ตอนที่ 703 ความสามารถในการยั่วยุ / ตอนที่ 704 อย่าลืม

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 703 ความสามารถในการยั่วยุ

 

 

ทันทีซูหลีเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าฉินเย่หานมองนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ในดวงตามีความนัยอย่างบอกไม่ถูก เขาจ้องมองจนซูหลีใจเต้น

 

 

สายตาของเขาคืออะไรกัน นั่นเป็นคำพูดของป๋ายไต้ซือไม่ใช่คำพูดของนางเสียหน่อย

 

 

อีกทั้งบุตรีของป๋ายไต้ซือเป็นสตรี แม้แต่สตรีเขาก็ยัง…

 

 

“ฝ่าบาทมีบางอย่างที่ทรงมิทราบ” ซูหลีหันไปมองอย่างแข็งกร้าว นางหลุบตาลงและเอ่ยว่า “กระหม่อมได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบเรื่องผงฝิ่น ก่อนนี้ป๋ายไต้ซือจะมาสู่ขอกระหม่อมที่จวน กระหม่อมกลับได้จับกุมหนึ่งในตัวการสำคัญของเรื่องนี้เอาไว้”

 

 

“ป๋ายไต้ซือเป็นผู้อาวุโสสองรัชสมัย ทั้งยังเป็นบิดาของเล่อผินเหนียงเหนียง กระหม่อมมิกล้าคาดคะเนอย่างสะเปะสะปะ ทว่าเรื่องของผงฝิ่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญ กระหม่อมมิกล้าตัดสินด้วยตนเอง นี่จึงทำให้กระหม่อมเข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยมิได้รายงานก่อน อย่างไรก็ขอให้ฝ่าบาททรงยกโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

คำพูดของซูหลีทำให้สีหน้าหวงเผยซานถึงกับเปลี่ยนสี

 

 

พูดตามความจริง หวงเผยซานยังไม่เคยขุนนางอย่างซูหลีมากก่อน นางเหมือนจะไม่เอ่ยอะไรออกมา ถามเมื่อเอ่ยออกมาแล้วกลับตรงไปตรงมา คล้ายกับนางกำลังเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า นางสงสัยว่าป๋ายไต้ซือจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น

 

 

ต้องรับรู้ว่านางเพิ่งจะเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก อำนาจของป๋ายไต้ซือบนราชสำนักนั้น แม้แต่สกุลใหญ่ที่สุดอย่างสกุลเซี่ยวก็ยังไม่กล้าต่อต้านอย่างตรงไปตรงมา

 

 

ซูหลีจึงนำเรื่องนี้รายงานต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้โดยตรง

 

 

นี่ช่าง…

 

 

“เจ้านี่เก่งกาจโดยแท้” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด กลับได้ยินฉินเย่หานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

 

 

“ความสามารถในการยั่วยุผู้คนรอบด้าน ในเมืองหลวงมิมีใครเก่งกาจเกินเจ้า”

 

 

ซูหลี…

 

 

พวกเขามิใช่กำลังพูดเรื่องสกุลป๋ายอยู่หรือ ไยจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นความสามารถในการยั่วยุผู้คนแล้ว?

 

 

นางไปยั่วยุใครกัน?!

 

 

“อันดับแรกก็สกุลลู่ แล้วก็สกุลป๋าย และแม้แต่ไทเฮาก็ยังมาหาเราเพื่อต้องการให้องค์หญิงจินหยางหมั้นหมายกับเจ้า!” สายตาที่ฉินเย่หานมองซูหลีนั้น มีความหนาวยะเยือก คลุมเครือ และยังมีโทสะอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ซูหลี???

 

 

ยังไม่ต้องพูดเรื่องฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องสกุลลู่ได้อย่างไร เรื่องขององค์หญิงจินหยางนั้นคืออะไรกัน

 

 

ไทเฮา?

 

 

นางยังจำได้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไทเฮาไม่ดีนี่นา! ไยคนที่มีความสัมพันธ์กับนางเหล่านี้กลับเห็นเป็นขนมหวานที่น่าลิ้มลองไปได้!?

 

 

อีกทั้งนางจำองค์หญิงจินหยางไม่ค่อยได้นัก ก่อนหน้านี้ก็เคยพบแค่ตอนงานชมบุปผาของฉินม่อโจวแค่ครั้งเดียว แค่ในเวลานางช่วยเหลือองค์หญิงไว้…

 

 

มิน่าเล่า!

 

 

มุมปากของซูหลีกระตุก จู่ๆ ก็มีดอกท้องามสะพรั่ง อีกทั้งยังเป็นดอกท้อเช่นนี้ นางจะเอ่ยอะไรออกมาดี

 

 

หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างพยายามกลั้นขำเอาไว้

 

 

เป็นเพราะซูหลีนั่นเป็นขุนนางที่ได้รับการสู่ขอและถูกตำหนิมากที่สุดอันดับหนึ่ง

 

 

เพียงแต่หวงเผยซานมองท่าทีของฮ่องเต้แล้ว อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดต่อไป ฮ่องเต้ทรงแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้ นี่ถือว่าเป็นการเมตตาซูหลีที่สุดแล้ว

 

 

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ทรงคิดอย่างไรกับสกุลป๋าย นางพูดอยู่นานทว่าเขากลับไม่แสดงท่าทีในเรื่องที่ซูหลีพูดออกมา

 

 

“ฝ่าบาท…” ซูหลีลูบที่จมูกของตนเอง ใบหน้ามีความกระอักกระอ่วนใจ ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า. “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรรูปลักษณ์ของกระหม่อม จะสามารถแต่งภรรยาได้ที่ไหนกัน หากหมั้นหมายองค์หญิงให้แก่ข้า นั่นมิใช่การทำร้ายชีวิตทั้งชีวิตขององค์หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เจ้าฝันไปเถอะ ยังอยากจะแต่งกับองค์หญิงอีก!” ฉินเย่หานกวาดสายตาเย็นชามองนาง

 

 

ซูหลี…

 

 

นางมิได้เอ่ยว่าจะแต่งองค์หญิงเข้ามา นางมิเคยคิดเช่นนี้มาก่อน!

 

 

“ทางด้านของไทเฮา ฝ่าบาทโปรดช่วยปฏิเสธแทนกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีมิกล้าเอ่ยอะไร เพียงก้มหน้าก้มตาตอบเขา

 

 

ฉินเย่หานเห็นท่าทางของนางแล้ว สีหน้าถึงได้ดีขึ้นมาบ้าง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 704 อย่าลืม

 

 

“เรื่องของสกุลป๋าย เจ้ามีหลักฐานหรือไม่” หลังจากชะงักไปพักหนึ่ง ฉินเย่หานพลันเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน เขามองซูหลีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

ซูหลีผงะเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจความหมายของฉินเย่หานขึ้นมาทันใด

 

 

หากสกุลป๋ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉินเย่หานไม่จำเป็นต้องทราบ ทว่าเขาหมายความว่า ตำแหน่งของสกุลป๋ายในราชสำนัก ทั้งยังมีตำแหน่งขุนนางอาวุโส 2 รัชสมัย ดังนั้นจักต้องมีหลักฐานที่แน่นหนา

 

 

แม้ฮ่องเต้จะทรงลงโทษผู้อื่น อย่างไรก็จักต้องมีเหตุผล

 

 

เรื่องในมือของนางเป็นแค่คำพูดที่เลื่อนลอย ดังนั้นจักต้องทำให้คำพูดที่เลื่อนลอยนี้หากกลายเป็นเรื่องจริง จากนั้นส่งต่อให้ฉินเย่หาน นี่ถึงจะสามารถให้ฉินเย่หานใช้เรื่องนี้สร้างความลำบากให้กับสกุลป๋ายได้

 

 

“กระหม่อมเข้าใจแล้ว พรุ่งนี้กระหม่อมจักนำนักโทษตัวการพามาชี้ตัวในราชสำนัก!” ขณะที่เอ่ยนางแหงนศีรษะมองฮ่องเต้ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า

 

 

“คนที่กระหม่อมจับกุมไว้ได้ก็คือ ติ้งอันโหวเสิ่นฉางชิง!”

 

 

ฉินเย่หานมองนางตาไม่กะพริบ ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาทั้งสิ้น หลังจากเอ่ยชื่อของเสิ่นฉางชิงออกมา สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิด

 

 

ซูหลีพลันฉุกคิดถึงฉินลิ่วที่ตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ข้างกาย

 

 

ต่อหน้าดูเหมือนฉินลิ่วคอยติดตามนาง ทว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนของฉินเย่หาน การเคลื่อนไหวของนางจักต้องถูกฉินลิ่วรายงานกับฉินเย่หานหมดแล้ว

 

 

เรื่องของเสิ่นฉางชิง ไม่แน่ฉินเย่หานก็ทราบเรื่องหมดแล้ว

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูหลีจึงรีบก้มศีรษะลง แล้วปิดบังความรู้สึกในแววตาของตนเอาไว้

 

 

“ตั้งแต่นี้ไปอย่ายุแหย่ผู้อื่นนัก” ฉินเย่หานกลับไม่ตอบคำพูดของนาง กลับเปลี่ยนเรื่องสนทนา วกกลับมาพูดเรื่องก่อนหน้านี้

 

 

ซูหลี “…”

 

 

เขาทำเหมือนเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นนางที่หาเรื่องใส่ตัวมิปาน

 

 

แม้ว่า…เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะดูเป็นเช่นนี้จริงๆก็ตาม

 

 

“อย่าลืมว่าเจ้าเป็นคนของเรา ฉินเย่หานจ้องนางตาไม่กะพริบ ในดวงตาของเขาแสดงความเป็นเจ้าของโดยไม่ปิดบังท่าทีอย่างแรงกล้า

 

 

บรรยากาศเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาบ้าง หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างถึงกับหลุบตาลง แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

 

 

ใบหน้าของซูหลีแดงระเรื่อ คำตรัสของฮ่องเต้ตรงไปตรงมาทุกครั้งโดยแท้

 

 

คล้ายกับความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนเดิมควรจะเป็นเช่นนี้มิปาน

 

 

“ฟ้ามืดแล้ว คืนนี้อยู่ที่นี่” ในขณะที่ซูหลีกำลังก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองเขา เขาพลันเอ่ยประโยคนี้ออกมา

 

 

ซูหลี “…”

 

 

อะไรนะ!?

 

 

นี่จะให้นางพักในวังหลวงหรือ เอาเถอะ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางพักที่นี่ ทว่าตอนที่พักครั้งแรกนั้นพวกเขายังไม่ได้เป็นอะไรกันนี่นา

 

 

ในช่วงเวลานี้เมื่อเห็นแววตาของฉินเย่หานที่จ้องมองนาง หัวใจของซูหลีก็เต้นตึกตักอย่างอดไม่ได้ มีภาพบางอย่างผุดออกมาอย่างควบคุมมิได้

 

 

“แค่ก! ทูลฝ่าบาท บ่าวให้คนจัดเตรียมก่อนพ่ะย่ะค่ะ” บนใบหน้าของหวงเผยซานปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย จะทำอย่างไรหวงเผยซานก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็รีบเดินไปด้านนอก

 

 

ท่าทางเช่นนั้น…

 

 

ซูหลีดูแล้ว คล้ายกันพ่อเล้าในหอหร่วนเซียงมิปาน!

 

 

มุมปากนางกระตุกเล็กน้อย จากนั้นจึงขยับขาไปมาอย่างไม่สงบนิ่ง ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธอะไรออกมา

 

 

ฮ่องเต้ต้องการให้นางอยู่ที่นี่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้นางเปิดปากอนุญาต!

 

 

ในราตรีนี้บรรยากาศภายในห้องทรงอักษรคึกคักมาก ขันทีผู้น้อยที่อยู่ด้านนอกนั้นนำน้ำชาเข้าไปส่งตอนกลางดึกครั้งหนึ่ง ภายในนั้นหยอกล้อกันจนถึงเวลาฟ้าสว่าง และการเคลื่อนไหวก็สงบลงในเวลานี้

 

 

อีกด้านหนึ่ง ก็มีคนที่ยังไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน

 

 

ยามราตรีในจวนสกุลป๋าย

 

 

“เจ้าว่าอะไรนะ!?” จวนสกุลป๋ายนั้นใหญ่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ในเวลานี้ภายในนี้กลับมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ภายในห้องโถงที่ไม่สะดุดตาเท่าไรนัก

 

 

คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีขาวดุจพระจันทร์ บนศีรษะประดับไว้ด้วยมงกุฎหยก ใบหน้าดุจหยก ยามที่อยู่ภายใต้แสงไฟกลับดูหล่อเหลาอย่างเหลือเชื่อ