DC บทที่ 341: ระฆังพิษม่วง

 

หลังจากประกาศชื่อของชิ้นแรกที่จะประมูล หวังชูเหรินก็เปิดผ้าคลุมที่ปิดโต๊ะเลื่อนสีแดง เผยให้แขกเห็นระฆังสีม่วงเล็กๆ

 

“ระฆังพิษม่วงนี้ถือได้ว่าเป็นสมบัติป้องกันตัวที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ท่านรัก ครั้นเมื่อได้รับการกระตุ้น มันก็จักสร้างเกราะรอบร่างท่านที่มิเพียงลบล้างความเสียหายเท่านั้น แต่ยังแพร่พิษใส่คนที่โจมตีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากว่าคนนั้นจะอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณเป็นอย่างต่ำ มิเช่นนั้นพวกเขาก็อย่าคิดหมายที่จะทำลายเกราะป้องกันของมัน”

 

“ข้าจักสาธิตให้ดู”

 

หวังชูเหรินหยิบระฆังม่วงขึ้นมาอย่างระมัดระวังและสั่นอย่างนุ่มนวล

 

วินาทีถัดไปเกราะสีม่วงก็เกิดขึ้นล้อมร่างของหวังชูเหรินพร้อมกับหนามที่ดูอันตรายครอบคลุมไปทั่วเกราะนั้น

 

“ช่างเป็นสมบัติที่ดี”

 

“ข้าต้องได้สมบัติวิญญาณนี้ มีวัตถุนี้ก็เหมือนกับมีอีกชีวิต”

 

“ข้าจักต้องได้สมบัติชิ้นนี้แน่นอนสำหรับลูกสาวข้า ต่อให้ข้าต้องกู้หนี้ยืมสิน”

 

บรรดาแขกในห้องต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงกันทันที ในเมื่อพวกเขาหลายคนต้องการวัตถุป้องกันตัวชิ้นนี้ที่สามารถป้องกันการโจมตีต่างๆจากผู้ที่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ

 

“ระฆังพิษม่วงนี้ นิกายล้านอสรพิษของเราต้องได้มันมา” ฟูกวานตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

 

หลังจากที่วางระฆังพิษม่วงกลับลงไปบนโต๊ะ หวังชูเหรินก็ยกนิ้วทั้งสิบของเธอขึ้นและกล่าวว่า “ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับระฆังพิษม่วงนี้ก็คือ หนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ”

 

“หนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณเหรอ”

 

ศิษย์รุ่นเยาวต่างพากันตื่นตระหนกกับราคาที่สูงเทียมฟ้า นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่มีราคาสูงมากเช่นนั้น

 

“ตระกูลเจียงประมูลที่ หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหินวิญญาณ”

 

“ตระกูลวูประมูลหนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยหินวิญญาณ”

 

“สำนักไม้เท้าสายฟ้าประมูลหนึ่งหมื่นสามพันหินวิญญาณ”

 

บรรดาแขกต่างพากันประมูลอย่างเผ็ดร้อนและภายในไม่กี่วินาทีราคาประมูลก็กลายเป็นสองหมื่นหินวิญญาณ

 

“นิกายล้านอสรพิษประมูลสามหมื่นหินวิญญาณ”

 

ฟูกวางใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตนเองส่งเสียงจากห้องวีไอพีไปยังห้องประมูล

 

“นิกายล้านอสรพิษก็อยู่ที่นี่รึ” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว เธอน่าจะรู้ว่าพวกเขาก็มาที่นี่เช่นกัน

 

“โอเทพเจ้า… นั่นนิกายล้านอสรพิษ พวกเขาต้องจำพวกเราได้แล้วแน่นอน”

 

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

 

“พี่ชาย ถ้าข้าจำมิผิด นิกายล้านอสรพิษได้ไล่ศิษย์ส่วนใหญ่ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ท่านกังวลเกี่ยวกับพวกเขาหรือไม่” ซูหยินถาม

 

“ในสายตาของข้า นิกายล้านอสรพิษมิมีอะไรต่างไปจากตระกูลหวัง” ซูหยางยิ้ม

 

จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและพูดเสียงดัง “สี่หมื่นก้อนหินวิญญาณ”

 

“อะไรกัน”

 

โหลวหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์พากันสะบัดหน้าหันไปมองดูซูหยางด้วยท่าทางตกใจบนใบหน้า เมื่อไหร่กันที่เขากลายเป็นคนร่ำรวยเช่นนั้น

 

“เป็นเจ้าเด็กนั่นอีกแล้ว… เขากล้ากระทั่งที่จะประมูลแข่งกับนิกายล้านอสรพิษ”

 

ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี ฟูกวางจ้องมองซูหยางด้วยใบหน้าค่อนข้างแดงและกำหมัดแน่น

 

“เช่นนั้นเจ้าต้องการที่จะสู้กับนิกายล้านอสรพิษของข้าจนถึงที่สุดรึ ดี ผู้อาวุโสคนนี้จักเล่นกับเจ้า ดูซิว่าทรัพย์สินของนิกายที่เกือบจะล้มนั้นมีมากมายพอจะเสียได้เท่าไหร่”

 

“ห้าหมื่นก้อนหินวิญญาณ” ฟูกวานส่งเสียงออกมาอีกครั้งภายในห้องประมูล

 

“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ” เสียงของซูหยางพลันตามติดมาชั่ววินาทีที่เสียงของฟูกวางจบลง

 

“จ-เจ้าเด็กชั่วร้ายนี้” ฟูกวางร่างสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ

 

อาวุธวิญญาณระดับปฐพีทั่วไปนั้นปกติจะมีราคาประมาณสองหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ แต่ในเมื่อมันเป็นสมบัติวิญญาณสำหรับการป้องกัน ราคาของมันก็จะผันผวนไปตามประสิทธิภาพ ในกรณีนี้ สมบัติป้องกันที่สามารถป้องกันการโจมตีใดๆที่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ จ่ายสี่หมื่นก้อนหินวิญญาณสำหรับมันก็ไม่ถือว่ามากเกินไป

 

อย่างไรก็ตามหากจ่ายมากกว่าหกหมื่นก้อนหินวิญญาณนั้นถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปกติจะถือว่าเป็นความสูญเสียมากเกินจำเป็นถึงแม้ว่าจะเป็นสถานที่ดังเช่นนิกายล้านอสรพิษ

 

“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ ครั้งที่หนึ่ง…”

 

“ครั้งที่สอง…”

 

“และมันขายให้กับชายหนุ่มคนนี้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”

 

“ศิษย์พี่ชาย ท่านช่างร่ำรวยจริง…” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันจ้องมองเขาด้วยปากที่อ้ากว้าง

 

หลังจากที่การประมูลครั้งแรกจบลง หวังชูเหรินเองก็ได้ยื่นส่งระฆังพิษม่วงให้กับซูหยางด้วยตนเอง

 

“นี่คือหินวิญญาณหกหมื่นก้อน” ซูหยางยื่นส่งถุงเก็บเงินให้เธออย่างสบาย

 

หวังชูเหรินใช้เวลาวินาทีหนึ่งในการยืนยันจำนวนและถ่ายเทหินวิญญาณหกหมื่นก้อนไปยังถุงเก็บเงินของเธอเองก่อนที่จะคืนถุงเปล่าให้กับซูหยาง

 

หลังจากที่รับระฆังพิษม่วงแล้ว ซูหยางก็หันไปดูโหลวหลานจีแล้วกล่าวว่า “ผู้นำนิกายเก็บสิ่งนี้ไว้ให้นิกาย ท่านสามารถให้มันกับศิษย์คนใดในอนาคตหรือจะใช้มันเองก็ได้”

 

จากนั้นเขาก็โยนระฆังพิษม่วงเข้าไปที่มือของเธอโดยไม่ลังเล ทำเหมือนกับว่ามันเป็นระฆังธรรมดา

 

“?!?!?!”

 

โหลวหลานจีรับระฆังม่วงด้วยมือสั่นสะท้านและจ้องมองเขาด้วยใบหน้างงงันหลังจากนั้น “เจ้า…เจ้ามั่นใจรี แต่นั่นเจ้าใช้เงินเจ้าเอง…”

 

“ถ้าท่านไม่ต้องการมัน ข้าก็สามารถให้มันกับคนอื่นก็ได้” ซูหยางตอบในฉับพลัน

 

“ร-ไร้สาระ ใครว่ากันว่าข้ามิต้องการมัน” ด้วยกลัวว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจในทันใด โหลวหลานจีโยนระฆังพิษม่วงเข้าไปในแหวนมิติของเธออย่างรวดเร็ว

 

“ขอบคุณมาก ซูหยาง…” เธอขอบคุณเขาหลังจากนั้น “ข้าจักให้รางวัลเจ้าสำหรับบุญคุณหลังจากนี้…”

 

ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแค่ยิ้ม

 

ในเวลานั้นสายตาเกือบทุกคู่ในห้องนั้นต่างพากันมองดูโหลวหลานจีด้วยสายตาอิจฉา

 

“ถึงกับมีศิษย์ที่ใจกว้างเช่นนั้น เธอต้องหัวเราะแม้กระทั่งตอนหลับแน่…”

 

“เฮ้อออ.. ทำไมข้ามิมีศิษย์ร่ำรวยเหมือนเขาบ้าง ถึงแม้ว่าข้ามีแต่ก็ไม่มีใครในพวกเขาใจกว้างถึงหนึ่งในสิบของเขา”

 

“พวกเจ้าควรจะเรียนรู้จากเขา มิใช่ว่าข้าคาดหวังให้พวกเจ้าใช้หินวิญญาณนับหมื่นก้อน…”

 

หลังจากหวังชูเหรินกลับไปยังเวที เธอก็พลันประกาศวัตถุชิ้นที่สองสำหรับการประมูล

 

“สินค้าชิ้นที่สองสำหรับวันนี้เป็นสมบัติวิญญาณอีกชิ้น อย่างไรก็ตามแทนที่จะใช้ป้องกัน มันเต็มไปด้วยพลังอำนาจ ขอให้ข้าแนะนำสมบัติวิญญาณระดับปฐพีนี้ กระบี่เทพธิดาเพลิง”

 

“มันเป็นสมบัติวิญญาณระดับปฐพีอีกชิ้น”

 

“การประมูลปีนี้ยอดเยี่ยมกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด และเราเพิ่งอยู่ที่สินค้าชิ้นที่สอง”

 

ผู้คนต่างพากันส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม