บทที่ 682 : เข้าปักกิ่งโดยไม่แสดงฐานะที่แท้จริง!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 682 : เข้าปักกิ่งโดยไม่แสดงฐานะที่แท้จริง!

 

“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอีกไม่นานเกาเฉินเฉินก็ต้องตกเป็นบริวารของเฉินเจี้ยนสุ่ยอยู่ดี.. เจ้าหมายค วามว่าอย่างไร?”

 

ในเมื่อได้ยินว่าคนชั่วช้าอย่างเฉินเจี้ยนสุ่ยถึงกับผงะเมื่อสัมผัสเข้ากับแสงจากพลังอมตะของพู่กันจักรพรรดิที่อยู่ในร่างของเกาเฉินเฉินหลิงหยุนจึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างแต่เมื่อได้ยินว่าเกาเฉินเฉินอาจจะรอดจากเงื้อมือของเฉินเจี้ยนสุ่ยได้อีกไม่นานาน เขาก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที เวลานี้หลิงหยุนแทบอยากจะมีปีกบินไปปักกิ่งเพื่อช่วยเกาเฉินเฉินออกมาจากเหล่าแวมไพร์ให้เร็วที่สุด

 

เจสเตอร์กระซิบเสียงเบา “โอ้, มิสเตอร์หลิงที่เคารพท่านต้องรู้ว่าแวมไพร์อย่างพวกเรานั้นหากได้ดื่มเลือดสดๆเข้าไปมากพอก็จะมีพละกําลังที่กล้าแกร่งเพิ่มมากขึ้นด้วย ท่านบารอนโอ้ไม่ใช่สิ!ไอ้คนชั่วเฉินเจี้ยนสุ่ยเองก็เช่นกันอีกไม่นานมันคงจะแข็งแกร่งจนสามารถขึ้นเป็นไวเคานต์ได้แล้วและความแข็งแกร่งของไวเคานต์นั้นก็เหนือกว่าบารอนถึงสิบเท่าหรืออาจจะมากกว่า

 

ท่านลองคิดดูสิว่า.. หากมันขึ้นเป็นไวเคานต์ได้เมื่อไหร่ มีหรือที่มันจะไม่หาทางจัดการกับสาวน้อยแสนสวยในทันที?ข้าว่ามันคงจะไม่รีรออย่างแน่นอน”

 

“อีกอย่าง ดูเหมือนว่าไอ้คนชั่วเฉินเจี้ยนสุ่ยจะรู้ว่าสาวน้อยแสนสวยผู้นั้นมีเลือดที่วิเศษและพิเศษมากอยู่ในตัว มันจึงได้เชื้อเชิญเหล่าแวมไพร์ขั้นไวเคานต์แม้กระทั่งแกรนด์ตุ๊คจากอเมริกาให้มาร่วมดื่มเลือดสดๆที่แสนวิเศษของสาวน้อยผู้นั้นด้วย ถ้าแวมไพร์เหล่านั้นรู้เรื่องนี้เข้าคงจะไม่มีใครรีรอและคงจะรีบตอบตกลงในทันที”

 

“ห้ะ.เจ้าว่าอะไรนะ?!”

 

หลิงหยุนได้ฟังคําบอกเล่าของเจสเตอร์ ก็ถึงกับโกรธจนแทบคลุ้มคลั่งเขากระแทกหมัดลงกับเบาะจนรถแทบพังพร้อมกับกรีดร้องออกมาอย่างคั่งแค้นใจ

“เฉินเจี้ยนสุ่ย ถ้าแกกล้าดื่มเลือดผู้หญิงของข้าแล้วล่ะก็คอยดู…. ข้าจะหักเขี้ยวสุนัขของแกทิ้งซะ!”

 

ทั้งเจสเตอร์และพอลเมื่อได้เห็นหลิงหยุนกําลังโกรธเกรี้ยว จึงได้แต่นั่งเงียบไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คําเดียว..

 

“ขับให้เร็วกว่านี้! ยิ่งไปถึงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”

 

“โอ้พระเจ้า.. ฉันเกลียดกลางวัน ฉันเกลียดแสงอาทิตย์…”

 

รถสีเงินคันนี้ได้ถูกตกแต่งใหม่เป็นพิเศษให้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องผ่านเข้ามาภายในรถได้ดังนั้นภายในรถจึงยังคงมืดทึบ เจสเตอร์บ่นพึมพําพร้อมกับหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่และรีบขับรถมุ่งหน้าไปตามถนนไฮเวย์

 

เวลาเก้าโมงเช้า หลังจากที่หลิงหยุนสังหารจิมตายไปถึงแปดชั่วโมง รถสีเงินและออดี้สีดําซึ่งขับโดยเกาเทียนหลง ก็เข้าสู่กรุงปักกิ่งซึ่งเป็นศูนย์กลางของประเทศจีน!

 

หลังจากที่ขับไปตามถนนวงแหวนหมายเลข 5 ทั้งหมดก็ขับไปหาที่จอดเติมน้ํามัน ระหว่างนั้นหลิงหยุนจึงรีบดึงเกาเทียนหลงออกมาพร้อมกับกระซิบถามว่า

 

“ช่วยผมคิดหน่อยว่าพวกเราควรจะบุกเข้าไปที่บ้านของคุณตอนกลางวัน หรือควรจะ เข้าไปตอนกลางคืนดี?”

 

“หลิงหยุน.. ความจริงแล้วที่ผมไปหาคุณที่จิงจู ผมเองก็ไม่คิดที่จะให้คุณต้องมาสู้กับแวมไพร์แบบนี้ ผมแค่ได้ยินจากเฉินเฉินว่าคุณเป็นคนที่มีทักษะทางการแพทย์ล้ําเลิศ ผมเพียงแค่ต้องการให้คุณมาช่วยรักษาท่านปู ท่านพ่อ แล้วก็ท่านแม่ของผมเท่านั้น หลังจากที่ทุกคนกลับเป็นปกติแล้วพวกเราตระกูลเกาก็น่าจะหาหนทางพลิกฟื้นสถานการณ์ในครั้งนี้กันเองได้”

 

หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับขมวดคิ้ว และตอบกลับไปทันที “ผมถามแวมไพร์สองตัวนั่นแล้วพวกมันบอกว่า ตราบใดที่ถูกดูดเลือดแล้วแต่ไม่ตาย พวกเขาก็จะกลายเป็นศพเดินได้ไปแบบนั้นเวลานี้ผมเองก็ยังคิดหาวิธีรักษาไม่ได้พวกเขา…”

 

หลิงหยุนเองก็ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนักมาตลอดทาง และแม้แต่เขาเองก็มืดแปดด้านเช่นกัน!

 

ช่างน่าขัน! นี่เป็นครั้งแรกที่แม้แต่ความแข็งแกร่งในระดับนี้ของเขา ก็ยังไม่สามารถหาหนทางรักษาคนในตระกูลเกาได้..

 

หากจะรักษาด้วยวิชาเก้าเข็มปลุกชีพ. ดูแล้วก็คงจะไร้ประโยชน์! เพราะเลือดภายในร่างกายของแวมไพร์นั้นมีน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ําไป! เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะทําให้การฝังเข็มนั้นมีองค์ประกอบไม่ครบสมบูรณ์ จึงไม่สามารถทําได้!

 

หากจะรักษาด้วยยันต์บําบัด.. แวมไพร์ก็มีร่างกายที่มีความทนทานสูงมาก การใช้ยันต์ระดับสี่หรือห้าก็แทบจะไร้ประโยชน์เช่นกัน!

 

แต่หากจะใช้พลังหยินและหยางรักษา.. ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าพลังหยินของหลิงหยุนนั้นสามารถแช่แข็งพอลได้ในทันที และพลังหยางก็สามารถสังหารจิมได้ในพริบตาเช่นกัน จึงแทบไม่ต้องคิดที่จะใช้วิธีนี้

 

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ผมเองก็ยังคิดอะไรไม่ออกตอนนี้”

 

“ผมอาจจะยังหาวิธีที่จะเปลี่ยนพวกเขาจากการเป็นแวมไพร์มาเป็นมนุษย์เหมือนเดิมไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเราก็ต้องไปช่วยพวกเขาออกมาก่อนให้พวกเขาหลุดพ้นจากการควบคุมของเหล่าแวมไพร์จากนั้นดูว่าพอจะสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้บ้างหรือไม่? แล้วค่อยคิดหาวิธีรักษา! แต่ก่อนอื่นต้องจัดการสังหารเฉินเจี้ยนสุ่ยเสียก่อน…”

 

“ในเมื่อยังรักษาไม่ได้ ก็ต้องให้พวกเขาเป็นแวมไพร์แบบนี้ไปก่อนไว้ผมหาวิธีรักษาได้เมื่อไหร่ พวกเราค่อยลงทําการรักษาพวกเขา คุณคิดเห็นยังไง?”

 

แม้ว่าหลิงหยุนจะพูดคุยกับเกาเทียนหลงด้วยน้ําเสียงคล้ายปรึกษาหารือแต่ด้วยความสามารถของเกาเทียนหลงเวลานี้เรียกได้ว่าไม่มีหนทางอื่นให้เขาเลือกด้วยซ้ําในเมื่อเห็นว่าหลิงหยุนยังไม่มีวิธีที่จะรักษาคนในครอบครัวของตนเองเกาเทียนหลงจึงได้แต่พยักหน้าเงียบๆด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ..

 

แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้เขาก็อยู่กับหลิงหยุนที่แทบไม่ต้องพูดถึงว่าเก่งกาจสามารถปานใดนี่เท่ากับว่าเหล่าแวมไพร์จะต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจอย่างมากและอย่างน้อยเขาก็สามารถกลับไปที่บ้านตระกูลเกาเพื่อช่วยเหลือคนในครอบครัวที่ตกเป็นบริวารของเฉินเจี้ยนสุ่ยได้

 

“หลิงหยุน! ขอบคุณสําหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทําให้กับตระกูลเกา!แต่การกลับไปบ้านตระกูลเกาเวลานี้เป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป..”

 

เกาเทียนหลงไม่สามารถปิดบังความโศกเศร้าไว้ได้ น้ําตาลูกผู้ชายจึงต้องหลั่งรินอีกครั้ง

 

หลิงหยุนตบบ่าเกาเทียนหลงเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ผมขอบอกคุณตามตรง เฉินเฉินเป็นภรรายาของผม และที่เธอกลับมาที่บ้านในครั้งก็เพื่อผม! เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผมจะต้องรับผิดชอบด้วย ไม่ว่าจะอันตรายมากแค่ใหน หรือต้องได้รับความทุกข์ยากมากเพียงใดผมก็ต้องหาทางช่วยเฉินเฉินออกมาให้ได้”

 

เกาเทียนหลงนั้นเป็นทหารในหน่วยพิเศษ เขาจึงไม่ใช่คนที่จะมัวแต่นั่งโศกเศร้าคร่ําครวญ นานนักเขารีบปาดน้ําตาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงที่ทรงพลัง

 

“หลิงหยุน.. คุณแข็งแกร่งกว่าผมหลายเท่านัก! ครั้งนี้ผมจะเชื่อฟังคุณ คุณต้องการให้ผมทําอะไรก็สั่งการมาได้เลย ผมพร้อมจะทําตามคําสั่งของคุณทุกอย่าง!”

 

หลิงหยุนพยักหน้า “ดี! เอาล่ะ ในเมื่อแวมไพร์ไม่ยอมปรากฏตัวในตอนกลางวัน พวกเราเข้าไปตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็จะบุกเข้าบ้านตระกูลเกาในเวลากลางคืนแทนและจัดการฆ่าแวมไพร์ทุกตัวที่ไม่ใช่คนของตระกูลเกาทิ้งให้หมดจากนั้นค่อยช่วยคนของตระกูลเกาออกมา…”

 

“อีกอย่างคุณเองก็ขับรถมาตลอดทั้งคืนแล้ว กลางวันพวกเราควรจะนอนหลับพักผ่อนเอาแรงจะดีกว่า!”

 

เกาเทียนหลงจ้องมองด้วยแววตาเคียดแค้นพร้อมกับกัดกรามแน่น “ได้ตามนั้น!”

 

จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปพูดกับเหล่ากุ้ยที่ร่วมฟังด้วยว่า “เหล่ากุย..ท่านเองก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ในเมื่อข้ามาถึงปักกิ่งแล้ว ข้าก็ไม่อาจทนเห็นเฉินเฉินต้องรับทุกข์สาหัสต่อไปได้อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่รู้นางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร? ข้าคงต้องหาหนทางช่วยนางออกมาก่อน”

 

แต่ถึงกระนั้นเหล่ากุ้ยเองก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ จึงได้แต่ร้องบอกอย่างกังวลใจ “นายน้อย..เรื่องใหญ่แบบนี้รอกลับไปที่ตระกูล ปรึกษาหารือกับท่านปู่ของนายน้อยก่อนจะไม่ดีกว่าหรือ?แล้วค่อยกลับมาช่วยนาง…”

 

หลิงหยุนส่ายหน้าอย่างตัดสินใจแล้ว “เหล่ากุย.. ข้าครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง! พวกมันไม่ใช่แวมไพร์ธรรมดาแต่เป็นแวมไพร์ที่อยู่ในการควบคุมของเฉินเจี้ยนกุยแห่งตระกูลเฉินและเหตุผลที่เฉินเจี้ยนสุ่ยกล้ามากําแหงในปักกิ่งก็เพราะได้ตระกูลเฉินช่วยปกปิดเรื่องเหล่านี้ไว้ให้ตอนนี้สถานการณ์ต่างๆค่อนข้างคลุมเครือตระกูลใหนอยู่ข้างตระกูลเฉินบ้างก็ยังไม่อาจรู้ได้? เพราะฉะนั้นแผนการทุกอย่างจึงต้องปิดเป็นความลับ อีกอย่างข้าเชื่อว่าหากท่านกลับไปรายงานความจริงให้ท่านปูทราบข้าเชื่อว่าท่านปูจะต้องเข้าใจข้าอย่างแน่นอน”

 

นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนเดินทางเข้ามาในปักกิ่งเขาจึงไม่ต้องการเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเองเพราะศัตรูของเขานั้นอยู่ในที่มืดการไม่เปิดเผยฐานะเช่นนี้จะทําให้หลิงหยุนสามารถทําอะไรได้สะดวกและง่ายดายกว่า

 

“เหล่ากุ้ย.. ท่านช่วยหาที่พักให้ข้าด้วย ขอแค่นอนหลับพักผ่อนได้ก็พอแล้ว!”

 

เหล่ากุยยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า “นายน้อย.. ในเมื่อท่านมาถึงปักกิ่งทั้งที อย่าว่าแต่โรงแรมเลยท่านอยากจะอยู่บ้านหลังใหญ่โตแค่ใหน?หรืออยากจะอยู่มุมใหนของปักกิ่งก็บอกข้ามาได้เลย!”

 

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ช่วยหาที่พักที่มีภูเขาและน้ําให้ข้าด้วยขอให้เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและยิ่งอยู่ใกล้กับบ้านตระกูลเกาก็ยิ่งดีข้าจะได้สืบหาข่าวคราวได้สะดวกมากขึ้นไม่ทราบว่าท่านพอจะหาได้หรือไม่?”

 

“ย่อมได้อยู่แล้ว! อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือข้าจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้เลย!”

 

หลิงหยุนเดินทางมาจากทางใต้ ตอนนี้กําลังจะเดินทางไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงเรียกได้ว่าต้องผ่านไปอีกฟากฝั่งของปักกิ่งเลยทีเดียวทําให้ได้ใช้เวลาศึกษากรุงปักกิ่งไปคร่าวๆด้วย

 

ความประทับใจอย่างหนึ่งของหลิงหยุนที่มีต่อปักกิ่งก็คือมันใหญ่โตมาก! ปักกิ่งนั้นใหญ่กว่าจิงอย่างน้อยก็สี่หรือห้าเท่าอีกทั้งยังมีตึกสูงเสียดฟ้าเรียงรายเป็นทิวแถวมากมายถนนหนทางก็ดูยุ่งเหยิงซับซ้อนจนไม่รู้ว่าถนนเส้นใหนไปที่ใดบ้าง!?

 

“ช่างเป็นเมืองที่คู่ควรกับจักรพรรดิเสียจริง”

 

แม้ว่าหลิงหยุนจะเคยเห็นดินแดนที่ใหญ่โตกว่าปักกิ่งหลายเท่าเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่แต่เพราะเขานั้นได้อาศัยอยู่ในเมืองจิงอุมาเป็นเวลานานมากครั้งแรกที่ได้เห็นปักกิ่งจึงรู้สึกตกใจในความเจริญไม่น้อยเลยทีเดียว

 

เวลานี้เป็นช่วงเก้าโมงเช้า และเป็นช่วงเวลาที่การจราจรติดขัดที่สุดพวกเขาจึงต้องใช้เวลาอยู่บนท้องถนนเกือบสองชั่วโมงเลยที่เดียวกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง

 

เรื่องการจราจรที่ติดขัดนั้นเป็นเรื่องที่ขึ้นชื่อของกรุงปักกิ่งแห่งนี้

 

ที่พักที่เหล่าอุ่ยพาไปนั้น นอกจากตัวบ้านแล้วภายในก็มีสวนที่กว้างใหญ่และถึงแม้จะอยู่ในที่ที่ห่างไกลแต่ก็ล้อมรอบไปด้วยแม่น้ําและภูเขาสีเขียวภายในสวนกว้างใหญ่ก็มีคูน้ําเล็กๆที่มีน้ําอยู่เต็มอีกทั้งยังเงียบสงบอย่างมากด้วย

 

เหล่ากุ้ยไม่มีกุญแจเปิดประตูรั้วแต่ในเมื่อไม่มีคนอยู่ทั้งคู่จึงกระโดดเข้าไปในสวนด้านในทันที “นายน้อย. บ้านหลังนี้ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่มีเงินสองร้อยล้านยังซื้อไม่ได้เลยล่ะ!”

 

ถึงแม้หลิงหยุนจะพอรู้อยู่ว่าที่ทางในเมืองหลวงนั้นมีราคาสูงมากเพียงใดแต่ก็คิดไม่ถึงว่าบ้านหลังนี้จะมีราคาสูงถึงเพียงนี้!

 

หลิงหยุนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่มีกุญแจแล้วจะเข้าไปในบ้านได้ยังไงกัน?”

 

เหล่ากุยตอบยิ้มๆ “นายน้อย ท่านรอประเดี๋ยว ข้าขอโทรศัพท์ก่อน”