DC บทที่ 342: ท้าทายนิกายล้านอสรพิษอย่างเปิดเผย

 

หวังชูเหรินถือกระบี่ยาวที่มีตัวกระบี่เป็นสีแดงไว้ในมือ แสดงให้เห็นถึงความสง่างามของกระบี่เทพธิดาเพลิง

 

“สิ่งสวยงามในมือของข้านี้มิเพียงแต่แหลมคม แต่มันยังบรรจุทักษะที่เปรียบเทียบได้กับการโจมตีจากคนในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณไว้ภายใน แม้ว่าข้าอยากที่จะแสดงทักษะให้เห็น แต่เมื่อมันจะระเบิดโรงประมูลแห่งนี้ไป เช่นนั้นข้าจำต้องงดเว้นไว้”

 

“โอ้เทพเจ้า มันเป็นสมบัติวิญญญาณที่มีทักษะอยู่ภายใน”

 

บรรดาแขกต่างพากันตระหนก

 

อาวุธวิญญาณที่มีทักษะเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากและเป็นที่ต้องการของผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคน ในเมื่อมันยอมให้พวกเขาใช้ความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าความสามารถปกติของพวกเขาเข้าจัดการกับศัตรูที่เหนือกว่าเขตของพวกเขา

 

ยกตัวอย่างเช่นถ้าผู้ฝึกยุทธในเขตสัมมาวิญญาณได้ถือกระบี่เทพธิดาเพลิง คนผู้นั้นย่อมมีโอกาสที่จะเอาชนะคนในเขตปฐพีวิญญาณเพราะว่าพลังที่เก็บไว้ในอาวุธ

 

ในแง่ของความสูงค่า กระบี่เทพธิดาเพลิงย่อมมีค่ามากกว่าระฆังพิษม่วงในสายตาของคนบางคน

 

“ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับกระบี่เทพธิดาเพลิงจักเป็น หนึ่งหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินกล่าว

 

“ตระกูลกังประมูลที่ หนึ่งหมื่นเจ็ดพันก้อนหินวิญญาณ”

 

“สำนักหงส์สวรรค์ประมูลที่ สามหมื่นก้อนหินวิญญาณ”

 

โรงประมูลเงียบไปชั่วขณะหลังจากที่สำนักหงส์สวรรค์พลันเพิ่มราคาไปเท่าตัวในทันที

 

“สาม…สามหมื่นหนึ่งพันก้อนหินวิญาณ”

 

“ตระกูลเยว่ประมูล สามหมื่นสองพันก้อนหินวิญญาณ”

 

“นิกายล้านอสรพิษประมูล สี่หมื่นก้อนหินวิญญาณ”

 

“ห้าหมื่นก้อนหินวิญญาณ”

 

แม้ว่าเขาจะเงียบมาตั้งแต่แรก แต่ทันทีที่นิกายล้านอสรพิษได้ทำการประมูล ซูหยางก็จะยกมือและประมูลทับพวกเขาทันที

 

ตอนนี้แขกทุกคนเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจประมูลทับนิกายล้านอสรพิษและตบหน้าอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัล

 

“ทำไมเขาจึงจงใจพยายามล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษโดยเจตนา”

 

“อา ถ้าข้าจำมิผิด นิกายล้านอสรพิษได้ไล่ศิษย์จำนวนมากออกไปจากสำนักพวกเขา ทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการแตกสลาย แต่อย่างไรก็ตามนั่นยิ่งทำให้ความพยายามที่จะตบหน้าอีกฝ่ายของเขานั้นยิ่งโง่เขลา พวกเขาจะทำอะไรถ้านิกายล้านอสรพิษตัดสินใจที่จะจู่โจมสำนักของพวกเขา”

 

“พวกเขามีความสัมพันธ์กับอย่างนั้นรึ หือ… แต่นิกายที่อ่อนแอแบบนั้นทำไมจึงมีทรัพย์สินมากมาย ชายหนุ่มนั่นเพียงคนเดียวได้ประมูลเกินกว่าแสนก้อนหินวิญญาณไปแล้วในตอนนี้ และนี่เพิ่งจะเป็นของชิ้นที่สอง”

 

“บางทีเงินทั้งหมดนั่นอาจจะมอบให้กับศิษย์ที่ยังคงอยู่ ใครจะรู้”

 

ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี ฟูกวานได้กัดฟันของเขาด้วยความโกรธ

 

“ศิษย์เพียงคนเดียวจากสำนักอ่อนแอกล้าที่จะท้าทายนิกายล้านอสรพิษของข้ารึ ถ้ามิใช่เพราะว่าเซียนนั่น ข้าคงจะทำลายสำนักนั่นได้อย่าง่ายๆเพียงแค่ปลายนิ้วของข้า”

 

“ห้าหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ” ฟูกวานประมูลต่อ

 

“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางประมูลทับเขาอย่างสบายๆอีกครั้ง

 

“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าต้องการให้เขาตายอย่างช้าๆและเจ็บปวด” ฟูกวานคำรามด้วยเสียงอาฆาต

 

ไม่นานจากนั้น ฟูกวานก็หัวเราะในใจ “ไปเลย ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างจากโรงประมูลให้ข้า เจ้าเด็กชั่ว ครั้นเมื่อเราจัดการเจ้า ข้าก็จักได้มันจากศพของเจ้า”

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฟูกวานก็ไม่ได้ประมูลของนั้นอีกต่อไป

 

ในอีกมุมหนึ่งภายในห้องวีไอพี เจ้าซีเหลือบมองฟูกวานด้วยหางตา หลังจากตรวจสอบซูหยาง เขาก็รู้ถึงความบาดหมางของพวกเขา

 

“ข้าควรหยุดพวกเขาดีหรือไม่ หรือว่าข้าควรปล่อยให้เขาจัดการมันเอง” เขาครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆ

 

“กระบี่เทพธิดาเพลิงจะถูกขายที่หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ”

 

อีกครั้ง หวังชูเหรินได้นำของไปส่งให้กับซูหยางหลังจากที่เขาจ่ายหินวิญญาณ

 

“ผู้นำนิกาย กระบี่นี้ค่อนข้างจะสวยงามเกินไปสำหรับข้า ท่านเอามันไปเถอะ” ซูหยางยื่นส่งกระบี่เทพธิดาเพลิงให้กับเธออย่างไม่ใส่ใจ

 

โหลวหลานจีอ้าปากจนกรามตกถึงพื้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขา “จ-เจ้ากำลังพยายามทำอะไรอยู่ ซูหยาง”

 

เธอพลันรู้สึกสงสัยการกระทำของเขา

 

“มีบุญคุณต่อนิกาย” เขาตอบอย่างสบายๆ

 

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเช่นนั้นรึ”

 

ซูหยางส่ายหน้าและหันไปมองดูซูหยิน ซึ่งจ้องมองดูเขาด้วยหน้าตางงงัน

 

“เอ้านี่ เจ้ารับมันไปเถอะ”

 

ในเมื่อเธอนั่งอยู่ติดกับเขา ซูหยางจึงยื่นส่งกระบี่เทพธิดาเพลิงให้กับเธอ พูดให้ถูกก็คือเขาจับมันยัดใส่เข้าไปในมือเธอ

 

“ข-ขอบคุณ พี่ชาย ข้าจักดูแลมันอย่างดีตลอดไป” ซูหยินรู้สึกอยากจะร้องไห้ขณะที่ความร้อนตามธรรมชาติของกระบี่เทพธิดาเพลิงถ่ายทอดความอบอุ่นเข้าสู่ร่างของเธอ

 

“อะไรกันวะ เจ้านี่ร่ำรวยมากเท่าไหร่กัน เขามาจากตระกูลไหน”

 

“หญิงสาวข้างกายเขาคือเจ้าหญิงตระกูลซู ซูหยิน และเธอเพิ่งเรียกเขาว่าพี่ชาย บางทีเขาอาจจะมาจากตระกูลซูหรือเปล่า”

 

“ต่อให้เป็นตระกูลซูก็มิอาจจะใช้จ่ายเงินเช่นนี้”

 

ผู้คนที่นั่นพลันเพิ่มความสนใจในเบื้องหลังของซูหยาง ถ้าพวกเขาสามารถเป็นเพื่อนกับคนที่ทั้งร่ำรวยและใจกว้างเหมือนเช่นเขา…

 

“ข้าอยากจะเป็นเพื่อนเขา ต่อให้ต้องยกลูกสาวให้กับเขา แต่น่าเสียดาย เขาได้ล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษแล้ว มิมีค่าที่จะลากตระกูลของข้าไปสู่ปัญหา”

 

“เจ้าพูดถูกจุด มันเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ…”

 

ครั้นเมื่อหวังชูเหรินกลับคืนไปสู่เวที เธอก็พลันแนะนำของชิ้นต่อไป

 

“มีนักปรุงยาในที่นี้หรือไม่ ของชิ้นต่อไปไม่ควรพลาด” หวังชูเหรินเปิดเผยให้แขกเห็นเตาปรุงยาสีดำที่มีความสูงครึ่งหนึ่งของความสูงของเธอและกว้างเท่ากับผู้ใหญ่สองคน

 

เมื่อนักปรุงยาเห็นเตาปรุงยาสีดำ ดวงตาของพวกเขาก็พลันเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น

 

“นั่นคือเตาปรุงยาไร้รูป”

 

คนบางคนในห้องจดจำเตาปรุงยาได้

 

“ใช่แล้ว นี่เป็นเตาปรุงยาไร้รูปจริงๆ ถ้าท่านปรุงยาใช้เตาอันลึกล้ำนี้ คุณสมบัติของยาก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ สิบเปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านสามารถเปลี่ยนขนาดของมันตามใจปรารถนาและนำมันไปกับท่านได้ทุกที่ที่ท่านไป”

 

หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้ว หวังชูเหรินก็ใช้ปราณไร้ลักษณ์ของเธอลดขนาดของเตาปรุงยาไร้รูปจนมันมีขนาดเท่ากับถ้วยชา ก่อนที่จะคืนขนาดของมันมาเป็นขนาดปกติ

 

“ข้าต้องได้เตาปรุงยาไร้รูปนี้ ต่อให้ข้าจะต้องหมดตัว”

 

“สมบัติเช่นนั้นจักสูญเปล่าเมื่ออยู่ในมือท่าน ผู้เฒ่า ให้ผู้มีเกียรติคนนี้ถือมันแทนท่านเถอะ”

 

บรรดานักปรุงยาที่นั่นต่างพากันจ้องมองแต่ละฝ่ายด้วยสายตาดุร้าย