ตอนที่ 264 พบกับผิงผิง / ตอนที่ 265 ดูแคลน

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 264 พบกับผิงผิง

 

 

เซียงฉือบอกลาอย่างลนลานแล้วออกจากห้องเครื่องเล็กไป

 

 

พอออกมาถึงด้านนอกก็ชนเข้ากับคนคนหนึ่ง ผิงผิงนั่นเอง

 

 

เซียงฉือตกใจระคนแปลกใจ นางมองดูผิงผิง หญิงสาวที่ปักงานแคล่วคล่อง มีความมั่นใจในงานเย็บปักเต็มเปี่ยมตอนได้พบกันครั้งแรกในครั้งนั้น เซียงฉือต้องคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงจำได้ ตอนนี้ผิงผิงได้เป็นผิงตาอิ้งแล้ว ได้รับการแต่งตั้งยศจากฝ่าบาท อีกทั้งยังได้รับอนุญาตให้เข้าออกตำหนักเจิ้งหยางเพื่อรับใช้ฝ่าบาทได้ตลอดเวลา

 

 

พูดให้ชัดเจนคือผิงผิงในวันนี้เป็นตาอิ้งที่ได้รับราชทินนามจากฝ่าบาท ข่าวที่ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักในวันนี้ก็ได้ส่งไปถึงนางด้วย

 

 

ทำให้นางนั่งไม่สงบสุขคิดแต่จะมาตำหนักเจิ้งหยาง นางต้องการขอร้องให้ฝ่าบาทรับนางไว้อย่าให้นางต้องกลับเข้าวังหลัง เพราะนางไม่ชอบที่นั่น

 

 

ช่วงเวลาที่นางอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง ทุกคนปฏิบัติต่อนางต่างจากที่แล้วๆ มา สถานะนางแตกต่างจากเดิมอย่างมาก สภาพความเป็นอยู่ต่างกันราวฟ้ากับดิน

 

 

นางจึงได้เข้าใจคำพูดของหมัวหมัวเฒ่าที่บอกกับนางตอนแรกเข้าวังว่า

 

 

‘ทุกสิ่งในวังล้วนเป็นของจอมปลอม มีเพียงความรักความเมตตาของฮ่องเต้เท่านั้นที่เป็นของจริง’

 

 

ตั้งแต่นางย้ายออกจากตำหนักเจิ้งหยาง เกียรติยศที่เคยมีก็หายไปหมดสิ้น เพื่อนที่เคยเกรงใจต่อนางมากในอดีต ตอนนี้ไม่รู้หนีหายไปไหนหมดแล้ว

 

 

นางเคยชินกับความรู้สึกที่ถูกคนห้อมล้อมเอาใจไปแล้ว ถึงแม้หรงจิงมักจะมีสีหน้าเย็นชา แต่ถึงตอนนี้นางจึงได้รู้ว่าหรงจิงใจกว้างกับนางเพียงใด

 

 

ถึงแม้ไม่ได้ให้นางถวายงานบรรทม แต่ก็ทำให้นางได้เป็นผู้หญิงที่คนทั้งหลายในวังหลังพากันอิจฉา

 

 

นางมาที่นี่ในตอนนี้เพราะยินดีจะถวายตัวให้ฝ่าบาท ของเพียงฝ่าบาทเมตตานางดุจก่อน แต่ไม่คิดว่าจะได้พบกับอวิ๋นเซียงฉือที่นี่

 

 

เซียงฉือมองผิงผิง นางกลอกตาแล้วคิดขึ้นได้ว่าตอนนี้นางมีฐานะเป็นผิงตาอิ้ง ตามตำแหน่งงานทั้งคู่มีฐานะเสมอกัน แต่นางเป็นข้าราชสำนักสตรีที่มีอำนาจแท้จริง ส่วนผิงผิงเป็นเพียงสนมแต่ในนาม

 

 

แต่เซียงฉือที่ได้รับการเลี้ยงดูบ่มเพาะมาอย่างดี หลังจากกระอักกระอ่วนกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงคารวะอย่างงดงาม

 

 

“คารวะผิงตาอิ้ง”

 

 

เซียงฉือย่อตัวทำความเคารพผิงผิงเบื้องหน้า

 

 

ส่วนผิงผิงปากไม่ตรงกับใจตอบไปอย่างขอไปที

 

 

“ยินดีกับใต้เท้าอวิ๋นด้วย ไม่ทราบว่าตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ในตำหนักหรือไม่”

 

 

วันนี้ผิงผิงกลับไปอยู่ตำหนักจู้เซียง ตามระเบียบแล้วนางเป็นเพียงตาอิ้งจึงต้องไปพักรวมอยู่ในห้องด้านข้างของตำหนักกุ้ยเฟย แต่นางถูกคัดส่งตัวกลับไปตำหนักจู้เซียงของซูเฟย

 

 

ซึ่งที่นั่นเป็นเหมือนฝันร้ายสำหรับนางเลยทีเดียว

 

 

พอนางกลับไปก็ถูกซูเฟยหัวเราะเยาะลงมือลงไม้กับนาง เพราะซูเฟยรู้ว่านางไม่ได้ใจของฝ่าบาท ทำให้คนที่อยู่ในตำหนักอวี้หยวนท่านนั้นสมใจ ซูเฟยจึงได้คล้ายดั่งปีศาจคลุ้มคลั่งเช่นนี้

 

 

ถึงนางจะรู้แต่ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ทนต่อการทารุณกรรมของซูเฟย ความเจ็บปวดและบาดแผลบนร่างกาย ทำให้นางตัดสินใจคิดอยากกลับมาตำหนักเจิ้งหยาง

 

 

แต่ซูเฟยบอกนางว่า

 

 

ในตำหนักเจิ้งหยางนั้นหนึ่งคนก็ต่อหนึ่งตำแหน่ง ไม่มีที่ว่างเกิน

 

 

แต่เดิมซูเฟยต้องทุ่มเทความคิดจึงได้ส่งนางไปถึงข้างกายฮ่องเต้ได้ ทำให้เป็นที่อิจฉาของหญิงสาวในวังหลังจำนวนมาก แต่นางกลับไม่รู้จักถนอมรักษา ทั้งยังออกจากตำหนักเจิ้งหยางไปอย่างสาวบริสุทธิ์อีกด้วย ทำให้เป็นที่ขบขันของซูเฟยกับคนอื่นๆ

 

 

นางอับอายหน้าแดงและรู้ว่าไม่อาจอยู่ในตำหนักจู้เซียงต่อไปได้จึงต้องการจะกลับมา

 

 

แต่นางได้ยินมาว่าอวิ๋นเซียงฉือได้แทนตำแหน่งงานของนางไปแล้ว ดังนั้นเมื่อพบกับนางจึงเกิดความไม่เป็นมิตร

 

 

เซียงฉือไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อผิงผิงถามนาง นางจึงตอบไปว่า

 

 

“ข้าเพิ่งเข้าตำหนักเจิ้งหยางในวันนี้ จึงยังไม่รู้ความเคลื่อนไหวของฝ่าบาท คิดว่าผิงตาอิ้งอยู่กับฝ่าบาทมานานน่าจะรู้ดีกว่านะเจ้าคะ ข้าเองวันหน้ายังต้องขอพึ่งพานายหญิงน้อยอีกเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

ตอนที่ 265 ดูแคลน

 

 

เซียงฉือตอบอย่างง่ายๆ แต่สำหรับหูของผิงผิงแล้วฟังเหมือนเป็นการประกาศชัยชนะของนาง หนำซ้ำยังเหยียดหยามความพ่ายแพ้ของนางอย่างโจ่งแจ้งอีกด้วย

 

 

คำพูดที่ฟังเหมือนไม่ใส่ใจของเซียงฉือทำให้นางพ่นลมออกจมูก พูดขึ้นว่า

 

 

“ใต้เท้าอวิ๋น ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือข้าราชสำนักสตรี แต่หากพูดตรงๆ ก็เป็นแค่ของเล่นที่ฝ่าบาทเตรียมเอาไว้ ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าอวิ๋นใช้สารพัดวิธีการแม้กับพี่สาวตนเองก็เขี่ยออกไปได้ ถึงได้มีวันนี้”

 

 

“คิดว่าคงจะสะใจมากสินะ แต่เสียดายดอกไม้อย่างไรก็มีวันโรยรา วันนี้เจ้าสามารถเบียดข้าออกไปได้ วันหน้าย่อมต้องมีหญิงสาวที่ฉลาดและงดงามกว่ามาแทนที่เจ้า”

 

 

“ขอเตือนเจ้าไว้ว่าอย่าลำพองนักเลย ถามอะไรเจ้าก็ตอบให้ตรงๆ ตามนั้น”

 

 

เซียงฉือฟังคำพูดนางแล้วรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง นางไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน

 

 

เดิมคิดจะคบหากับนาง เพราะมิตรภาพที่เคยมีอยู่บ้างตอนอยู่ในตำหนักจู้เซียง แต่เซียงฉือไม่เข้าใจว่าเหตุใดผิงผิงจึงพูดจาชั่วร้ายเช่นนี้

 

 

ทำให้นางหวั่นเกรงและลืมตอบโต้ คงยืนตะลึงอยู่กับที่

 

 

กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้พูดออกมา

 

 

“ผิงผิง เจ้าพูดอะไร ระบบการคัดเลือกข้าราชสำนักสตรีมีมาแต่อดีต สตรีในโลกนี้หากเข้าวังแล้วได้รับเลือกเป็นข้าราชสำนักสตรีถือเป็นเกียรติยศ แต่เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

 

 

“แต่ไม่ว่าอย่างไร คำพูดที่น่ารังเกียจพวกนี้พูดให้น้อยน่าจะดีกว่า พวกเราเป็นสตรี ควรให้ความสำคัญกับการอบรมของครอบครัว…”

 

 

เพียะ!

 

 

เซียงฉือยังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงฝ่ามือดังขึ้นอย่างชัดเจนในห้องโถง

 

 

เซียงฉือตกตะลึง นางไม่รู้ว่าผิงผิงเกลียดนางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ดวงตากลมของนางเบิ่งกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

“ข้าคิดจะทำอะไรก็ทำ คิดจะถามอะไรเจ้าก็ตอบตามนั้น ข้าไม่ใช่สาวปักผ้าในตำหนักจู้เซียงที่ใครต่อใครพากันรังแกได้อีกแล้ว”

 

 

“เรื่องของข้าไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง ไปให้พ้น!”

 

 

คำพูดของผิงผิง หรงฉู่ที่อยู่ด้านในได้ยินอย่างชัดเจน แต่เขาจะไม่ยุ่งกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ สำหรับเขาแล้วงานเมืองที่ยิ่งใหญ่ก็ทำแทบไม่ทัน และหากเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เซียงฉือจัดการไม่ได้ละก็ จะให้นางมาอยู่ข้างกายก็ไม่มีประโยชน์อันใด

 

 

เซียงฉือถึงจะเงอะงะในตอนแรก แต่ได้เห็นชัดถึงแววตาดุร้ายของผิงผิงแล้ว

 

 

“ผิงตาอิ้งหมายความว่าอย่างไร เจ้ากับข้าล้วนอยู่ขั้นที่เก้า แต่เจ้าจัดเป็นสนมนางใน ส่วนข้าเป็นข้าราชสำนักสตรี น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองอยู่แล้ว เจ้าทำเช่นนี้ช่วยบอกเหตุผลด้วย!”

 

 

เซียงฉือออกแรงน้อยๆ ดึงข้อมือผิงผิงไว้ เมื่อครู่นางคุยกับอีกฝ่ายในฐานะเพื่อนที่คุ้นเคยกันมาก่อน แต่ตอนนี้นางพูดราวกับหญิงเย็นชาไร้น้ำใจคนหนึ่ง

 

 

นางรู้สึกลำบากใจ

 

 

สีหน้าผิงผิงแย่ลงทุกที นางมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ครั้งนั้นที่กล้าปฏิเสธฝ่าบาท สาเหตุสำคัญเพราะนางรู้ตัวดีว่าตนเองไม่สามารถเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทได้ รู้ดีว่าไม่ได้มีรูปโฉมงดงาม ร่ายรำได้อ่อนช้อยเช่นซูเฟย ยิ่งไม่มีโฉมหน้าอันประณีตวิจิตรและชาติกำเนิดยิ่งใหญ่เช่นจินกุ้ยเฟย

 

 

แต่ว่านางเริ่มจะไม่อาจตัดใจจากหรงจิงได้ ไม่สามารถไปจากหรงจิงได้แล้ว

 

 

แต่คำพูดเช่นนี้หญิงสาวไม่อาจพูดออกมาได้ และไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นพูดเช่นไร อย่าว่าแต่หรงจิงเป็นถึงประมุขของประเทศเลย แม้จะเป็นเพียงคหบดีคนหนึ่ง นางซึ่งเป็นนางกำนัลเล็กๆ ก็ไม่มีสิทธิ์จะไขว่คว้าถึงแล้ว

 

 

เมื่อครู่เพราะอึดอัดคับอกจึงได้โกรธเคืองพลุ่งพล่าน แต่ตอนนี้ค่อยๆ เยือกเย็นลงแล้ว นางมองดูมือขวาที่รู้สึกชาและสำนึกเสียใจ

 

 

แต่นางไม่มีโอกาสได้สำนึกเสียใจ เพราะเซียงฉือเมื่อได้รับความอยุติธรรมย่อมไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ