ภายใต้การนำทางของซูเหมย เย่เทียนขับรถลัมโบร์กีนีอยู่ค่อยๆ มาจอดลงตรงหน้าประตูคฤหาสน์หวงถิง
“ทั้งสองท่าน กรุณาแสดงบัตรเชิญของพวกคุณสักหน่อยครับ”
รถเพิ่งมาจอดสนิท มีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เฝ้ายามหน้าประตูคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาแล้ว
“บัตรเชิญ? พวกเราไม่มีบัตรเชิญ”
เย่เทียนมึนงง จากนั้นหัวเราะอย่างขมขื่นพลางส่ายหน้าไป “ไม่อย่างนั้นนายไปแจ้งสักหน่อย บอกว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลซูเข้ามาด้วยตัวเองแล้ว?”
“ทั้งสองท่านครับ ต้องขอโทษจริงๆ หน้าที่ของผมเพียงแค่ขัดขวางคนที่ไม่มีบัตรเชิญให้กลับไปครับ ไม่รวมถึงการแจ้งให้ทราบครับ”
พนักงานรักษาความปลอดภัยส่ายหน้าเล็กน้อย พูดแนะนำว่า “ไม่อย่างนั้นทั้งสองท่านสามารถโทรศัพท์ไปหาเจ้านายของพวกผมได้ ถ้าผมได้รับคำสั่งต้องหลบให้ทั้งสองท่านเข้าไปแน่นอนครับ”
“ได้! เบอร์เจ้านายของพวกนายคืออะไร? ฉันจะโทร!”
เย่เทียนคลำหามือถือออกมาโดยจิตใต้สำนึก
“ผมเพียงแค่เฝ้าหน้าประตูใหญ่ จะรู้เบอร์โทรศัพท์ของเจ้านายได้อย่างไรครับ?”
พนักงานรักษาความปลอดภัยยักไหล่ ถ้าไม่เห็นว่ารถที่เย่เทียนขับคือลัมโบร์กีนี เขาคงตะโกนเรียกพวกพ้องเข้าเข้ามาไล่สองคนนี้ออกไปตั้งนานแล้ว จะมาพูดไร้สาระอยู่ที่ไหน
ชั่วขณะนั้นเย่เทียนพูดไม่ออก เพิ่งคิดจะลงรถมาเจรจาด้วยกันกับพนักงานรักษาความปลอดภัยดูสักหน่อย ด้านหลังกลับมีรถอาวดี้สีดำคันหนึ่งจอดดังเอี๊ยดเสียก่อน
ผู้ชายวัยกลางคนตัวอ้วนคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากกระจกฝั่งคนขับ ตะโกนเสียงดังว่า “ข้างหน้าเกิดเรื่องอะไรกัน?”
ซูเหมยหันหน้ากลับไปมองทีหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวดีอกดีใจขึ้น รีบเดินลงมาจากรถทันที “คุณอาหยู่!”
“เสี่ยวเหมย? เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไรกัน? ทำไมไม่ไปดื่มชากับคุณอาหยู่หน่อย?”
ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าคุณอาหยู่มองเข้ามาตามเสียง รีบหัวเราะคล้ายกับพระสังกัจจายน์ ค่อยๆ ลงมาจากรถแล้วเดินเข้าไปหา
“หนูเพิ่งกลับมาถึงตอนสายๆ ค่ะ พอดีได้ยินว่าที่นี่มีงานประมูล เลยอยากเข้ามาดูว่าจะซื้อยาอะไรกลับไปให้คุณปู่ได้หรือเปล่า”
ซูเหมยหัวเราะแบบสงวนท่าที ถามลองเชิงว่า “คุณอาหยู่คะ หนูเข้ามาเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าต้องมีบัตรเชิญถึงเข้าไปได้ คุณอาหยู่สามารถพาพวกหนูเข้าไปได้ไหมคะ?”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ให้เป็นหน้าที่คุณอาหยู่ของหนูก็พอ”
คุณอาหยู่ตบๆ หน้าอกแล้ว คลำหาบัตรเชิญออกมายื่นไปให้พนักงานรักษาความปลอดภัยอย่างไม่รีบร้อน
พนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นตรวจสอบบัตรเชิญสักหน่อย เวลานี้กลับไม่กล้าขัดขวางอีกแล้ว ปล่อยไม่กี่คนนี้เข้าไปอย่างว่านอนสอนง่าย
เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่หยู่ไม่ได้เข้ามาเป็นครั้งแรก นำหน้าเย่เทียนขับรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถอย่างชำนาญเส้นทางดี
รอจนถึงเวลานี้ เย่เทียนถึงพบว่า นอกจากเถ้าแก่หยู่แล้ว เขายังพาคนมาอีกสองคน
คนหนึ่งเป็นผู้หญิงสาวสวยที่ใส่แว่นตา สวมชุดสูททำงาน และแต่งหน้าแนวเลขาฯ โดยแบบฉบับ
ดูจากสายตาที่เต็มไปด้วยความรักของหล่อนที่มองทางเถ้าแก่หยู่ไม่ขาดสายนั้น เกรงว่าความสัมพันธ์กับเถ้าแก่หยู่คงไม่ได้เป็นเพียงแค่เจ้านายลูกน้องธรรมดาขนาดนั้น
เป็นจริงตามคำโบราณประโยคนั้นว่าไว้: มีงานเลขาฯ ทำ ไม่มีงานจัดการเลขาฯ!
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งเป็นชายมีอายุที่ใส่ชุดคลุมยาว ทั้งตัวเผยกลิ่นยาจางๆ เกรงว่าคงเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับตัวยาสมุนไพรมาหลายปี น่าจะเป็นคนที่เถ้าแก่หยู่เชิญมาช่วยตรวจดูของ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของในงานประมูลนี้มีทั้งจริงทั้งปลอม ทางฝ่ายจัดงานก็ไม่รับผิดชอบด้วย นี่เป็นการทดสอบพลังสายตาของแต่ละคนเอามากๆ
ภายใต้การนำทางของเถ้าแก่หยู่ คนกลุ่มหนึ่งก็วกไปวนมา ท้ายที่สุดมาหยุดลงที่ด้านในลานเล็กๆ ห่างไกลแห่งหนึ่งแล้ว
ด้านในลานเล็กมีคนกลุ่มหนึ่งมารอคอยตั้งแต่แรกแล้ว ดูจากเสื้อผ้าการแต่งตัว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พวกขาดเงินอะไรกัน
“นี่ไม่ใช่ยัยหนูซูเหมยของตระกูลซูเหรอ?”
“หนูซู เธอกลับมาจ๊กกลางตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“เสี่ยวซู สุขภาพของคุณปู่เป็นยังไงบ้าง?”
ภาพเงาของสามสี่สองเพิ่งโผล่ออกมา มีผู้คนไม่น้อยจำสถานะของซูเหมยขึ้นได้ คนที่มีความสัมพันธ์ดีกับซูเหมยต่างเข้ามาทักทายกันหมด
สำหรับคนที่ไม่รู้จักเหล่านั้น ภายใต้การแนะนำของคนด้านข้างก็อยากเข้ามาสร้างความคุ้นเคยด้วยเหมือนกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงแม้ตระกูลซูจะไม่ได้อยู่ในกิจการยา แต่ดีเลวอย่างไรก็เป็นกิจการที่ชื่อเสียงโด่งดังในจ๊กกลาง เลี่ยงจะมีคนอยากประจบประแจงได้ยาก
นี่กลับทำให้เย่เทียนมองซูเหมยอย่างแปลกใจอยู่บ้าง หญิงสาวคนนี้ตอนอยู่ที่เจียงหนันดูถ่อมตัวมาก นึกไม่ถึงว่าพอกลับมาที่จ๊กกลางแล้วชื่อเสียงจะไม่เบา ดูลักษณะนี้สู้กับตระกูลเฉินแห่งเจียงหนันได้เลยทีเดียว
เย่เทียนจะรู้ได้อย่างไรกัน ด้วยเหตุนี้ซูเหมยถึงหนีไปเปิดผับที่เจียงหนัน เนื่องจากไม่อยากเกี่ยวพันอะไรกับตระกูลซู
ตั้งแต่เด็กมา ไม่รู้ว่าพ่อซูแม่ซูทอดถอนใจตั้งกี่ครั้งว่าทำไมเธอถึงไม่ใช่เด็กผู้ชาย นี่คงหล่อหลอมให้เธอมีความคิดไม่ยอมแพ้
เธอจงใจไปไกลจากจ๊กกลาง หนีไปเปิดผับที่เจียงหนัน อยากพิสูจน์ตนเองว่าไม่แพ้ผู้ชาย!
“ตระกูลซูไม่ใช่มีแค่ซูเย่าหมิงคุณชายสวะคนนั้นเหรอ? เพิ่มคุณหนูใหญ่อีกคนมาตั้งแต่เมื่อไร?”
เวลานี้ มีเสียงเหยียดหยามดังขึ้นกะทันหัน
ซูเหมยที่ยิ้มแย้มทักทายกับผู้คนอยู่ชั่วพริบตาเดียวก็เก็บรอบยิ้มที่มุมปากลง สีหน้าดูอึมครึมลงมา
มองไปตามเสียง เห็นเพียงผู้หญิงที่อายุน้อยหน้าตาสวยงามคนหนึ่งเดินเข้ามาในลานโดยมีคนกลุ่มหนึ่งหนุนไว้ราวกับดวงดาวที่โอบล้อมดวงจันทร์เอาไว้
ลักษณะของผู้หญิงคนนี้งดงามมาก รูปร่างสูงเพรียว ดูขึ้นมาเหมือนกับเป็นลูกครึ่ง บนใบหน้ามีความหยิ่งยโสแบบคนที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างเลือนราง
“คนนี้คือตู้เฉี่ยวเฉี่ยวคุณหนูใหญ่ของตระกูลตู้แห่งเมืองจิน”
เถ้าแก่หยู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างซูเหมยรีบบอกเสียงต่ำว่า “อาทิตย์ก่อนไม่รู้ว่าทำไมถึงวิ่งมาที่จ๊กกลางของพวกเรา แล้วกว้านซื้อสมุนไพรจีนชื่อดังไม่น้อยเลย”
“มีข่าวลือว่าเถ้าแก่ตู้ติดโรคประหลาดกะทันหัน สลบไม่ฟื้นมาตลอด แต่กลับไม่ได้เขียนพินัยกรรม คุณหนูใหญ่ตู้ตั้งใจเข้ามาค้นหายาวิเศษกลับไปดูว่าสามารถทำให้เถ้าแก่ตู้ฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่”
ซี๊ด!
ซูเหมยได้ยิน ชั่วขณะนั้นรู้สึกตื่นตกใจ ถึงแม้ในใจไม่พอใจแค่ไหน กลับได้แต่กดลงไปแล้ว
ตระกูลตู้แห่งเมืองจินนี้ไม่ธรรมดา ธุรกิจค้ารายใหญ่ตัวจริง พูดได้ว่ากิจการแพร่กระจายทั่วทั้งประเทศ มีตัวตนอยู่ที่ร้อยอันดับแรกในห้าร้อยอันดับของโลก
แม้กระทั่ง ตอนที่ตระกูลตู้เจริญรุ่งเรืองที่สุด ผู้นำอย่างเถ้าแก่ตู้ยังบุกเข้าสิบอันดับแรกในรายชื่อมหาเศรษฐีของนิตยสารฟอร์บส์ และรายละเอียดอื่นไกลเกินกว่าตระกูลซูจะเทียบได้
ตระกูลขนาดใหญ่ที่จนถึงปัจจุบันนี้มีประวัติศาสตร์ร้อยปีแบบนี้ และอยู่ที่เมืองจินภายในเมืองเก่าแก่ยาวนานแบบนั้นอีก นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้นั่นพอจะพูดคุยกับบุคคลระดับผู้นำประเทศได้เลย
แน่นอนว่า ถึงแม้จะเป็นตอนนี้ ถ้าเถ้าแก่ตู้ออกงานด้วยตนเอง คนที่ออกหน้าต้อนรับอย่างน้อยต้องเป็นบุคคลระดับผู้ช่วย
ถึงแม้ตระกูลซูจะครอบครองตำแหน่งมั่นคงในจ๊กกลาง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับตระกูลตู้บุคคลยิ่งใหญ่แบบนี้ขึ้นมา ยังแตกต่างกันมากอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังจากชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย ซูเหมยจึงกัดฟันแน่นถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้ว
ตู้เฉี่ยวเฉี่ยวเห็นแบบนี้ มุมปากเผยรอยยิ้มดูถูกออกมา นำหน้าทุกคนยึดครองพื้นที่ลานกว้างไปก้าวหนึ่งอย่างหยิ่งผยอง
ว่ากันตามเหตุผล ทั้งสองคนฝ่ายหนึ่งอยู่ที่เมืองจิน อีกฝ่ายอยู่ที่จ๊กกลาง ตู้เฉี่ยวเฉี่ยวไม่จำเป็นต้องพุ่งเป้ามาที่ซูเหมยเช่นนี้ถึงจะถูก
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ตระกูลตู้และตระกูลซูล้วนทำธุรกิจเหมือนกัน ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เดิมตระกูลตู้อยากขยายกิจการที่จ๊กกลาง กลับโดนตระกูลซูกดเอาไว้อย่างดุเดือดรุนแรง
เรื่องนี้ทำให้เถ้าแก่ตู้โมโหจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาติดต่อกันสองสามวัน ปัจจุบันนี้เถ้าแก่ตู้ป่วยหนัก เลี่ยงที่ตู้เฉี่ยวเฉี่ยวจะไม่ตำหนิมาที่ตระกูลซูได้ยาก
ส่วนซูเหมยพูดอย่างไรก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซู เป็นที่ระบายอารมณ์ความโกรธที่หล่อนสะสมมาหลายเดือนนี้ได้ดีที่สุด…