บทที่ 681 : รู้จักแวมไพร์!
“โอ้. มิสเตอร์หลิงที่เคารพ! ท่านอย่าเพิ่งโมโหไป พวกเรากําลังจะเล่าต่อพอดี”
เจสเตอร์เห็นสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวของหลิงหยุนก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก จนแทบไม่สามารถบังคับพวงมาลัยได้ และรีบร้องบอกหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว
“มิสเตอร์หลิงที่เคารพ. ท่านอย่าเพิ่งกังวลใจไป สาวน้อยแสนสวยของท่านยังไม่ถูกดู ดเลือด..”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และดุเจสเตอร์ว่า “เจ้าควร จะบอกข้าให้เร็วกว่านี้”
หลิงหยุนกําหมัดชูขึ้นต่อหน้าเจสเตอร์
เจสเตอร์ที่ตอนนี้หวาดกลัวหลิงหยุนอย่างมากนั้น รีบระส่ําระลักตอบกลับไปว่า “ตอนที่สาวงามของท่านกลับไปที่ตระกูลเกานั้น ท่านบารอนของเรา…”
“มันไม่ใช่ท่านบารอนของเจ้าอีกต่อไปแล้ว เรียกมันว่าเฉินเจี้ยนสุ่ย!” หลิงหยุนร้องขัดขึ้นมาทันที
หลิงหยุนได้ยินเจสเตอร์ยังคงเรียกเฉินเจี้ยนกุยว่าท่านบารอน ก็ถึงกับบร้องขัดขึ้นมาด้วยความโมโห
ในสายตาของหลิงหยุน เฉินเจี้ยนสุ่ยได้กลายเป็นซากศพไปนานแล้ว เขาจะต้องจัดการเผาเฉินเจี้ยนสุ่ยให้เป็นเถ้าถ่านอย่างแน่นอน!
“เอ่อ. ครับมิสเตอร์หลิงที่เคารพ! เฉินเจี้ยนสุ่ยก็ตรงเข้าไปเพื่อจัดการดูดเลือดให้ สาวน้อยคนสวยกลายเป็นบริวารแต่กลับปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นมาเฉินเจี้ยนปุยถึงกับผงะและรีบกระโจนถอยหนีออกมาด้วยความตกใจ!”
ระหว่างที่เจสเตอร์เล่าเรื่องนี้ เขายังคงมีท่าทางหวาดกลัวไม่น้อย จนปากสั่นฟันก ระทบกันขณะที่พูด..
“ฉันกับเหล่าแวมไพร์คนอื่นๆรวมทั้งพอลด้วย ต่างก็ถูกแสงสว่างวาบนั่นเผาไหม้จ นต้องกลับไปนอนหลบซ่อนอยู่ในโลงศพ และต้องใช้เวลาฟื้นตัวเป็นเดือนเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นชายหนุ่มที่กําลังขับรถตามพวกเรามา ไม่มีทางหลบหนีพวกเราไปหาท่านได้อย่างแน่นอนไม่มีทาง!”
“เกาเฉินเฉิน? แสงสว่างงั้นรึ?”
หลิงหยุนพึมพํากับตัวเอง และกําลังสงสัยว่าแสงนั้นออกมาจากร่างของเกาเฉินเฉินได้อย่างไร?
เมื่อเจสเตอร์เห็นว่าหลิงหยุนเองก็ยังไม่รู้ว่าแสงนั่นมาได้อย่างไร? เขาจึงรีบพูดขึ้นด้วยความ สงสัยเช่นกัน
“มิสเตอร์หลิงที่เคารพ. ใช่แล้ว มันเป็นแสง! แสงเหมือนกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ออกมาจากฝ่ามือของท่านเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนจะทรงพลังกว่า”
หลิงหยุนเริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย มันไม่ใช่แสงศักดิ์สิทธิ์อะไร แต่มันคือพลังอมตะจา กฟูกันจักรพรรดิที่หลิงหยุนได้เคยถ่ายเทเข้าไปในร่างของเกาเฉินเฉิน!
พลังอมตะของพู่กันจักรพรรดินั้นมีคุณสมบัติเป็นหยางบริสุทธิ์ เมื่อครั้งที่หลิงหยุนสู้กับยอดฝีมือของตระกูลซันทั้งสี่คน และนักฆ่าระดับสวรรค์ขององค์กรนักฆ่าอีกสามคนนั้นเขาก็ได้พู่กันจักรพรรดิถ่ายเทพลังอมตะให้จนสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี้-9 ได้ชั่วคราว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียของ เขาก็จัดการใช้พลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิชําระล้างร่างกายของทุกคนให้ราวกับเกิดใหม่
ในบรรดาผู้คนเหล่านั้น เกาเฉินเฉินก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับพลังอมตะเข้าไปในร่างกายจํานวนมาก อีกทั้งในเวลานั้นเธอก็อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-2 จึงนับว่าเป็นคนหนึ่งที่มีร่างกายที่ดี และยิ่งมีร่างกายที่ดีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
“ดูเหมือนพลังอมตะที่ถ่ายเทลงไปในร่างกายของเฉินเฉินจะมีอานุภาพที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ!ในปริมาณเพียงเท่านั้น แต่กลับมีพลานุภาพถึงเพียงนี้”
หลิงหยุนตื่นเต้นอย่างมาก และนี่เป็นข่าวดีที่สุดที่เขาได้ฟังตั้งแต่ออกจากเมืองจิงดูมา
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเฉินเจี้ยนสุ่ย มันได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” หลิงหยุนรีบถามเจสเตอร์
เจสเตอร์ส่ายหน้า “เฉินเจี้ยนสุ่ยได้รับบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น มิสเตอร์หลิงที่เคารพ.. ท่านคงจะยังไม่รู้ว่าเฉินเจี้ยนสุ่ยก่อนที่จะกลายมาเป็นแวมไพร์นั้น เขาก็แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดามากแล้ว เขาเป็นพวกที่บ่มเพาะกําลังภายในเหมือนอย่างท่าน”
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับถามว่า “คนที่มีกําลังภายในก็อยากจะเป็นแวมไพร์ด้วยเร็ว”
ครั้งนี้ พอลที่เป็นฝ่ายนั่งฟังมานานก็ตอบไปว่า “มิสเตอร์หลิงที่เคารพ.. ท่านต้องรู้ว่าการเป็นแวมไพร์นั้นจะไม่มีวันตาย.. มนุษย์ทําทุกวิถีทางเพื่อให้มีชีวิตที่เป็นอมตะไม่ใช่เหรอ?”
พอลยังคงพูดต่ออย่างแปลกใจ “ความจริงแล้ว ชาวเอเชียโดยเฉพาะชาวจีนนั้น ยากนักที่จะเป็นแวมไพร์ที่สามารถสร้างบริวารได้สําเร็จ เป็นได้ก็เพียงแค่แวมไพร์ชั้นต่ําเท่านั้น แต่ภายในเวลาแค่สามปี เฉินเจี้ยนสุ่ยกลับสามารถก้าวขึ้นจากแวมไพร์ธรรมดา และมีพลังแข็งแกร่งจนสามารถขึ้นเป็นบารอนได้ เป็นเรื่องที่ทั้งน่าอิจฉา และไม่น่าเชื่อ….”
หลิงหยุนถึงกับหน้าเครียด หากคนที่อยู่ในขั้นเซียนเทียนสามารถเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ได้ เขาจะกลายเป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งมากเพียงใด? หากไม่รีบจัดการให้ดี ต่อไปเฉินเจี้ยนสุ่ยจะต้องกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวของเขาอย่างแน่นอน!
“พอล. ฉันรู้ว่าเพราะอะไร..?”
เจสเตอร์พึมพําอย่างตื่นตระหนก “ฉันเคยเห็นในมือของเฉินเจี้ยนสุ่ยมีลูกปัดสีแดงราวกับเลือดฉันเคยได้ยินเขาเรียกมันว่าลูกประคําโลหิต! ของสิ่งนั้นค่อนข้างแปลกประหลาดคล้ายกับมีไอปีศาจทุกครั้งที่เฉินเจี้ยนสุ่ยได้ดื่มเลือดเข้าไป พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก มากกว่าที่พวกเรา ได้ดื่มเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์เสียอีก และความสามารถก็จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็วจนน่ากลัว!”
ลูกประคําโลหิตงั้นรึ?!
หลิงหยุนได้แต่ครุ่นคิดในใจว่า ก่อนที่เฉินเจี้ยนสุ่ยจะเดินทางไปต่างประเทศ เขาได้เคยฝึกวิชาของพรรคมารบ้างหรือไม่?
หลิงหยุนถามด้วยน้ําเสียงนิ่งเรียบ “แวมไพร์อย่างพวกเจ้าแบ่งลําดับขั้นความแข็งแกร่งอย่างไร?”
ต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่งอย่างหลิงหยุน มีหรือที่แวมไพร์ทั้งสองตนจะกล้าปิดบังอะไรอีก พอลตอบกลับไปตามความจริง
“มิสเตอร์หลิงที่เคารพ.. ถ้าคุณกําลังถามถึงเรื่องลําดับขั้นของเหล่าแวมไพร์ พวกเราแบ่งกันตามสายเลือดและตําแหน่ง..”
จากคําอธิบายของพอลนั้น หลิงหยุนจึงเริ่มเข้าใจคร่าวๆว่า แวมไพร์นั้นแบ่งออกเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ และสายเลือดผสม และตามสายเลือดนั้นพวกที่มีสายเลือดบบริสุทธิ์ก็จะอยู่ในขั้นขุนนาง หรือแวมไพร์ชั้นสูง
และไม่ว่าแวมไพร์ตนนั้นจะแข็งแกร่งและมีพลังมากเพียงใด หากเป็นสายเลือดผสม ต่อหน้าแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ ก็ไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง และไร้ซึ่งฐานันดรใดๆ
ตามตําแหน่งของแวมไพร์นั้น มีสายเลือดแวมไพร์แตกต่างกันมากมาย แต่ถึงกระ นั้นพวกมันก็จัดอยู่ในระดับเดียวกันพวกมันมีผู้นําหลักก็คือลอร์ด และจะมีเหล่าผู้เฒ่าที่เป็นที่ปรึกษาอยู่สิบสองตนและมีสมาชิกอีกมากมาย
หลังจากที่ท่านลอร์ดคนเดิมหมดวาระ ก็จะต้องกําหนดทายาทที่จะมาเป็นลอร์ดคนต่อไปเนื่องจากแวมไพร์ไม่มีวันตาย งานของลอร์ดจึงค่อนข้างยุ่งยากมากมาย และหลังจากดํารงตําแหน่งไประยะเวลาหนึ่ง ก็มักจะพากันสละตําแหน่ง
ลอร์ดคือตําแหน่งสูงสุด ต่อมาก็คือแกรนด์ค มาร์ควิส เคานท์ ไวเคานต์ บารอน และเอิร์ลซึ่งเป็นแวมไพร์ทั่วไป
แกรนด์ตุ๊ค – เป็นสัญลักษณ์ของพลังอํานาจแห่งแวมไพร์
มาร์ควิส – เป็นชนชั้นระดับกลางที่เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง
เอิร์ล – เป็นแวมไพร์ที่คนทั่วทั้งโลกต่างคุ้นเคย
เหล่าแวมไพร์นั้นค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องของการแบ่งชนชั้น และลําดับชั้น
หลิงหยุนถึงกับตกใจอย่างมาก บนโลกใบนี้ช่างมีการแข่งขันมากมายเหลือเกิน แวมไพร์นั้นจะเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่ แต่ก็ยังไม่ใช่ปีศาจ แต่กลับมีชีวิตที่ยืนยาว ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ไม่น้อย!
“แล้วเหตุใดคนธรรมดาสามัญจึงไม่เคยพบเห็นพวกเจ้าเลย?!” หลิงหยุนถามอย่างสงสัย
“มิสเตอร์หลิงที่เคารพ นั่นเป็นเพราะกฎหกข้อของพวกเรา และหนึ่งในนั้นก็คือ ให้หลบหนีจากผู้คน…” พอลตอบด้วยน้ําเสียงจริงจัง
“ในเมื่อเป็นกฎระเบียบ แล้วทําไมพวกเจ้ายังออกมาไล่ล่าเกาเทียนหลงได้ล่ะ?” หลิงหยุนถามต่อทันที
เจสเตอร์รีบตอบขึ้นมาแทน “มิสเตอร์หลิงที่เคารพ. นี่เป็นคําถามที่ดีมาก ผมขอเป็นคนตอบเอง!”
“ที่ใหนๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีกัน ภายในเหล่าแวมไพร์เองก็เช่นเดียวกันในบรรดาแวมไพร์ด้วยกันนั้นมีทั้งหมดสิบสามสายพันธุ์ และแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่งคือแวมไพร์ลึกลับ และกฏทั้งหกข้อนั้นก็ก่อตั้งโดยแวมไพร์ลึกลับเหล่านี้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือแวมไพร์ปีศาจ แวมไพร์กลุ่มนี้จะไม่สนใจกฎทั้งหกข้อเลย เฉินเจี้ยนกุยอยู่กลุ่มแวมไพร์กลุ่มหลังนี้และบริวารอย่างพวกเราจึงไม่จําเป็นต้องหลบหนีโลก..”
“แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ไม่ชอบแสงอาทิตย์ที่สุด ดวงอาทิตย์เปรียบเหมือนศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา และเป็นสิ่งที่พวกเราเกลียดที่สุด!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็เข้าใจเรื่องราวของแวมไพร์ได้เกือบทั้งหมดแล้ว เขาพยักหน้ายิ้มๆ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง แวมไพร์ปีศาจงั้นรึ? น่าสนใจดีนี่”
“เอาล่ะ คราวนี้บอกจุดอ่อนและจุดแข็งของแวมไพร์อย่างพวกเจ้ามาให้ข้ารู้ได้แล้ว ไม่เช่นนนข้าจะสังหารพวกเจ้าทั้งสองคนเสีย!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็ถามถึงประเด็นสําคัญ ในเมื่อเขาต้องการสังหารเฉินเจี้ยนปุย เขาจึงต้องรู้จุดอ่อนจุดแข็งของแวมไพร์ เรียกได้ว่ารู้เขารู้เราก็ย่อมมีชัยชนะไปกว่าครึ่ง
“โอ้ มิสเตอร์หลิงที่เคารพ.. อย่าให้เราต้องพูดเรื่องพวกนี้เลย”
“จริงด้วย..”
ทั้งเจสเตอร์และพอลต่างก็ขมวดคิ้ว เขาเป็นแวมไพร์ แต่กลับต้องบอกวิธีฆ่าแวมไพร์ มันดูแปลกประหลาดเกินไป..
แต่ภายในสถานการณ์เช่นนี้ เจสเตอร์กับพอลก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงได้แต่ตอบหลิงหยุนกลับไปที่ละคําถาม..
หลิงหยุนได้เรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของเหล่าแวมไพร์อย่างละเอียด และรู้วิธีที่จะฆ่าพวกมันแต่ สิ่งหนึ่งที่ทําให้หลิงหยุนตกใจอย่างที่สุดก็คือ นอกจากแวมไพร์จะแข็งแกร่งอย่างมากแล้วพวกมันยังบินได้อีกด้วย!