ตอนที่ 338

The Strongest Hokage

ถ้า ไนโตะ ได้ใช้พลังของตัวเองในการปราบปราม สัตว์หาง และ หมู่บ้านใหญ่ทั้งหมด , ฆ่ากลุ่ม 7 ดาบนินจาในตำนานแห่งคิริ , เอาชนะ คาเงะ ที่ยิ่งใหญ่ 4 คน ผู้คนจะมองว่า ไนโตะ เป็นเหมือนกับเทพเจ้า

แต่ถ้า ไนโตะ ฆ่า มาดาระ ซึ่งเคยพ่ายแพ้ให้กับ โฮคาเงะ รุ่นแรกมาก่อน ผู้คนจะมองว่าเขาไม่ต่างอะไรกับ โฮคาเงะ รุ่นแรกเท่านั้น

แม้ว่าสงครามจะใกล้จบ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าหมู่บ้านใหญ่หมู่บ้านไหนจะทำสัญญาสงบสุขกัน แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะมาถึง

ไนโตะ มีบทบาทสำคัญในตอนท้ายของ มหาสงครามโลกนินจาครั้งที่ 2 แต่ใน มหาสงครามโลกนินจาครั้งที่ 3 เขามีบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้นจนจบ!

ทันทีที่ข่าวเรื่อง ไนโตะ สามารถเอาชนะ มาดาระ แพร่กระจายไปทั่วโลก ทุกคนในโลกก็เริ่มเรียกเขาว่า เทพเจ้าแห่งนินจา!

เหมือนกับที่ มาดาระ ยอมรับในตอนท้ายว่า ยุคนี้เป็นยุคของ ไนโตะ!

พลังของเขาอยู่เหนือคนทั้งโลก แม้ว่าหมู่บ้านใหญ่ทั้ง 5 ก็ต้องก้มหัวให้เขา

พลังของเขาหมดอยู่เหนือโลกนี้ แม้แต่ 5 คาเงะ ก็เหมือนมดเมื่อเทียบกับเขา นี่คือความหมายของการเป็น เทพเจ้าแห่งนินจา!

มหาสงครามโลกนินจาครั้งที่ 3 ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว หมู่บ้านคุโมะ กำลังปกป้องพรมแดนของพวกเขาจากการโจมตีของ โคโนฮะ หมู่บ้านคิริ กลับไปที่ แคว้นแห่งน้ำ และ หมู่บ้านอิวะ ก็กำลังถอนกองกำลัง หมู่บ้านเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือ หมู่บ้านซึนะ แต่พวกเขาก็ทำได้แค่ป้องกันการโจมตีของ โคโนฮะ เท่านั้น

เนื่องจากก่อนหน้านี้ 1 หางได้ถูก ไนโตะ จับได้ ซาคุโมะ จึงนำกองกำลังของ โคโนฮะ ไปกดดันบนพื้นที่ของ แคว้นแห่งลมมากขึ้นซึ่งทำให้ คาเสะคาเงะ ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยตัวเอง

สนามรบใหญ่ 4 แห่งได้ยุติลงไปแล้ว และมีเพียงสนามเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่นั้นก็คือสนามรบที่พรมแดน แคว้นแห่งลม ซึ่งคล้ายกับการสิ้นสุดของ มหาสงครามโลกนินจาครั้งที่ 2

…………….

หมู่บ้านอาเมะ

ในห้องที่เงียบสงบและสง่างาม ไนโตะ กำลังนั่งสมาธิอยู่ที่นั่น

ด้านหลังของเขามีลูกบอลสีดำประหลาดลอยอยู่ ลูกบอลเหล่านั้นมีรูเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง มันดูทรงพลังเป็นอย่างมาก

มันคืออุกกาบาตที่ ไนโตะ เอามาจาก หมู่บ้านโฮชิ

“มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับมัน แต่มันมันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้มันกลายเป็นความจริงได้ แน่นอนว่าวิญญาณนั้นลึกลับกว่าร่างกายมาก”

ไนโตะ ถืออุกกาบาตไว้ในมือและพูดออกมาขณะสัมผัสจักระที่บรรจุอยู่ในนั้น

เขาไม่พบ เซ็ตสึขาว หรือ โอบิโตะ เขาจึงกลับไปที่ หมู่บ้านอาเมะ และเริ่มศึกษาพลังวิญญาณขั้นที่ 2 และวิธีที่จะทำก็คือการค้นหาจักระบริสุทธิ์ที่ไร้จิตวิญญาณ

จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาวิชาใหม่ ๆ และพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองต่อไป ไนโตะ ขี้เกียจเล่นซ่อนหากับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว เขาพยายามที่จะผลักดันพลังของเขาไปให้สุดขั้วเท่านั้น

ถ้าเขาสามารถเปิดประตูด่านพลังบานที่ 8 ของ กระบวนท่าเปิดประตูด่านพลังแบบย้อนกลับ ได้ เขาเชื่อว่าเขาจะมีพลังที่จะเอาชนะ คางูยะ ได้ การร่วมมือและการวางแผนทั้งหมดของเธอจะต้องไร้ความหมายเมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่แท้จริงของ ไนโตะ!

หลังจากที่เขาได้รับผลการวิจัยขั้นสุดท้ายจาก โอโรจิมารุ แล้ว ไนโตะ ก็มีแนวคิดที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ที่จะทำให้เขาสำเร็จวิชาได้

แต่แนวคิดก็เป็นเรื่องหนึ่ง และการทำให้มันเป็นจริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ไม่ใช่เรื่องง่ายจะรู้แนวคิดของการเรียนรู้วิชานินจา มันจำเป็นต้องรู้ทุกรายละเอียดเพื่อใช้งานวิชานั้นได้อย่างแท้จริง

การขาดรายละเอียดเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาจทำให้การฝึกวิชานินจาล้มเหลว

และความลึกลับซับซ้อนของ พลังวิญญาณ ก็อาจเป็นมากกว่าความล้มเหลว ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ถ้าเป็น โอโรจิมารุ เขาจะทดลองกับคนอื่น ๆ ต่อไปจนกว่าเขาจะทำได้สำเร็จ เขาไม่เคยลองทำกับตัวเองก่อน

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การดูดซับจักระ แต่เป็นวิธีการสร้างพื้นที่สำหรับจิตวิญญาณ”

เมื่อ ไนโตะ เข้าสู่สมาธิลึกสุดในจิตใจ ภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของ ไนโตะ

ในความเป็นจริงการฝึกวิชาพลังวิญญาณคล้ายคลึงกับครึ่งแรกที่ โอโรจิมารุ พัฒนา วิชาย้ายชีพอมตะ แต่ก็ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้ใช้ต้องดักจับอีกฝ่ายในพื้นที่แห่งวิญญาณซึ่งเขาจะห่อหุ้มจิตใจของเหยื่อด้วยจิตใจของเขาจากนั้นวิญญาณของผู้ใช้จะเข้าครอบงำร่างกาย

และสิ่งที่ ไนโตะ ต้องการอย่างชัดเจนก็คือ วิธีการสร้างพื้นที่แห่งวิญญาณนั้น

“ยากมาก…เราควรไปหา โอโรจิมารุ อีกทีดีไหมเนี่ย?”

ไนโตะ เผยให้เห็นสีหน้าที่ทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมรับว่า โอโรจิมารุ เก่งกว่าเขาในเรื่องการค้นคว้า

ท้ายที่สุดถ้าไม่ใช่เพราะ โอโรจิมารุ ไนโตะ ก็คงจะมาไม่ถึงจุดนี้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ แต่ ไนโตะ ก็สามารถเอาชนะความยากลำบากมากมายก่อนหน้านี้มาได้

ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นเพียงทฤษฎีที่เหมือนกับทฤษฎีอื่นอีกมากมาย

ไนโตะ ฝึกฝนไปได้ครึ่งทาง จากนั้นเขาคิดว่าเขาต้องกลับไปหา โอโรจิมารุ อีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก โอโรจิมารุ คงจะไม่ได้อะไรมากในช่วงเวลาสั้น ๆ แบบนี้

ไนโตะ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องทำงาน

“ฝึกเป็นยังไงบ้าง?” คุชินะ ยิ้มแล้ววางมือบนไหล่ของเขาเบา ๆ จากทางด้านหลัง

“ฉันยังทำไม่ได้ แต่ก็คืบหน้าไปบ้างแล้ว”

ไนโตะ ดึงแขนของเธอมาโอบรอบคอของเขา

คุชินะ วางศีรษะของเธอไว้บนไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะง่ายเหมือนการพัฒนา กระบวนท่านเปิดประตูด่านพลังแบบย้อน กลับสะหน่อย แค่คืบหน้าขึ้นบ้างก็ดีแล้ว”

เมื่อฟัง คุชินะ พูด ไนโตะ ก็อดยิ้มไม่ได้

ในตอนที่เขาพัฒนา กระบวนท่านเปิดประตูด่านพลังแบบย้อน เขาพบความลำบากและอุปสรรคน้อยมาก เขาไม่พบปัญหาใด ๆ และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พลังสั่นสะเทือน นั้นเหมาะสมกับ กระบวนท่านเปิดประตูด่านพลัง อย่างไม่คาดคิด ราวกับว่าทั้ง 2 มีจุดมุ่งหมายเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน

สำหรับ โอโรจิมารุ ในการพัฒนา วิชาย้ายชีพอมตะ ในท้ายที่สุดเขาต้องใช้เวลาหลายปีในการทดลอง

การพัฒนาขั้นที่ 2 ของ พลังวิญญาณ เป็นเรื่องยากสำหรับวิชานี้ แต่เขาก็ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนเขาก็สามารถพัฒนาไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ความคืบหน้าของการฝึกของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่พอใจ เขาเป็นคนโลภมาเสมอ

คุชินะ กอด ไนโตะ จากด้านหลังโดยที่ศีรษะของเธอพิงไหล่ของเขาแก้มเล็ก ๆ ของเธอที่ด้านข้างทำให้ ไนโตะ ไม่มีทางเลือกนอกจากรู้สึกอยากจะจูบเธอ

…….

ในช่วงเวลานี้นอกเหนือจากการศึกษาขั้นที่ 2 ของ พลังวิญญาณ แล้ว ไนโตะ ยังใช้ พลังงานธรรมชาติ ฝึกโหมดเซียนขั้นที่ 1 และ 2 ให้กับ คุชินะ ทำให้ตอนนี้เธอไปถึงระดับเดียวกับ มิตาราชิ อังโกะ แล้ว

ไม่รู้เป็นเพราะ คุชินะ มีลักษณะทางร่างกายที่ไม่เหมือนใคร หรือว่าเพราะ 9 หาง ช่วยเธอควบคุมพลังงานธรรมชาติทำให้เธอมีความก้าวหน้าเร็วกว่า อังโกะ

หลังจากสำเร็จโหมดเซียนแรกและขั้นที่ 2 แล้ว ด้วยความช่วยเหลือของ คุรามะ ก็ทำให้เธอไปถึงขึ้นที่ 3 ของโหมดเซียนได้

แต่ความความคืบหน้าก็ช้ามาก

หลังจากที่เธอไปถึงขั้นที่ 3 สิ่งต่าง ๆ ก็ช้าลง ไนโตะ สามารถช่วยเธอได้เพียงแค่ 2 ขั้นแรกเท่านั้น หลังจากนั้นเธอต้องฝึกฝนด้วยตัวเองเป็นเวลานาน

เธอต้องไปให้ถึงขั้นที่ 4 และ 5 ก่อนที่เธอจะไปถึงระดับของ ไนโตะ ซึ่งเป็น โหมดเซียนขั้นสมบูรณ์

แม้ว่าเธอจะทำสำเร็จเพียงแค่ 2 ขึ้นแรก แต่ผิวของ คุชินะ ก็ใสมากขึ้น และร่างกายของเธอก็เต็มไปด้วยพลังธรรมชาติและพลังของเธอ