ตอนที่ 466 โจวถงถง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 466 โจวถงถง

อีกหลายวันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนได้ไปทำงานอย่างจริงจัง ณ กรมการค้า

เดิมทีที่แห่งนี้แทบจะกลายเป็นซากปรักหักพัง แต่บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกคราแล้ว

ที่แห่งนี้มีบัณฑิตเดินทางมาจำนวนมาก มีทั้งผู้ที่สอบได้สามอันดับแรก และทั้งลูกศิษย์ของสำนักศึกษาที่ฟู่เสี่ยวกวนคัดเลือกมา 32 คน

จำนวน 32 คนนี้ มี 30 คนเคยเดินทางไปยังแคว้นอู๋ด้วยกันกับเขา จึงได้มีความรู้ทางด้านการค้าอยู่มิน้อย

ส่วนอีก 2 คนที่เหลือ คนหนึ่งนามว่าหวางซุนอู๋จี้มาจากตระกูลหวางซุนแห่งเปี้ยนเหอ ส่วนอีกคนหนึ่งนามว่าฉงฟังหยวนมาจากตระกูลฉง

เดิมทีพวกเขาควรจะเข้าร่วมการสอบชิวเหวยในปีหน้า จากความรู้ความสามารถของพวกเขา การจะสอบให้ได้ตำแหน่งจิ้นซื่อมิใช่ปัญหา ชะตาชีวิตเดิมของพวกเขานั้นคือการที่ต้องเริ่มทำงานตั้งแต่ระดับรากหญ้าในท้องถิ่นที่ห่างไกลสักแปดหรือสิบปี แล้วค่อย ๆ ขยับย้ายเข้ามาในเมืองหลวง

แต่การปรากฏตัวขึ้นของฟู่เสี่ยวกวน ได้ทำให้ชะตาชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไป

พวกเขามิได้แม้แต่สอบเคอจวี่ แต่ก็สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของกรมที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่เอี่ยมนี้ได้ และเริ่มที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ต่างจากความรู้เดิมของพวกเขาตั้งมากมาย

“บัดนี้ข้าจะบอกกับพวกเจ้าว่าการผูกขาดทางการค้าคือสิ่งใด อีกทั้งเหตุใดต้องผูกขาดทางการค้า…”

ที่กำแพงของห้องโถงใหญ่มีกระดานขนาดใหญ่ติดเอาไว้อยู่ มือของฟู่เสี่ยวกวนจับแท่งถ่านเอาไว้แล้วเขียนตัวอักษรบรรทัดหนึ่งลงไปว่า “เศรษฐกิจการตลาด ! ”

เขาหันหลังไปมองดูเหล่าบัณฑิตกลุ่มนี้ที่นั่งมองอย่างเป็นระเบียบ ราวกับกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน

“ก่อนที่จะอธิบายเรื่องการผูกขาดทางการค้านั้น ข้าขออธิบายให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่าสิ่งใดที่เรียกว่าเศรษฐกิจการตลาด”

“เศรษฐกิจการตลาดนั้น หมายถึง ระบบเศรษฐกิจชนิดหนึ่งโดยมีตลาดในการจัดสรรทรัพยากรทางสังคม ภายใต้ระบบนี้ การผลิตสินค้า บริการ และการจำหน่ายจะถูกชี้นำโดยกลไกราคาของตลาดเสรี…”

“……”

“สินค้าเหล่านี้เดิมทีควรจะถูกกำหนดราคาโดยตลาด แต่อาจจะถูกตระกูลใหญ่ใช้วิธีการแข่งขันที่รุนแรงเพื่อขับไล่พ่อค้าคนอื่น ๆ ให้ออกไปจากตลาด”

“เมื่อพวกเขาครอบครองตลาดได้แล้ว สินค้าและบริการเหล่านั้นจึงตกอยู่ในน้ำมือของพวกเขาโดยสมบูรณ์ แน่นอนว่าพวกเขาจะเป็นผู้ควบคุมราคา จากนั้นจะทำให้เกิดการผูกขาดทางการค้า”

“ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ สุราของซีซานผูกขาดทางการค้าของสุราขาวชั้นเลิศในตลาด”

พวกเขาที่นั่งฟังอยู่หัวเราะขึ้นมา ตัวอย่างนี้มิใช่ว่าจะย้อนกลับมาทุบหัวท่านฟู่เองเยี่ยงนั้นหรือ ?

นี่เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาเพื่อโยนใส่ขาตนเองหรือเยี่ยงไรกัน ?

“แต่ข้านั้นมิได้ใช้วิธีแย่งชิงอย่างรุนแรงจึงมิถือว่าเป็นการผูกขาดทางการค้า นี่คือการผูกขาดทางกลวิธี สำหรับการผูกขาดเช่นนี้มิรวมอยู่ภายใต้การต่อต้านการผูกขาด”

“ดังนั้นทุกคน เก๋ออู้นั้นเป็นสิ่งที่ดี ในฐานะหนึ่งในสมาชิกของกรมการค้า พวกเราควรจะปลูกฝังแนวคิดอย่างจริงจังให้แก่บรรดาพ่อค้า นั่นก็คือการลงทุนในกองทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาเครื่องมือ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์ด้านนวัตกรรม มีเพียงแบบนี้เท่านั้นสินค้าที่พวกเขาผลิตออกมาจึงจะได้มีที่ยืนในตลาด มิเช่นนั้นแล้วอาจจะถูกกำจัดออกไปจากตลาดได้อย่างง่ายดาย”

เป็นเช่นนี้ตลอดทั้งยามเว่ย

สมาชิกในกรมการค้าเหล่านี้เมื่อได้ฟังจึงได้รู้สึกตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก และเพิ่งรู้ว่าการค้านั้นมิใช่เพียงการซื้อขายอย่างที่พวกเขาเคยเข้าใจมา

ฟู่เสี่ยวกวนวางถ่านแท่งในมือลงแล้วปัดมือไปมา “วันนี้พอเท่านี้ก่อน ต่อจากนี้ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์คงต้องพึ่งพลังของพวกเจ้าขับเคลื่อนให้สำเร็จแล้ว”

“ที่กรมการค้านี้มิมีข้อบังคับเรื่องเวลาเข้าออกงาน ข้าเพียงต้องการเห็นผลงาน บัดนี้เหลือเวลาอีกยี่สิบกว่าวันกว่าจะถึงวันหยุด ข้ามีเพียงข้อกำหนดเดียวเท่านั้น นั่นคือก่อนหน้าที่จะถึงวันหยุด ข้าจะต้องได้เห็นฉบับร่างของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทุกท่าน ข้าขอตัวก่อน ไว้พบกันใหม่ ! ”

เขาทิ้งคนกลุ่มนี้ไว้แล้วเดินจากไป เเต่ว่าหลี่ฉายมิกล้าไปด้วย ในฐานะรองหัวหน้ากรมการค้า เขาก็มิกล้าบังคับให้สมาชิกใหม่เหล่านี้ทำงานล่วงเวลา เนื่องจากท่านฟู่ได้กล่าวไว้แล้วว่า อย่าได้วางอำนาจกับผู้ใดในกรมนี้ !

ดังนั้นหลี่ฉายจึงทำได้เพียงแค่กล่าวว่า “ภารกิจนี้ของท่านฟู่ค่อนข้างเร่งรีบ ผู้ที่ยินดีจะอยู่ต่อก็จงอยู่ต่อและเริ่มลงมือทำกฎหมายฉบับร่างนี้ ท้ายที่สุดแล้วค่อยนำมาสรุปและรวมเข้าด้วยกัน”

เดิมทีเขาคิดว่าจะมีคนจำนวนมากเดินจากไป แต่คิดมิถึงว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินออกไป เขามิใช่สมาชิกของกรมการค้า แต่เป็นขันทีผู้อยู่ข้างกายของฮองเฮาซั่ง ขันทีเหนียนนั่นเอง

“ท่านหลี่ พวกข้านั้นล้วนเป็นศิษย์ของท่านฟู่ จะกล้าจากไปได้เยี่ยงไร พวกข้าจะลงมือบัดเดี๋ยวนี้ ! ”

“ข้าจะออกไปข้างนอกสักประเดี๋ยว จะกำชับให้บ่าวรับใช้ไปสั่งอาหารจากหอซื่อฟางมาสัก 3 โต๊ะ พวกเราจะต้องทำงานกันจนถึงยามห้าย กินมื้อดึกก่อนแล้วค่อยกลับจะดีกว่า ! ” คนที่กล่าวนี้คือหวางซุนอู๋จี้ แม้ว่าเขาจะมิได้เดินทางไปยังแคว้นอู๋กับฟู่เสี่ยวกวน แต่หลังจากที่เขาได้ฟังฟู่เสี่ยวกวนอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ แล้วเขากลับรู้สึกนับถือชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งนัก

มิน่าเล่า ท่านปู่จึงได้นับถือฟู่เสี่ยวกวนมากถึงเพียงนั้น เนื่องจากท่านฟู่เป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง !

นับจากนั้นต่อมา พระราชวังอันกว้างใหญ่แห่งนี้ มีเพียงไฟในกรมการค้าที่ถูกดับลงช้าที่สุดในแต่ละวัน กรมการค้าจึงได้มีชื่อเสียงท่ามกลางกรมต่าง ๆ นับสิบกรมในราชวัง

“นี่คือเยาวชนแห่งราชวงศ์หยู ! ”

“ข้านั้นภาคภูมิใจมากยิ่งนัก ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองใกล้เข้ามาแล้ว ! ”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งจุดไฟอยู่ในหลีเฉินซวน

ทำงานล่วงเวลาเยี่ยงนั้นหรือ ?

เป็นไปมิได้อย่างแน่นอน !

ชีวิตนี้เขาจะมิทำงานล่วงเวลาเป็นอันขาด !

หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ด้านซ้ายของเขา ในมือของนางกำลังเย็บชุดทารกอยู่ ท่าทางของนางดูติด ๆ ขัด ๆ มองดูแล้วช่างน่าขันยิ่ง แต่นางดูจะชื่นชอบอย่างแท้จริง

เยี่ยนเสี่ยวโหลวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา กำลังต้มชาแล้วกล่าวว่า “ธนาคารซื่อทงได้จัดสรรเงิน 100,000 ตำลึงให้แก่อุตสาหกรรมหนานซาน และได้ใส่ไว้ในบัญชีหนานซานแล้ว พี่ซูหลานเขียนจดหมายไปถึงชุนซิ่ว บัดนี้รายได้ของอุตสาหกรรมซีซานทั้งหมดได้นำมาเก็บไว้ในธนาคารซื่อทงแล้ว วันนี้ได้มีการขนส่งเงินมาจากซีซานเป็นคราแรก เป็นจำนวนเงิน 1,200,000 ตำลึง !

หลงจู๊หลี่เห็นว่า บัดนี้ธนาคารของพวกเรามีเงินทุนเกือบร้อยล้านตำลึงแล้ว จะสามารถเริ่มทำการให้กู้ยืมดังที่เจ้าเคยกล่าวไว้ได้แล้วหรือยัง ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ลำบากเจ้าแล้ว เรื่องของเงินกู้นั้นเจ้าจงไปบอกหลี่จินโต้วว่าจะต้องวิเคราะห์คุณสมบัติของผู้กู้ยืม และจะต้องมีของมัดจำ อีกทั้งระยะเวลาในการกู้ยืมมิให้เกินครึ่งปี เนื่องจากในปีหน้าอุตสาหกรรมของพวกเราจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก”

“อืม…” เยี่ยนเสี่ยวโหลวพลันโล่งอกขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้นางมิเคยแตะต้องเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย ย่อมรู้สึกกังวลเป็นธรรมดา

แต่นางก็มิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด อีกทั้งยังรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้รับคำชมจากสามี ทำให้นางรู้สึกยินดีมากยิ่งนัก

นางรินน้ำชาให้กับฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นหลี่เจิ้ง ผู้เฝ้าประตูก็ได้วิ่งเข้ามายังหลีเฉินซวนแล้วโค้งตัวพร้อมกับกล่าวว่า “คุณชาย ด้านนอกมีคนผู้หนึ่งนามว่าโจวถงถง ต้องการเข้าพบท่านขอรับ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลันจากนั้นจึงได้ขมวดคิ้วขึ้น

โจวถงถงแห่งหอเทียนจีในราชวงศ์อู๋…เขาเดินทางมาถึงที่นี่เพื่ออันใดกัน ?

“เชิญเขาเข้ามา”

หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวมองดูฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

โจวถงถงเดินตามหลี่เจิ้งมายังหลีเฉินซวน เขาโค้งคารวะแล้วกล่าวว่า “กระหม่อม โจวถงถง ถวายบังคมฝ่าบาท ! ”

เอาอีกแล้ว… “ท่านเดินทางมาท่ามกลางความหนาวเหน็บด้วยระยะทางอันไกลโพ้นกว่าจะมาถึงที่นี่ เชิญลุกขึ้นมานั่งด้วยกันเถิด”

โจวถงถงนั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน สายตาของเขาจับจ้องไปยังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เกาเสี่ยนได้แทรกตัวเข้ามาในเมืองจินหลิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”