ตอนที่ 703 ความสามารถในการยั่วยุ
ทันทีซูหลีเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าฉินเย่หานมองนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ในดวงตามีความนัยอย่างบอกไม่ถูก เขาจ้องมองจนซูหลีใจเต้น
สายตาของเขาคืออะไรกัน นั่นเป็นคำพูดของป๋ายไต้ซือไม่ใช่คำพูดของนางเสียหน่อย
อีกทั้งบุตรีของป๋ายไต้ซือเป็นสตรี แม้แต่สตรีเขาก็ยัง…
“ฝ่าบาทมีบางอย่างที่ทรงมิทราบ” ซูหลีหันไปมองอย่างแข็งกร้าว นางหลุบตาลงและเอ่ยว่า “กระหม่อมได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบเรื่องผงฝิ่น ก่อนนี้ป๋ายไต้ซือจะมาสู่ขอกระหม่อมที่จวน กระหม่อมกลับได้จับกุมหนึ่งในตัวการสำคัญของเรื่องนี้เอาไว้”
“ป๋ายไต้ซือเป็นผู้อาวุโสสองรัชสมัย ทั้งยังเป็นบิดาของเล่อผินเหนียงเหนียง กระหม่อมมิกล้าคาดคะเนอย่างสะเปะสะปะ ทว่าเรื่องของผงฝิ่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญ กระหม่อมมิกล้าตัดสินด้วยตนเอง นี่จึงทำให้กระหม่อมเข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยมิได้รายงานก่อน อย่างไรก็ขอให้ฝ่าบาททรงยกโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดของซูหลีทำให้สีหน้าหวงเผยซานถึงกับเปลี่ยนสี
พูดตามความจริง หวงเผยซานยังไม่เคยขุนนางอย่างซูหลีมากก่อน นางเหมือนจะไม่เอ่ยอะไรออกมา ถามเมื่อเอ่ยออกมาแล้วกลับตรงไปตรงมา คล้ายกับนางกำลังเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า นางสงสัยว่าป๋ายไต้ซือจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น
ต้องรับรู้ว่านางเพิ่งจะเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก อำนาจของป๋ายไต้ซือบนราชสำนักนั้น แม้แต่สกุลใหญ่ที่สุดอย่างสกุลเซี่ยวก็ยังไม่กล้าต่อต้านอย่างตรงไปตรงมา
ซูหลีจึงนำเรื่องนี้รายงานต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้โดยตรง
นี่ช่าง…
“เจ้านี่เก่งกาจโดยแท้” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด กลับได้ยินฉินเย่หานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“ความสามารถในการยั่วยุผู้คนรอบด้าน ในเมืองหลวงมิมีใครเก่งกาจเกินเจ้า”
ซูหลี…
พวกเขามิใช่กำลังพูดเรื่องสกุลป๋ายอยู่หรือ ไยจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นความสามารถในการยั่วยุผู้คนแล้ว?
นางไปยั่วยุใครกัน?!
“อันดับแรกก็สกุลลู่ แล้วก็สกุลป๋าย และแม้แต่ไทเฮาก็ยังมาหาเราเพื่อต้องการให้องค์หญิงจินหยางหมั้นหมายกับเจ้า!” สายตาที่ฉินเย่หานมองซูหลีนั้น มีความหนาวยะเยือก คลุมเครือ และยังมีโทสะอย่างบอกไม่ถูก
ซูหลี???
ยังไม่ต้องพูดเรื่องฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องสกุลลู่ได้อย่างไร เรื่องขององค์หญิงจินหยางนั้นคืออะไรกัน
ไทเฮา?
นางยังจำได้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไทเฮาไม่ดีนี่นา! ไยคนที่มีความสัมพันธ์กับนางเหล่านี้กลับเห็นเป็นขนมหวานที่น่าลิ้มลองไปได้!?
อีกทั้งนางจำองค์หญิงจินหยางไม่ค่อยได้นัก ก่อนหน้านี้ก็เคยพบแค่ตอนงานชมบุปผาของฉินม่อโจวแค่ครั้งเดียว แค่ในเวลานางช่วยเหลือองค์หญิงไว้…
มิน่าเล่า!
มุมปากของซูหลีกระตุก จู่ๆ ก็มีดอกท้องามสะพรั่ง อีกทั้งยังเป็นดอกท้อเช่นนี้ นางจะเอ่ยอะไรออกมาดี
หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างพยายามกลั้นขำเอาไว้
เป็นเพราะซูหลีนั่นเป็นขุนนางที่ได้รับการสู่ขอและถูกตำหนิมากที่สุดอันดับหนึ่ง
เพียงแต่หวงเผยซานมองท่าทีของฮ่องเต้แล้ว อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดต่อไป ฮ่องเต้ทรงแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้ นี่ถือว่าเป็นการเมตตาซูหลีที่สุดแล้ว
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ทรงคิดอย่างไรกับสกุลป๋าย นางพูดอยู่นานทว่าเขากลับไม่แสดงท่าทีในเรื่องที่ซูหลีพูดออกมา
“ฝ่าบาท…” ซูหลีลูบที่จมูกของตนเอง ใบหน้ามีความกระอักกระอ่วนใจ ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า. “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรรูปลักษณ์ของกระหม่อม จะสามารถแต่งภรรยาได้ที่ไหนกัน หากหมั้นหมายองค์หญิงให้แก่ข้า นั่นมิใช่การทำร้ายชีวิตทั้งชีวิตขององค์หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าฝันไปเถอะ ยังอยากจะแต่งกับองค์หญิงอีก!” ฉินเย่หานกวาดสายตาเย็นชามองนาง
ซูหลี…
นางมิได้เอ่ยว่าจะแต่งองค์หญิงเข้ามา นางมิเคยคิดเช่นนี้มาก่อน!
“ทางด้านของไทเฮา ฝ่าบาทโปรดช่วยปฏิเสธแทนกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีมิกล้าเอ่ยอะไร เพียงก้มหน้าก้มตาตอบเขา
ฉินเย่หานเห็นท่าทางของนางแล้ว สีหน้าถึงได้ดีขึ้นมาบ้าง
ตอนที่ 704 อย่าลืม
“เรื่องของสกุลป๋าย เจ้ามีหลักฐานหรือไม่” หลังจากชะงักไปพักหนึ่ง ฉินเย่หานพลันเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน เขามองซูหลีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ซูหลีผงะเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจความหมายของฉินเย่หานขึ้นมาทันใด
หากสกุลป๋ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉินเย่หานไม่จำเป็นต้องทราบ ทว่าเขาหมายความว่า ตำแหน่งของสกุลป๋ายในราชสำนัก ทั้งยังมีตำแหน่งขุนนางอาวุโส 2 รัชสมัย ดังนั้นจักต้องมีหลักฐานที่แน่นหนา
แม้ฮ่องเต้จะทรงลงโทษผู้อื่น อย่างไรก็จักต้องมีเหตุผล
เรื่องในมือของนางเป็นแค่คำพูดที่เลื่อนลอย ดังนั้นจักต้องทำให้คำพูดที่เลื่อนลอยนี้หากกลายเป็นเรื่องจริง จากนั้นส่งต่อให้ฉินเย่หาน นี่ถึงจะสามารถให้ฉินเย่หานใช้เรื่องนี้สร้างความลำบากให้กับสกุลป๋ายได้
“กระหม่อมเข้าใจแล้ว พรุ่งนี้กระหม่อมจักนำนักโทษตัวการพามาชี้ตัวในราชสำนัก!” ขณะที่เอ่ยนางแหงนศีรษะมองฮ่องเต้ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“คนที่กระหม่อมจับกุมไว้ได้ก็คือ ติ้งอันโหวเสิ่นฉางชิง!”
ฉินเย่หานมองนางตาไม่กะพริบ ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาทั้งสิ้น หลังจากเอ่ยชื่อของเสิ่นฉางชิงออกมา สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิด
ซูหลีพลันฉุกคิดถึงฉินลิ่วที่ตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ข้างกาย
ต่อหน้าดูเหมือนฉินลิ่วคอยติดตามนาง ทว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนของฉินเย่หาน การเคลื่อนไหวของนางจักต้องถูกฉินลิ่วรายงานกับฉินเย่หานหมดแล้ว
เรื่องของเสิ่นฉางชิง ไม่แน่ฉินเย่หานก็ทราบเรื่องหมดแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูหลีจึงรีบก้มศีรษะลง แล้วปิดบังความรู้สึกในแววตาของตนเอาไว้
“ตั้งแต่นี้ไปอย่ายุแหย่ผู้อื่นนัก” ฉินเย่หานกลับไม่ตอบคำพูดของนาง กลับเปลี่ยนเรื่องสนทนา วกกลับมาพูดเรื่องก่อนหน้านี้
ซูหลี “…”
เขาทำเหมือนเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นนางที่หาเรื่องใส่ตัวมิปาน
แม้ว่า…เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะดูเป็นเช่นนี้จริงๆก็ตาม
“อย่าลืมว่าเจ้าเป็นคนของเรา ฉินเย่หานจ้องนางตาไม่กะพริบ ในดวงตาของเขาแสดงความเป็นเจ้าของโดยไม่ปิดบังท่าทีอย่างแรงกล้า
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาบ้าง หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างถึงกับหลุบตาลง แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ใบหน้าของซูหลีแดงระเรื่อ คำตรัสของฮ่องเต้ตรงไปตรงมาทุกครั้งโดยแท้
คล้ายกับความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนเดิมควรจะเป็นเช่นนี้มิปาน
“ฟ้ามืดแล้ว คืนนี้อยู่ที่นี่” ในขณะที่ซูหลีกำลังก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองเขา เขาพลันเอ่ยประโยคนี้ออกมา
ซูหลี “…”
อะไรนะ!?
นี่จะให้นางพักในวังหลวงหรือ เอาเถอะ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางพักที่นี่ ทว่าตอนที่พักครั้งแรกนั้นพวกเขายังไม่ได้เป็นอะไรกันนี่นา
ในช่วงเวลานี้เมื่อเห็นแววตาของฉินเย่หานที่จ้องมองนาง หัวใจของซูหลีก็เต้นตึกตักอย่างอดไม่ได้ มีภาพบางอย่างผุดออกมาอย่างควบคุมมิได้
“แค่ก! ทูลฝ่าบาท บ่าวให้คนจัดเตรียมก่อนพ่ะย่ะค่ะ” บนใบหน้าของหวงเผยซานปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย จะทำอย่างไรหวงเผยซานก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็รีบเดินไปด้านนอก
ท่าทางเช่นนั้น…
ซูหลีดูแล้ว คล้ายกันพ่อเล้าในหอหร่วนเซียงมิปาน!
มุมปากนางกระตุกเล็กน้อย จากนั้นจึงขยับขาไปมาอย่างไม่สงบนิ่ง ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธอะไรออกมา
ฮ่องเต้ต้องการให้นางอยู่ที่นี่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้นางเปิดปากอนุญาต!
ในราตรีนี้บรรยากาศภายในห้องทรงอักษรคึกคักมาก ขันทีผู้น้อยที่อยู่ด้านนอกนั้นนำน้ำชาเข้าไปส่งตอนกลางดึกครั้งหนึ่ง ภายในนั้นหยอกล้อกันจนถึงเวลาฟ้าสว่าง และการเคลื่อนไหวก็สงบลงในเวลานี้
อีกด้านหนึ่ง ก็มีคนที่ยังไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน
ยามราตรีในจวนสกุลป๋าย
“เจ้าว่าอะไรนะ!?” จวนสกุลป๋ายนั้นใหญ่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ในเวลานี้ภายในนี้กลับมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ภายในห้องโถงที่ไม่สะดุดตาเท่าไรนัก
คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีขาวดุจพระจันทร์ บนศีรษะประดับไว้ด้วยมงกุฎหยก ใบหน้าดุจหยก ยามที่อยู่ภายใต้แสงไฟกลับดูหล่อเหลาอย่างเหลือเชื่อ