่ใช่บอกว่าจะไม่โกรธหรือ

 

 

“ป๋ายไต้ซือเสนอบุตรีคนรองที่เกิดจากอนุของเขาให้แก่กระหม่อม กล่าวเป็นนางโดดเด่นเหมาะสมกับกระหม่อมมากพ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานี้นางไม่กล้ามองหน้าฉินเย่หาน จึงก้มศีรษะและหลุบตาลง

 

 

ทว่าเมื่อนางหลุบตาลงก็เหมือนจะได้ยินเสียงฉินเย่หายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ซูหลีจึงอดที่จะเงยหน้ามองเขาอีกครั้งมิได้