ตอนที่ 465 ต้องการคน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 465 ต้องการคน

ปืนคาบศิลา 30,000 กระบอก ทั้งยังมิมีเงินให้อีกเยี่ยงนั้นหรือ !

นี่มันมิสมเหตุสมผลเกินไปแล้ว !

สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนที่มองไปยังฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย แต่เขาจะสามารถทำอันใดได้อีกกัน ?

ฮ่องเต้เองก็จ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน สีหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังลอบเอ่ยว่าเด็กนี่จะทำอันใดข้าได้ !

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่นานหลายอึดใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า “ในเมื่อฝ่าบาทต้องการ บุตรเขยผู้นี้ย่อมยกให้ได้ แต่บุตรเขยผู้นี้ก็พลันนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้…”

บัดนี้เจ้าใช้คำแทนตนเองว่าบุตรเขย เยี่ยงนั้นในตอนนี้คือเรื่องของพ่อตาและบุตรเขย มิใช่เรื่องของขุนนางและเจ้าเหนือหัวแล้ว

เรื่องระหว่างขุนนางและกษัตริย์ต้องมีการคิดบัญชีเอาไว้อย่างชัดเจน แต่เรื่องระหว่างบุตรเขยและพ่อตา ถือเป็นเรื่องภายในครอบครัว

ฮ่องเต้ใจกระตุกขึ้นมาทันพลัน เด็กนี่มิใช่ผู้ที่ชอบขาดทุน กองทัพชายแดนตะวันออกได้รับเสบียงจำนวนมากผ่านขนส่งของตระกูลฟู่ เพียงพลิกฝ่ามือเขาก็สามารถครอบครองทรัพย์สินของตระกูลชือได้แล้ว บัญชีนี้ช่างยุ่งเหยิงยิ่ง หากต้องคิดอย่างถี่ถ้วน เหมือนว่าข้าจะขาดทุนเสียแล้ว

ในขณะนี้ข้าต้องการปืน 30,000 กระบอกนั้นมาโดยมิเสียอันใดไป เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะหาทางกู้ส่วนเสียนี้จากแหล่งอื่น ?

การรับมือเจ้าเด็กนี่ คงต้องมองการไกลไว้ให้มาก

“เจ้ากล่าวมาเถิด”

“กรมการค้าของข้าถือว่าได้เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ข้ายังมิมีคนทำงานเลย บัดนี้ในมือก็มีเพียงหลี่ฉายผู้เดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็นการแย่งชิงมาจากในมือของพ่อตาต่ง ! ”

ต่งคังผิงไม่ฟังเสียยังจะดีกว่า เพียงแค่ได้ยินหนวดของเขาถึงกับกระตุกและได้จ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาเย็นชา

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา และกล่าวอย่างขัดเขิน “ต้องการจะบอกว่าหลี่ฉายนี้ อยู่ในกรมการค้าของข้า ยังจะมีประโยชน์เสียมากกว่าที่จะให้อยู่ในกรมคลัง”

“อย่ามากล่าวไร้สาระกับข้า ! ”

“อ่า ขอรับ…” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองฮ่องเต้ “กระหม่อมต้องการคนสักสองสามคน ฝ่าบาทโปรดอนุญาตให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ต้องการคนเยี่ยงนั้นหรือ เพียงแค่มิใช่ต้องการเงิน ก็ย่อมสนทนากันได้อย่างง่ายดาย

ฮ่องเต้จึงวางใจลง “ลองกล่าวมาสิ”

“สามอันดับแรกของเคอจี่ จอหงวนกงซุนเซ่อ ปั๋งเหยี่ยนซังเหลียง ทั่นฮวาซือหม่าหนาน นอกจากนั้น…”

ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น ก็ตกตะลึงขึ้นทันพลัน “รอก่อน ๆ สามอันดับแรกของการสอบปีนี้ข้าได้วางตัวเอาไว้แล้ว เป็นคนอื่นย่อมได้ เลือกตามใจเจ้าเถอะ”

“ไม่ ! กระหม่อมต้องการ 3 คนนี้เท่านั้น ! ”

“มิได้ เมื่อพ้นข้ามปีคนทั้งสามนี้จะถูกจัดให้ไปประจำอยู่ที่สามมณฑลนำร่อง เพื่อจะเข้าไปดำเนินการทดสอบในมณฑลนำร่อง พวกเขาเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ได้พวกเขามาบูรณะมณฑลทั้งสามนี้จึงจะแสดงผลประโยชน์ของการบริหารแบบใหม่นี้ออกมาได้”

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ แผนที่ฝ่าบาททรงวางไว้ พวกเขาจะบูรณะได้เพียง 1 เขตเท่านั้น แต่หากมอบให้กระหม่อม พวกเขาสามารถบูรณะได้ทั้งใต้หล้า ฝ่าบาททรงพิจารณาข้อดีและข้อเสียด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าพวกเขาในตอนนี้ควรจะมาอยู่กับกระหม่อม เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับนโยบายใหม่นี้ให้มากยิ่งขึ้น”

ฟู่เสี่ยวกวนและฮ่องเต้ยังคงโต้เถียงกันอย่างมิยอมลดลาวาศอกให้แก่กัน แต่ทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนี้ออกมา ฮ่องเต้ก็ต้องเงียบลงไปทันพลัน แต่กลับมิใช่การพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสีย แต่เป็นการเรียนรู้จากฟู่เสี่ยวกวนให้มากยิ่งขึ้น

ถึงแม้จะมิมีผู้ใดเอ่ยถึง แต่ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าคนผู้นี้คือองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋

หากวันใดวันหนึ่งไทเฮาซีหรือจักรพรรดินีส่งราชโองการมาให้เขากลับไป และหากเขาจากไป ราชวงศ์หยูก็จะขาดคนที่เป็นโครงสร้างที่สำคัญที่สุดไป สำหรับราชวงศ์หยูแล้วนี่คือปัญหาที่ร้ายแรงถึงชีวิต

ดังนั้นฮ่องเต้จึงต้องประนีประนอมทั้งที่มิอยากจะยินยอมสักเท่าใดนัก

“เอาเถอะ ข้ามอบ 3 คนนี้ให้เจ้า นอกเหนือจากนั้นของเจ้ายังมีอะไรอีกหรือไม่ ? ”

“นอกจากนี้กระหม่อมต้องการเลือกผู้ที่มีความสนใจในด้านเศรษฐกิจจากสำนักศึกษาจี้เซี่ย พวกเขาเหล่านั้นมิสามารถไปร่วมการทดสอบได้ เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องขอให้ฝ่าบาทปลดตำแหน่งจิ้นซื่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“ไสหัวไป ! ”

ฮ่องเต้โบกมือไล่พัลวัน ด้วยท่าทีรำคาญอย่างเหลือหลาย ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มกว้าง โค้งคำนับและเอ่ยลา หลังจากที่ออกมาจากห้องทรงพระอักษรวังหลวง ก็ได้มุ่งหน้าไปยังกรมการค้าของเขา

ซวนหมิงเตี้ยนที่ผ่านการปรับปรุงมาแล้วดูมีราศีมากขึ้น วัชพืชและเศษดินด้านนอกตำหนักถูกทำความสะอาดไปจนหมดแล้ว มองดูแล้วใหม่เอี่ยมยิ่ง

แผ่นป้ายเดิมที่ติดไว้บนประตูถูกดึงออก และถูกเปลี่ยนเป็นป้ายกรมการค้าซึ่งมีตัวอักษรสามตัวสีแดงสด

เสาประตูทั้งสองฟากนี้ทาด้วยน้ำมันเงาใส แต่ราวกับขาดอะไรไปสักอย่าง

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านนอกมองซ้ายมองขวาท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา อ่า… ขาดกลอนตุ้ยเหลียนไปหนึ่งบท

“หลี่ฉาย หลี่ฉาย ! ”

ทันทีที่หลี่ฉายที่กำลังร่าง ‘บัญญัติจรรยาบรรณการค้า’ อย่างโดดเดียวในสำนักงานได้ยินเสียงดังขึ้น เขาก็วิ่งออกไปทันที วิธีการร่างเยี่ยงนี้มันจะยากเกินไปแล้ว !

แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเพิ่งต่อเติมโครงให้กับเขา แต่ของสิ่งนี้กลับมิมีการอ้างอิงถึงสิ่งอื่น กล่าวอีกนัยได้ว่า อาศัยจากสมองทั้งสิ้น เพียงแค่ช่วงเช้า ก็ทำให้หลี่ฉายตกตะลึงได้แล้ว

โชคดีที่ท่านฟู่กลับมาแล้ว !

เขาเพิ่งจะวิ่งมาถึงประตู กลับได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่า “ไปนำกระดาษสีแดงมาสองแผ่น พู่กันและน้ำหมึกด้วย ข้าจะประพันธ์กลอนตุ้ยเหลียนให้กรมการค้านี้หนึ่งบทด้วยตัวของข้าเอง”

หลี่ฉายชะงักลงทันพลัน นายท่านนี่ทำเพื่ออันใดกัน ?

มิทำงานแล้วมาแต่งกลอนตุ้ยเหลียนเยี่ยงนั้นน่ะหรือ เอาเถอะ ท่านเป็นใหญ่นี่

ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเท้าเดินผ่านประตูใหญ่ของกรมการค้า นี่คือห้องโถงใหญ่ มีโต๊ะและเก้าอี้สิบกว่าตัววางไว้อยู่ ภายในนั้นยังมีห้องอีกจำนวนมาก แน่นอนว่านั่นคือห้องทำงานที่เขาสงวนเอาไว้

หลี่ฉายถือพู่กัน หมึกและกระดาษมา ฟู่เสี่ยวกวนผิงมือกับเตาไฟ แล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้ขอคนจำนวน 3 คนมาจากฝ่าบาท เจ้าจงจำเอาไว้ ยามเว่ยจงไปหา 3 คนนี้ หลังจากนี้เจ้าจะมีทหารที่ใช้การได้แล้ว”

หลี่ฉายรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “ขอบคุณนายท่าน สามคนไหนหรือขอรับ ? ”

“กงซุนเซ่อ ซังเหลียง และซือหม่าหนาน… สามอันดับแรกของการทดสอบปีนี้ พวกเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งหมด… เสี่ยวหลีจื่อ เจ้าแสดงสีหน้าอันใดออกมากัน ? ”

หลี่ฉายคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเชิญขุนนางที่มีคุณวุฒิมาเสียอีก คาดมิถึงว่าจะเป็นบัณฑิตมุทะลุที่เพิ่งจบจากสำนักศึกษามา !

สามอันดับแรกแล้วเยี่ยงไร ?

นั่นแสดงให้เห็นได้ว่าพวกเขานั้นเรียนเก่งก็เท่านั้น !

กรมการค้าเพิ่งสร้างใหม่ เรื่องยุ่งยากยังมีอีกมากโข จะมีเวลาที่ไหนไปฝึกอบรบคนที่มาใหม่กัน ?

“เสี่ยวหลีจื่อ ข้าพอจะทราบว่าเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ มา นั่งลง ข้าจะกล่าวให้เจ้าฟัง”

ให้ตายเถอะข้าว่าจะไม่รู้สึกอันใดอยู่แล้วเชียว ท่านมาเรียกข้าเสี่ยวหลีจื่อ เอาเถอะ ท่านเป็นใหญ่ !

หลี่ฉายนั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนเก็บสีหน้ายิ้มแย้มบนใบหน้าไป หลี่ฉายจึงทราบว่าเขาต้องการเอ่ยถึงเรื่องที่สำคัญอย่างแท้จริง

“กรมการค้าเป็นกรมใหม่ เป็นการบริหารงานแบบใหม่ เป็นนโยบายใหม่ทั้งสิ้น ที่พวกเราต้องทำก็คือ ทำในสิ่งที่ผู้คนในใต้หล้านี้มิเคยทำมาก่อน หรือจะเรียกว่าเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่มิเคยมีผู้ใดในใต้หล้านี้เคยทำมาก่อน ! ”

“รากฐานของเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดโครงสร้าง ดังนั้นเศรษฐกิจจึงมีบทบาทสำคัญต่อความรุ่งเรืองของแคว้น”

“เหตุใดข้าจึงมิเชิญผู้อาวุโสท่านอื่นนอกจากเจ้ากัน เพราะโลกทัศน์ของพวกเขาได้ข้อสรุปแล้ว ความรู้ในเรื่องการค้าของพวกเขายังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ล้าหลัง พวกเขามิสามารถจะบุกเบิกสิ่งใหม่ ๆ ได้ แต่พวกเรากรมการค้านี้กลับต้องการทำลายความคิดที่ล้าหลัง แนวคิดที่ล้าหลัง และยืนหยัดที่จะสร้างแนวคิดการค้าที่ใหม่เอี่ยมขึ้นมา”

“ถึงแม้พวกเขาเพิ่งจะจบจากสำนักศึกษาออกมา แต่พวกเขามีจิตวิญญาณที่จะแสวงหาความก้าวหน้า ลูกวัวแรกเกิดก็มิเกรงกลัวต่อเสือที่โหมเข้ามา นี่ต่างหากคือสิ่งที่กรมการค้าต้องการมากที่สุด”

“ส่วนเรื่องของประสบการณ์ อย่างน้อยก็ต้องมีคนหนึ่งรุ่นที่เป็นผู้สำรวจ ไปค้นหาและไปสร้างขึ้นมา ! ”

“สิ่งที่ข้าต้องการคือคนที่มีจิตวิญญาณเฉกเช่นนี้ ขอเพียงกรมการค้ามีคนกลุ่มใหญ่ที่มีความกล้าในการสำรวจ อนาคตของราชวงศ์หยู ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของใต้หล้านี้”

“เจ้า บัดนี้เข้าใจความหมายของข้าแล้วหรือยัง ? ”

หลี่ฉายก้มหน้าหลบ และพยักหน้าน้อย ๆ “ข้าน้อยรับทราบความผิดแล้วขอรับ”

“เอาล่ะ ข้าต้องการแต่งกลอนตุ้ยเหลียนให้กรมการค้าสักหนึ่งบท”

เขาลุกขึ้นยืน ถือพู่กันและเขย่าไปมา

ภาคที่หนึ่งของจินหลิงสองฟันปี ทางน้ำและทางบกต่างรุ่งเรือง ชื่อเสียงระบือไปถึงห้าน่านน้ำสี่ทะเล

ในสี่ฤดูการค้าไปทั่วทั้งแปดทิศ เชื่อมผ่านกันสามทางทั้งในและนอก ให้ผู้คนได้ร่ำรวยทุกยุคทุกสมัยไปพันปี !

“นี่ คือเรื่องที่กรมการค้าต้องทำทั้งหมด ! ”

กลอนตุ้ยเหลียนบทนี้ดียิ่ง เพียงแต่ตัวอักขระ… หากต้องติดที่เสาประตูด้านนอก เกรงว่าจะเป็นการขัดต่อทัศนียภาพ !

หลี่ฉายลอบคิดเยี่ยงนั้น แต่เอาเถอะ ท่านเป็นใหญ่ !