การแสดงยังคงดำเนินต่อไป เพลงของอูนาได้พูดถึงพวกหน้าซื่อใจคด ความอยุติธรรมของสังคม และความไร้ประสิทธิภาพของพรรคการเมือง ทำให้อารมณ์ของฝูงชนเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่อูนายังร้องเพลงอย่างมีความสุข ทุกคนต่างฟังเพลงที่เธอแต่งขึ้นมาเอง ตอนจบเป็นเพลงบัลลาดที่มีสัมผัสของความเศร้าและความสูญเสีย ชื่อเพลงว่า ‘ใครบอกฉันได้บ้าง’

“ไกลออกไป มีดวงดาราที่ส่องแสงลงมา แต่เรายังคงติดอยู่ใต้ท้องฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด เส้นทางของเราอยู่ที่ไหน? ใครบอกฉันได้บ้าง? ว่าฉันควรเดินไปบนเส้นทางไหน? ใครบอกฉันได้บ้าง? ว่าแสงอรุณของวันพรุ่งนี้จะทำให้วันของฉันสดใสขึ้นอีกครั้ง หรือมันจะเผยให้เห็นขวากหนามที่ถูกซ่อนอยู่กันแน่ ฉันจะสามารถใช้ช่วงชีวิตที่เหลือกับคุณได้ไหม? ฉันอาจจะจมอยู่กับบาดแผลในอดีต จนฉันอาจจะไม่สามารถไปไหนต่อไปได้ แต่… ฉันต้องการที่จะตามหาคุณ คนที่จะช่วยให้ฉันเป็นอิสระจากพันธนาการ แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงแค่ 1 นาที แม้ว่าจะเป็นแค่เพียงวินาทีก็ตาม ตราบเท่าที่ฉันสามารถหาคุณเจอได้ ฉันก็ไม่หวาดหวั่นต่ออะไรทั้งนั้น” อูนาค่อยๆเคาะกีตาร์ของเธอ เสียงอึมครึมจากเบสของลุงฟรอสเลอร์ ลุงแพนตี้ก้ค่อยๆลดจังหวะการตีกลองลงอย่างช้าๆ แม้แต่แสงไฟบนเวทีก็ดูมืดสลัว ให้ความรู้สึกถึงความอ้างว้างที่หนาวเหน็บแสนเกินจะทน

บทเพลงนี้แตกต่างจากบทเพลงที่ผ่านมาในก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ความแตกต่างนี้ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม เย่ฉางเริ่มเต้นเพลงวอลทซ์จนทำให้ทุกคนรู้สึกสงสารเวทนาใจ เห็นได้ชัดว่ามีเขาเพียงคนเดียวที่เต้น แต่พวกเขาเหมือนจะเห็นภาพของคนสองคนเต้นหมุนวนกันตรงเวที ราวกับว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา และเต้นรำไปกับเขา พวกเขาตกใจกับความเศร้าโศกที่เขาแสดงออกมา จนทำให้ฝูงชนต่างพากันหลั่งน้ำตาออกมา ตาของทุกคนงองุ้มและมีใบหน้าโศกเศร้า เย่ฉางเต้นเพลงวอลทซ์เป็นจังหวะ ราวกับว่าเขากำลังเต้นอยู่บนทะเลสาบอันเงียบสงบ เขาเต้นอยู่คนเดียวด้วยการโอบอุ้มสายลม และแสดงออกด้วยท่าทีที่ไม่แยแสของเขา แต่ก็ยังคงมีร่องรอยแห่งความสุขอยู่บนใบหน้าของเขาอย่างเลือนลางเช่นกัน ในท้ายที่สุด เขาก็เอามือข้างหนึ่งจับไปตรงหัวใจของเขา และโค้งคำนับ หลังจากที่เขาคำนับแล้ว บรรยากาศก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นอ้างว้างเดียวดาย จนหญิงสาวนับไม่ถ้วนต่างพากันหลั่งน้ำตาและร้องไห้อยู่เงียบๆ แม้แต่อูนาก็ยังรู้สึกสะอึกสะอื้นเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้เต้นเก่งมาก คนหนึ่งเต้นเป็นสองคน จากนั้นก็จบลงด้วยเสียงเพลงวอลทซ์ที่โดดเดี่ยว

จางเจิ้งเฉียงแข็งค้างอยู่เบื้องหลังที่ฉายไฟเวที

“อาฉาง การเต้นของนายดูสง่างามมากเลย! สอนฉันเต้นบ้างสิ ตกลงไหม?”

“ไม่…”

“สอนฉันเต้นหน่อยน๊า~”

“ก็ได้ การเต้นแบบนี้เรียกว่าวอลทซ์ ขั้นตอนและจังหวะเป็นแบบนี้ ก้าวขึ้นไปบนเท้าของฉันอีกครั้ง!”

“นายเป็นผู้นำที่ไม่ดีเลย!”

“แย่มาก เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เธอไม่มีเซนส์ในการรับรู้จังหวะเอาซะเลย!”

“อาเฉียง นายมาเรียนเต้นด้วยกันสิ นายอาจจะต้องใช้มันเพื่อหาน้องสะใภ้มาให้ฉันก็ได้…”

“ใช้หาแฟนได้จริงดิ? งั้นผมจะเรียนเต้นด้วย”

“อาหยู่ดูสิ แม้แต่การเต้นของอาเฉียงยังดีกว่าเธอเลย เฮ้อ! อาหยู่มานี่มา มาลองดูอีกครั้ง!”

“ไปให้พ้นเลย! นายเป็นผู้นำที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย!”

“อาฉาง สัปดาห์หน้าแถวบ้านเรามีการประกวดเต้นรำ ผู้ชนะอันดับหนึ่งจะได้รับบัตรกำนัลช้อปปิ้ง 20,000 ดอลล่าร์! ไปเข้าร่วมกันเถอะ!”

“เต้นคู่กับเธอ? เฮ้อ ก็ได้ ก็ได้… อย่าเหยียบเท้าฉันละ แทนที่จะเป็นสัปดาห์หน้า ฉันมีเซอร์ไพร์ให้เธอในสัปดาห์นี้ ฉันจะมอบของขวัญให้กับเธอ!”

“จริงงั้นหรือ!? อาฉาง ฉันแก่กว่านายมาก จริงๆเลยนะนายเนี่ย…”

“ฉัน, นาย, อาเฉียง และภรรยาอาเฉียงในอนาคต เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

จางเจิ้งเฉียงสังเกตเห็นแหวนที่เย่ฉางสวมซึ่งได้ถูกเปิดเผยในขณะที่เขาเต้น แหวนวงนี้เป็นของขวัญที่เขาไม่สามารถมอบให้กับเธอได้

“อ่า~ อืมม ฉันคิดว่าการแสดงครั้งนี้จบแล้ว! ไว้เจอกันครั้งต่อไปนะทุกคน! อย่าลืมกดไลค์ให้หลินหลี่กันด้วยนะ! คุณต้องจำเอาไว้ว่า~ ถ้าคุณไม่กดไลค์ให้หลินหลี่ หลินหลี่จะโมโหมาก! หลินหลี่จะโมโหจริงๆ! ผมไม่ได้หลอกลวงพวกคุณน๊า~! จริงๆ น๊า~~!” การแสดงที่ดูเหมือนกับเด็กของหลินหลี่ทำให้ผู้ชมหัวเราะออกมาเบาๆ

“เป็นการเต้นที่สุดยอดมาก เป็นการแสดงที่ดีที่สุดที่ฉันเคยเห็นมาตลอดทั้งปี! การเล่นเบสของลุงฟรอสเลอร์ การตีกลองของแพนตี้ การเต้นรำที่สง่างามของอาชูร่าชาว ฉันรู้สึกว่ามันถูกมากสำหรับค่าเข้าชมเพียง 200 ดอลลาร์ และฉันยังได้โอนเงิน 2000 ดอลลาร์ให้กับทีม T-105, ลุงแพนตี้ และลุงฟรอสเลอร์ด้วยล่ะ พวกเขาทั้งหมดเป็นความภาคภูมิใจของเมืองหลินไห่จริงๆ!”

“2000? สำหรับการแสดงที่ดีที่สุดขนาดนี้ และนายยังโอนเงินไปให้แค่ 2000? ยากจนนัก! ฉันโอนเงินไปตั้ง 200,000 ดอลลาร์แล้ว”

“ทุกคนไม่ได้ร่ำรวยเหมือนกับนายนิ ไม่ว่าจำนวนเงินจะมากน้อยเท่าไหร่ ขอแค่ทุกคนโอนเงินไปให้พวกเขาด้วยความเต็มใจก็พอแล้ว สำหรับฉัน ฉันโอนเงินจำนวน 500,000 ดอลลาร์ให้กับทีม T-105, ลุงฟรอสเลอร์ และลุงแพนตี้เท่าที่ฉันเต็มใจจะให้…”

“นี่คือการรายงายข่าวของเมืองหลินไห่ในเขตตะวันออก ดิฉันชานตงตงเป็นผู้รายงายค่ะ! หลังจากการออกอากาศสดของสงครามศักดิ์สิทธิ์ ดิฉันได้นำทุกท่านมาพบกับเบื้องหลังของการแสดงครั้งนี้ค่ะ!” ชานตงตงสวมผ้าคาดหัวที่มีรูปหัวใจและมีชื่อเย่ฉางสลักไว้ เธอสามารถเข้าไปที่หลังเวทีได้ด้วยการอนุมัติของเย่ฉาง

เย่ฉางสวมชุดสูทสีดำ และหมวกของเขา ทำให้ตอนนี้เขาดูเหมือนกับสุภาพบุรุษปีศาจ และในที่สุดเขาอยู่อยู่อันดับที่ 1 ในตารางจัดอันดับบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมหาวิทยาลัย ด้วยการเต็นวอลทซ์และสีหน้าท่าทางของเขาบนเวที ทำให้ความนิยมของเขาท่วมท้นอย่างมาก แม้กระทั่งหลินหลี่ที่ยังไม่ได้ออกมาแสดงหน้าเวที อันดับของเขายังขยับมาอยู่อันดับที่ 6 เลย และด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขามีแฟนคลับเป็นพวกโอตาคุผู้หญิงเยอะขึ้น

“ท่านนายพล!! ลุงฟรอสเลอร์ ลุงแพนตี้ ครั้งนี้การแสดงของพวกคุณอาจกล่าวได้ว่าเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองหลินไห่เลยก็ว่าได้ จนดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นอย่างมาก มีหลายคนที่ไม่สามารถเข้าไปชมคอนเสิรต์ได้ พวกเขาจึงได้แสดงความไม่พอใจออกมากันเป็นจำนวนมาก และได้ฝากดิฉันมาถามว่า พวกคุณมีแผนที่จะไปแสดงที่จตุรัสเซียงหยู่ของเมืองหลินไห่กันบ้างไหมคะ!?” คำพูดของชานตงตงทำให้อูนามีความสุขมาก ‘เฮ้! แล้วฉันล่ะ!? แล้ววง Falling Sand ล่ะ!? เธอไม่สนใจฉันเลยใช่ไหม?’ เธอมองไปที่แฟนคลับนับไม่ถ้วน และเห็นว่าเย่ฉางได้รับการโหวตไปเป็นล้าน ในขณะที่เธอเพิ่งได้รับเพียงแค่ 10,000 เอง แม้แต่หลินหลี่ก็ได้รับการโหวตจากกลุ่มแฟนคลับไปมากกว่า 600,000 คนแล้ว ‘บ้าไปแล้ว! ฉันเป็นคนจัดงานนะ! ฉันเป็นนักร้องนำเชียวนะ!’

“การแสดงครั้งนี้เป็นเพียงการให้กำลังใจเพื่อนที่ดีของเราเท่านั้น พวกเราไม่มีแผนที่จะไปแสดงที่อื่นอีก…” ลุงแพนตี้พูดอย่างสุภาพ

“ถึงแม้ว่าฉันจะต้องการพ่นน้ำใส่เธอ แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้องแล้ว” ลุงฟรอสเลอร์พูดขึ้นมาในท่ากอดอก

สำหรับเย่ฉาง เขาทำเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น

“ท่านนายพล หลังจากจบเพลงวอลทซ์ มีนักเต้นนับไม่ถ้วนกำลังบูชาท่านราวกับว่าท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเต้นรำของเมืองหลินไห่ ท่านมีอะไรที่จะพูดกับพวกเขาบ้างไหมคะ?” ชานตงคงยังคงสัมภาษณ์อย่างต่อเนื่อง อูนาต้องการเดินขึ้นไป และแทงเธอที่ด้านหลัง ‘บ้าเอ๊ย! แม่ง! ทุกคนได้บอกไปแล้วว่า การแสดงครั้งนี้เป็นการให้กำลังใจเพื่อนที่ดีเท่านั้น แต่เธอไม่คิดที่จะทำตามกระแส และสัมภาษณ์ฉัน!? ฉันเป็นคนนำนะ! ฉันเป็นนักร้องนำของการแสดงคอนเสิรต์ครั้งนี้เชียวนะ!!’

“สำหรับความชื่นชอบของทุกคน ผมสามารถตอบรับได้เพียงสิ่งนี้เท่านั้น สำหรับชื่อเสียงเทพเจ้าแห่งการเต้นรำ มันดูมากเกินไปสำหรับผม ผมแค่เพียงรู้จักการเต้นรำเพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง…” ถึงแม้ว่าเย่ฉางจะพูดออกมาอย่างสุภาพ แต่เขาก็ยังคงเล่นกับหมวกของเขาด้วยรอยยิ้มที่เฉยเมย

“ทำไมเธอถึงไม่ถามหลินหลี่บ้างล่ะ!” หลินหลี่กระโดดออกมาแสดงความไม่พอใจ

“แค่ก แค่ก พี่ใหญ่หลี่ คุณมีชื่อเสียงอยู่แล้ว คุณได้รับการโหวตเป็นบุคคลอันดับ 1 ที่พวกโอตาคุผู้หญิงนับไม่ถ้วนอยากกินเลยนะคะ ฉันเห็นสิ่งนี้ด้วยสายตาของฉันเอง ขนาดเพื่อนร่วมห้องของฉันยัง ‘ชิม’ ภาพโฮโลแกรมของพี่ด้วยเลยนะ…” ชานตงตงหลั่งเหงื่อที่เย็นเยียบออกมา คำพูดที่เธอพูดไม่ได้เป็นคำชมเชย แต่มันเป็นความจริงล้วนๆ พวกสาวๆโอตาคุหลายคนที่ไม่เคยชอบใครง่ายๆ กำลังบูชาเขาราวกับเป็นพระเจ้าเลยทีเดียว ถึงขนาดที่บางคนเพียงแค่ได้ยินเสียงแปลกๆของเขา ก็มีอารมณ์และแสดงท่าทางแปลกๆกันแล้ว

“คาดว่าน่าจะเป็นเพราะนิสัยใจคอของพี่ใหญ่หลี่คนนี้ จึงทำให้พวกเธอชอบผม” หลินหลี่ก้าวไปด้านข้างด้วยความพึงพอใจ

จางเจิ้งเฉียงที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังคิดออกมาอย่างขมขื่น ‘ทำไมฉันถึงไม่เรียนรู้ทักษะที่เกี่ยวกับศิลปะการแสดงกันนะ! ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะเรียนรู้การเล่นแซ็กโซโฟน!!’

ในตอนแรก เธอมีความขัดแย้งเกี่ยวกับการสวมใส่ผ้าคาดหัวที่เย่ฉางมอบให้กับเธอ แต่ตอนนี้เมื่อเธอเห็นสูทสีดำ หมวกสีดำ และถุงมือสีขาว ที่ดูเหมือนกับสุภาพบุรุษปีศาจของเย่ฉาง ทำให้เธอชื่นชมเขาจากใจจริง การที่ชอบทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากราวกับว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษปีศาจที่ท่องราตรีไปในยามค่ำคืน

อูนาอยากจะทุบกีตาร์ไฟฟ้าไปที่หัวของชานตงตง ‘ตาฉัน!! เมื่อไหร่จะถึงตาฉันซะที!!’

ในที่สุดชานตงตงก็หันมา และเริ่มสัมภาษณ์อูนา “เกี่ยวกับทีม T-105, ลุงฟรอสเลอร์ และลุงแพนตี้ที่ให้ความช่วยเหลือคุณเป็นอย่างมากนั้น คุณมีอะไรที่ต้องการจะพูดกับพวกเขาบ้างไหมคะ?”

“ฉันรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่พวกเขาได้ช่วยเหลือฉัน ฉัน…” อูนายังพูดไม่ทันจบก่อนที่ชานตงตงจะขัดจังหวะเธอ “เอาล่ะ! การสัมภาษณ์ของเราก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้นะคะ พบกันอีกครั้งในข่าวใหม่ครั้งต่อไปนะคะ ตอนนี้ชานตงตงต้องไปก่อนแล้วนะคะ! บ๊ายบายค่ะ~!”

อูนาระเบิดความโกรธ และคว้ากีตาร์ไฟฟ้าของเธอ ‘แม่งเอ๊ย! นี่คือโชว์ของฉันนะ! ฉันเป็นผู้จัดงาน! ฉันเป็นผู้จัดงานนะโว้ย!!!’ FrozenCloud รีบเข้าไปรั้งเธอไว้

ชานตงตงได้รับลายเซ็นของเย่ฉาง, หลินหลี่, ลุงฟรอสเลอร์ และลุงแพนตี้ จากนั้นเธอก็ถ่ายภาพกลุ่มร่วมกับพวกเขา และเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างมาก อูนาจ้องมองไปที่หลังเธอด้วยความเกลียดชัง

เย่ฉางนำทุกคนไปที่ร้านของเถ้าแก่หวังเพื่อเฉลิมฉลอง อูนาถอนหายใจ การแสดงของเธอถูกขโมยไปโดยพวกเขาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะให้การแสดงเป็นไปได้อย่างราบรื่น และด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ดี อย่างน้อยมันก็คุ้มค่ามาก! ทุกคนได้รับขนมปังปิ้ง ลุงฟรอสเลอร์ และลุงแพนตี้แข่งขันกันดื่มเหล้า แต่จบลงด้วยการเมาทั้งคู่

อูนามองพวกเขายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน เดินเอนเอียงส่ายไปมาในขณะที่พวกเขาทั้งคู่เดินจากไป “พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ…”

“การเผชิญหน้ากันระหว่างฟรอสเลอร์กับแพนตี้ ล้วนเกิดขึ้นมานานเกือบ 20 ปีแล้ว พวกเขาไม่มีมิตรภาพต่อกันหรอก แต่อาจจะเป็นการเห็นใจซึ่งกันและกัน ฟรอสเลอร์เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของฉัน เหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้อาจไม่ใช่แบบที่พวกเธอคิดกันอยู่ ความรักครั้งแรกของเขาคือหญิงเหล็กไป๋หลี่ซิ่ว เธอเป็นหัวหน้าคณะกรรมการวินัย แม้ว่าเธอจะสวย แต่ทุกคนนั้นเกลียดเธอมาก ไม่เว้นแม้แต่เด็กผู้ชาย เพราะเธอเป็นคนที่รุนแรงมากเกินไป เธอไม่ได้มีเพื่อนสนิทเลย แต่เธอกลับมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับฟรอสเลอร์ ในเวลานั้นฟรอสเลอร์เป็นขโมยที่มีชื่อเสียงมาก แม้แต่หัวหน้าแก๊งค์ยังต้องเคารพเขา เพราะชื่อเล่นของเขาคือ‘แมวภูเขา’ เขาเป็นเหมือนกับชื่อของเขา ที่แม้แต่เสือโคร่งหรือสิงโต ก็ยังอาจถูกกัดตายจากแมวภูเขาได้ แน่นอนว่าชื่อเรียกจักรพรรดิพระเจ้าเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ชื่อแมวภูเขาเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดถึงฟรอสเลอร์ในช่วงเวลานั้น ไป๋หลี่ซิ่วมักจะตามตื้อเขาทุกๆวัน และพยายามที่จะทำให้เขาเลิกเป็นขโมย เธอจะคอยตรวจสอบเขาเพื่อให้เขาทำการบ้านทุกครั้ง เธอเป็นคนที่รุนแรง ส่วนฟรอสเลอร์ก็เป็นคนที่ไม่ค่อยมีความอดทนสักเท่าไหร่ จนถึงกับไปข่มขู่เธอ” เถ้าแก่หวังนั่งลงระลึกถึงอดีต ทุกคนตั้งใจฟังด้วยความสนใจกันอย่างมาก

“แต่ไป๋หลี่ซิ่วก็ไม่เคยยอมแพ้ ที่จริงฉันสามารถบอกได้เลยว่า ในช่วงเวลานั้นฟรอสเลอร์มีความสุขเป็นอย่างมาก เขานั้นเกิดมาในครอบครัวที่แตกระแหง แม่ของเขาเป็นคนที่ดื่มเหล้าหนักมาก เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นพ่อของเขา ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับความติดหนึบของ ไป๋หลี่ซิ่ว เขาเลยต้องการที่จะทิ้งอิทธิพลที่ไม่ดีไว้ ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงคิดว่าแมวภูเขาได้ตกต่ำลงไปแล้ว ในเวลานั้นสิงโตและเสือก็เริ่มที่จะผงาดขึ้น ในตอนสุดท้าย ที่ประตูหน้าโรงเรียนมัธยมกลางที่ 8 ไป๋หลี่ซิ่วได้เผชิญหน้ากับคนหลายร้อยคน และตำหนิพวกเขาไม่ให้ลากฟรอสเลอร์เดินไปในเส้นทางที่ไม่ดีกับพวกเขาด้วย ฉันจำเรื่องราวทั้งหมดได้เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เธอเป็นคนตรงไปตรงมาและเด็ดเดี่ยวมากจริงๆ จนท้ายที่สุด เธอก็ถูกทำร้ายจนตายโดยพวกเขาเหล่านั้น เมื่อฟรอสเลอร์เห็นร่างที่แน่นิ่งของไป๋หลี่ซิ่ว เขาโกรธมาก สัญชาตญาณของแมวภูเขาที่ป่าเถื่อนและโหดร้ายได้ระเบิดออกมา เมื่อเขาหลุดออกจากความบ้าคลั่ง เขาจึงค้นพบว่าตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล และใต้เท้าของเขามีคนของแก๊งค์หลายร้อยคนกำลังส่งเสียงกรีดร้อง ฉันจำได้ว่าเห็นเขาหันหน้าเข้าหาศพไป๋หลี่ซิ่ว เขาร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือด ในท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่า ไป๋หลี่ซิ่วไม่ได้ตายจริง แต่เธอตกอยู่ในอาการโคม่า ในทุกๆวัน ฟรอสเลอร์จะถอดกางเกงของเขาออก และแสดงให้เธอเห็นถึงช้างน้อยของเขา สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดนี่ก็เพื่อจะพยายามปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาต่อว่าเขา จนเขาค่อยๆย้ายไปจู่โจมคนอื่นๆ และกลายเป็นหนึ่งในศิลปินแหกคอกของหลินไห่ เขายังคงปรับปรุงวิธีการที่บิดเบือนเงอะงะของเขามาตลอด แต่มันก็ผ่านมา 30 ปีแล้ว และไป๋หลี่ซิ่วก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย…” เมื่อเถ้าแก่หวังพูดจบ เขาถอนหายใจออกมา และมองไปที่ด้านหลังของลุงฟรอสเลอร์และลุงแพนตี้