ตอนที่ 705 หึ / ตอนที่ 706 อย่างไรก็ไม่มีทางเกี่ยวดอง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 705 หึ

 

 

ป๋ายไต้ซือที่ยืนอยู่เบื้องล่างนั้น หลังจากเขาได้ยินคำพูดของคนผู้นี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “มีอะไรที่เอ่ยมิถูกหรือขอรับ”

 

 

ผู้ที่นั่งอยู่นั้นถึงกับลงมายืนด้านล่าง ใบหน้ามีความเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

 

 

“ซื่อจื่อ ในเมื่อต้องการเป็นพันธมิตรกับซูหลี การแต่งงานจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด หากไม่กระทำเช่นนี้ จะสามารถมั่นใจได้อย่างไรว่าซูหลีจะไม่กลับคำ?” ใบหน้าของป๋ายเฮ่อที่อยู่ข้างๆไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมฉินมู่ปิงถึงมีท่าทีตอบโต้ถึงเพียงนี้

 

 

มิผิด ในยามค่ำคืนผู้ที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยอยู่นั้นคือ จิ้งหนานอ๋องซื่อจื่อ ฉินมู่ปิง!

 

 

ใบหน้าของฉินมู่ปิงเผยความเย็นยะเยียบออกมา ท่าทีของเขามิคล้ายยามปกติที่แสดงออกเลยสักนิด หลังจากเขายืนขึ้นก็เดินไปเดินมาในห้องโถงแห่งนี้

 

 

“เขามีท่าทีอย่างไร” ผ่านไปนานมาก ฉินมู่ปิงจึงเอ่ยถามประโยคนี้ขึ้น

 

 

ป๋ายไต้ซือได้ยินดังนั้นจึงผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ในเวลานั้นเขามิได้มีท่าทางโต้ตอบอะไรมากนัก หลังจากได้ยินเรื่องที่พวกเรามาสู่ขอ เพียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเหตุผลต่างๆนานา เขาเอ่ยว่าจะใช้เวลาช่วงหนึ่งในการพิจารณาขอรับ!”

 

 

หลังจากฉินมู่ปิงได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าดูไม่น่ามองเป็นอย่างมาก เขาไม่แสดงอารมณ์ดีใจหรือโมโหมาโดยตลอดนั้น อดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้ว่า

 

 

“พูดส่งเดช!”

 

 

ท่าทางของฉินมู่ปิงนี้ ทำให้ป๋ายเฮ่อมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาขยับริมฝีปากอยากจะพูดโต้แย้งฉินมู่ปิง ทว่าคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันจะพูดโต้แย้ง ก็ถูกป๋ายไต้ซือยื้อเอาไว้เสียก่อน

 

 

ป๋ายไต้ซือส่ายศีรษะให้กับป๋ายเฮ่อ สื่อให้ป๋ายเฮ่อใจเย็นๆเอาไว้อย่าเพิ่งวู่วาม

 

 

ป๋ายเฮ่อเห็นดังนั้นจึงขมวดคิ้ว สุดท้ายก็มิได้เอ่ยอะไรออกมา

 

 

“ซื่อจื่อคิดว่า ซูหลีจะไม่ร่วมมือกับพวกเราหรือ” หลังจากป๋ายไต้ซือชะงักก็เอ่ยคำถามที่สงสัยในใจออกมา

 

 

ฉินมู่ปิงขมวดคิ้วจ้องมองเขาปราดหนึ่ง แค่นยิ้มเย็นและเอ่ยว่า “ข้าคิดมาตลอดว่าป๋ายไต้ซือเป็นคนเฉลียวฉลาด นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะถูกตบตาได้ง่ายเช่นนี้!”

 

 

“ซื่อจื่อหมายความอย่างไรกัน” เขานั้นเป็นขุนนางอยู่หลายปี จึงมีความอดกลั้นมากกว่าป๋ายเฮ่อ เขาจึงพยายามอดกลั้นไม่เอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจออกมา และชำเลืองตามองไปที่ฉินมู่ปิง

 

 

“ซูหลีไม่คิดจะเกี่ยวดองกับสกุลของพวกเจ้าตั้งแต่แรก!” ฉินมู่ปิงใช้น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเอ่ยขึ้น เรื่องนี้ทุกคนอาจจะไม่เข้าใจอย่างชัดเจน ทว่าเขานั้นเข้าใจเป็นอย่างดี

 

 

หากซูหลีเป็นบุรุษคนหนึ่ง และมีใจที่อยากจะก้าวหน้า เช่นนั้นแผนการที่ป๋ายไต้ซือวางเอาไว้อาจจะมีประโยชน์อะไรบ้าง

 

 

ทว่าซูหลีไม่ใช่เช่นนั้น

 

 

อันดับแรกนางไม่ใช่บุรุษ จะแต่งสตรีเข้าเรือนไปเพื่ออะไรกัน

 

 

นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายเรื่องของตัวเองหรือ

 

 

“ท่าทีของนางก็แค่ต้องการยื้อเวลาออกไปเท่านั้น!” สีหน้าของป๋ายไต้ซือเปลี่ยนไป ในใจมีความมืดหม่น

 

 

“ทว่าซื่อจื่อทราบได้อย่างไรว่าเขาจะไม่ยินยอมเรื่องแต่งงาน ตั้งแต่ซูหลีผู้นี้เข้ามาในราชสำนักก็กระทำเรื่องตั้งมากมาย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนกระหายอำนาจเป็นอย่างมาก หากเขาเกี่ยวดองกับสกุลป๋าย นั่นมิใช่เรื่องดีที่ต่อเขาหรือ…”

 

 

ป๋ายเฮ่อรู้สึกไม่ค่อยยินยอมนัก ที่สำคัญก็คือพวกเขาเข้าใจโอกาสที่สกุลป๋ายมอบให้เป็นอย่างดี สกุลป๋ายนั้นมองคนเหล่านี้อย่างปรุโปร่งหมดแล้ว

 

 

แม้กระทั่งซูหลีก็คงไม่ต่างกัน

 

 

นี่เป็นโอกาสที่จะได้ก้าวเดินสู่สวรรค์เชียวนะ!

 

 

“หึ!” ฉินมู่ปิงได้ยินเขาย้อนถามเช่นนี้ ก็หัวเราะเยาะอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าเผยความดูแคลนอย่างบอกไม่ถูก

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 706 อย่างไรก็ไม่มีทางเกี่ยวดอง

 

 

ป๋ายเฮ่อถูกเขาใช้ท่าทางเช่นนี้มองมา สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก เขาก็ไม่เข้าใจว่าซื่อจื่อผู้เสเพลไปวันๆ เช่นนั้นมีอะไรที่เก่งกาจกัน

 

 

หากไม่ใช่เพราะบิดาของเขาต้องยืนหยัดร่วมมือกับฉินมู่ปิงแล้วล่ะก็ อย่างไรเขาก็ไม่มีทางคบค้าสมาคมกับพวกสมองขี้เลื่อยอย่างคนสำนักเต๋อซั่น โดยเฉพาะคนที่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้เอ่ยโต้แย้งคำพูดของบิดาตน

 

 

แผนการนี้ในสายตาของป๋ายไต้ซือและป๋ายเฮ่อถือเป็นแผนที่ไร้ข้อผิดพลาดแล้ว

 

 

“หากคุณชายป๋ายไม่เชื่อล่ะก็ ก็ไม่ต้องสนใจคำพูดที่เปิ่นซื่อจื่อเอ่ยมาทั้งหมดในวันนี้ และคอยดูเถิด ดูว่าซูหลีจะกลืนสกุลป๋ายของพวกเจ้าลงไป หรือจะแต่งงานเกี่ยวดองกับพวกเจ้ากัน!” ฉินมู่ปิงพูดจบก็หัวเราะน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นจึงเตรียมตัวก้าวเท้าเดินออกไป

 

 

“ซื่อจื่อช้าก่อน!” ขณะที่เขากำลังจะออกไป ป๋ายไต้ซือพลันก้าวไปหน้าก้าวหนึ่งเพื่อขวางทางเขาเอาไว้

 

 

“บุตรของข้าโง่เขลานัก หากเขาทำให้ซื่อจื่อโมโห ซื่อจื่อโปรดอย่าถือสาเขาเลยขอรับ” ป๋ายไต้ซือคลุกคลีอยู่ในสนามของขุนนางมาหลายต่อหลายปี หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขากลับคิดว่าที่ฉินมู่ปิงเอ่ยมากนั้น ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล

 

 

แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉินมู่ปิงถึงได้มั่นใจขนาดนี้ว่า ซูหลีจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน

 

 

ทว่าเมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ซูหลีนั้นมิได้มีความกระตือรือร้นต่อท่าทีของพวกเขาตั้งแต่แรก

 

 

แน่นอนว่าเป็นเพราะซูหลีกำลังเล่นตัว ทว่าที่มีมากกว่าก็ถือความแปลกประหลาดอยู่ภายใน

 

 

ฉินมู่ปิงก็ไม่อยากจะสนใจพวกเขาเท่าไรนัก โดยเฉพาะหลังจากเขาได้ยินว่าซูหลีต้องการยื้อเวลาออกไป ในใจก็เกิดความไม่สบายมาโดยตลอด หลังจากนั้นเขาชะงักไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า

 

 

“เสิ่นฉางชิงผู้นั้นถูกซูหลีจับกุมเอาไว้แล้ว ซูหลีดูเหมือนจะมีเจตนาร้ายต่อเสิ่นฉางชิงมาโดยตลอด เสิ่นฉางชิงผู้นั้นมิใช่คนที่สามารถแบกรับเรื่องต่างๆ ได้อย่างมั่นคงเท่าไรนัก!”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ สีหน้าของป๋ายไต้ซือก็เปลี่ยนไปไม่สู้ดีโดยถนัดตา

 

 

“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราจักทำอย่างไรดี…”

 

 

ฉินมู่ปิงได้ยินดังนั้นจึงเงียบไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้ซูหลีไม่รู้ว่าเขาและสกุลป๋ายมีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนที่เขาจะข่มขู่ซูหลี เขาเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ นางมิได้เอ่ยเรื่องของพวกเขาออกมา

 

 

เช่นนี้แสดงว่าพวกเขายังมีโอกาส

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าส่งคนไปคนหนึ่ง…”

 

 

 

 

ทันทีที่ฟ้าสว่าง ทางด้านซูหลีก็ได้รับข่าวว่าเสิ่นฉางชิงยอมรับผิดแล้ว ฉินลิ่วก็นำเขาไปที่วังหลวงแล้ว ต่อจากนี้ต้องดูนางแล้ว

 

 

“ใต้เท้าซู บ่าวมาปรนนิบัติอาบน้ำแต่งกายให้ท่านเจ้าคะ” ซูหลีนั่งอยู่บนเตียงมังกร ฉินเย่หานนั้นออกไปก่อนแล้ว แต่กลับสั่งให้สาวใช้สองคนช่วยนางอาบน้ำแต่งตัว

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า จากนั้นจึงเงยหน้ามองชุดขุนนางที่สาวใช้นำมาให้

 

 

ชุดขุนนางของนางถูกฉินเย่หานดึงทึ้งจนขาดแล้ว จากนั้นเขาจึงให้กรมวังภายในส่งให้นางอีกชุดหนึ่ง ชุดขุนนางในวันนี้ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนกัน

 

 

ซูหลีมองดูแล้วก็อดมุมปากกระตุกมิได้ ฉินเย่หานเตรียมการเอาไว้อย่างดีโดยแท้ แม้แต่ชุดที่ให้นางใส่นอนก็ยังเตรียมไว้ให้แล้ว

 

 

ยาปลอมตัวที่นางพกติดตัวเอาไว้ บัดนี้ฉินเย่หายล้วนทราบทั้งหมดแล้ว ของสิ่งนี้นางจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง จะให้นางแสร้งเล่นละครตบตาต่อหน้าฉินเย่หาน ซูหลีก็ไม่มีความกล้าเช่นนั้น

 

 

เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและกินยาปลอมตัวเข้าไปแล้ว ซูหลีก็จับเวลาเดินออกจากประตูด้านหลังของห้องทรงอักษรจนโอบไปทางประตูของวังหลวง จากนั้นแสร้งทำท่าทีเหมือนกับตนเพิ่งจะมาว่าราชกิจยามเช้า

 

 

ตลอดทางที่เดินมาขุนนางจำนวนมาก ทุกคนต่างหยุดฝีปากทักทายซูหลี สีหน้าของซูหลีนิ่งเฉยไม่ขาดความมั่นใจเลยสักนิด และไม่มีผู้ใดทราบว่าที่จริงแล้วนางพักในวังหลวง

 

 

นางจึงค่อยๆเดินไปถึงด้านหน้าของตำหนักอวิ๋นเซียว