ตอนที่ 503 ความยากลําบากสูงสุด

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นก็รอให้อาถิงฟื้นก่อน”

“ฮิ ๆ ๆ! ยินดีต้อนรับสู่หอฉงโหลวบนเมฆา หอฉงโหลวบนเมฆามีทั้งหมดสองชั้นคือบนและล่าง ในนั้นมีความท้าทายรออยู่มากมาย พวกเจ้าทั้งสองควรทราบไว้” เสียงเล็ก ๆ น่ารักดังลอยมา มันแลดูร่าเริงและน่ารักมากจริง ๆ

“บนและล่างรึ ? ชายชราที่มีเด็กมาด้วยผู้นั้นอยู่ที่ไหนกัน ?” มู่เฉียนซีถามเข้าประเด็น

“เมื่อเข้าไปในหอฉงโหลวบนเมฆาแล้วทุกคนล้วนเป็นอิสระ หากคิดจะหาใครบางคนก็ต้องหาเอาเอง ข้าจะไม่บอกความลับใด ๆ”

“โอ้! งั้นรึ ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว

ทันใดนั้น เสียงของเครื่องกลไกวิญญาณก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าขอถามหน่อย เจ้าอยากจะเริ่มเปิดด้วยโหมดใด  อ่อนแอ ปานกลาง แข็งแกร่ง ยิ่งยากมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นที่จะเข้าสู่ด่านความยากระดับปานกลาง”

มู่เฉียนซีมองจิ่วเยี่ย ต่อไปพวกเขาทั้งสองก็ต้องร่วมเดินทางด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถปล่อยให้นางเลือกเพียงคนเดียวได้

“แข็งแกร่ง” จิ่วเยี่ยตัดสินใจในทันที

“ฮิ ๆ ๆ!  ดูเหมือนว่ายังไม่มีใครกล้าเลือกโหมดนี้ ทั้งสองต้องสู้หน่อยนะ“ หอฉงโหลวบนเมฆากล่าวเตือนอย่างร่าเริง

ต่อมา เมฆหมอกเทาทะมึนก็ค่อย ๆ ดึงร่างมู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ยไป  เบื้องหน้าของพวกเขาคือทะเลดวงดารา มู่เฉียนซีดูเหมือนดั่งลอยบนผิวน้ำในท้องฟ้ายามราตรี  ลมกระโชกแรงพัดผ่าน และในขณะที่นางกําลังจะลอยออกไป ฝ่ามือที่มีพลังไร้ที่เปรียบก็จับที่ข้อมือของนางเอาไว้

นางถูกดึกเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคยในทันทีพลางหมุนในกลางอากาศและตกลงสู่พื้น

มู่เฉียนซีพบว่าตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างเสียยิ่งกว่าดาวอังคาร และรอบ ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย

“ฮ่า ๆ ๆ ยินดีกับพวกเจ้าด้วย โชคดีมากที่ตกไปอยู่บนดาวสัตว์วิญญาณ  สำหรับที่นี่ ตราบใดที่พวกเจ้าเอาชนะวิญญาณสัตว์บนดาวสัตว์วิญญาณได้จนไม่เหลือแม้แต่ดวงวิญญาณเดียว ก็สามารถผ่านด่านนี้ไปได้” “วิญญาณสัตว์มันคืออะไรกัน ?”

“เสียใจด้วย ข้านั้นทําได้แค่ประกาศกฎเท่านั้น ไม่สามารถให้ข้อมูลมากกว่านี้ได้”

ทันทีที่เครื่องกลไกวิญญาณกล่าวจบ เสียงเย็นยะเยือกก็ดังออกมา “วิญญาณสัตว์คือวิญญาณที่เหลือหลังจากสัตว์วิญญาณตาย  มันมีจํานวนมากและมันสลายหายไปในทันที อีกทั้งยังมีบางส่วนเข้าไปในรอยแตกของมิติและจะถูกเก็บไว้…”

มู่เฉียนซีเบิกตากว้าง นางกล่าวว่า “เจ้าหมายถึง… ตอนนี้พวกเราอยู่ในรอยแยกมิติรึ ?”

“หอฉงโหลวบนเมฆามีความสามารถในการเดินทางผ่านรอยแยกมิติ เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นส่วนประกอบของมิติ”

“อ๊า! ชายงามเอ๋ย เจ้ารู้จักข้าดีขนาดนี้เลยรึ ? หรือว่าเจ้าลักลอบชอบข้ามานานแล้ว” เสียงกรีดร้องที่คลั่งไคล้เสียงหนึ่งดังออกมา

ใบหน้าของมู่เฉียนซีหม่นลง เจดีย์เทพและเครื่องกลไกวิญญาณของหอฉงโหลวบนเมฆา ไม่มีสักเรื่องที่ปกติเลยจริง ๆ

“แต่วิญญาณสัตว์อยู่ที่ไหนล่ะ ? แล้วจะเอาชนะพวกมันได้อย่างไร ?”

จิ่วเยี่ยจับมือของมู่เฉียนซีไว้ กลิ่นอายที่เย็นยะเยือกพลันแผ่เข้ามาจากปลายนิ้วของนาง เขากระซิบข้างหูนางว่า “พลังจิตถูกปล่อยออกมา รับรู้ได้ถึงความผันผวนรอบตัวเจ้า ประคองมันไว้แล้วเจ้าจะสามารถสัมผัสได้…”

มู่เฉียนซีหลับตาลง จากนั้นนางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่รอบ ๆ

บริเวณรอบ ๆ นี้มีหนูสีเทาอยู่หลายตัว!

“จิ๊ด! จี๊ดดดด!”

ดูเหมือนว่ามู่เฉียนซีจะสังเกตเห็นพวกมัน พวกมันจึงรีบหลบหนีไปด้วยความตื่นตระหนกทันที

มู่เฉียนซีลืมตาขึ้น “ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน ? แล้วเราจะกําจัดมันได้อย่างไรหรือ ?!”

“ศาลาเลือนรางเก้าชั้นโง่ ๆ นั่นไม่ได้ฝึกวิชายุทธ์ให้เจ้ารึ ?” จิ่วเยี่ยถาม

การฝึกฝนวิชาย่อมต้องมีอย่างแน่นอน เคล็ดวิชาเทพเพียงแค่ให้นางฝึกฝนพลังลมปราณและพลังวิญญาณเท่านั้น หรือว่า…

ในเวลานี้ มู่เฉียนซีเห็นประตูบานใหม่ถูกเปิดออก และมันก็เพิ่มเนื้อหาหนึ่งที่ทั้งสองต้องทำ

เชื่อมวิญญาณ!

“อืม เจ้าเป็นนักปรุงยา การเชื่อมวิญญาณเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่ง”

มู่เฉียนซีตรวจสอบเนื้อหาข้อมูลของการเชื่อมวิญญาณและเริ่มกระตือรือร้นที่จะลอง …เพียงแค่ตกลงมายังสถานที่แห่งหนึ่ง แต่นางกลับพบว่าสถานที่แห่งนี้เหมาะกับตัวนางมาก

หลังจากเรียนรู้การเชื่อมวิญญาณแล้ว พลังจิตของนางก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย วิญญาณสัตว์ทั้งหมดที่อ่อนแอกว่านางวิ่งหนีไปอย่างหงอย ๆ ทันที  ด้วยเหตุนี้ มู่เฉียนซีจึงใช้จิตวิญญาณในการสื่อสารว่า ‘ทั้งหมดหยุดเดี๋ยวนี้! ไม่ต้องหนี!’

— ปัง!  ปัง!  ปัง! —

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือมู่เฉียนซีเป็นเหมือนปีศาจตัวใหญ่ที่ใช้พลังจิตอันทรงพลังบดขยี้เจ้าตัวเล็กเหล่านี้จนนางสามารถเอาชนะไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว

วิญญาณสัตว์เหล่านี้ ในตอนมีชีวิต แม้แต่สัตว์วิญญาณระดับหนึ่งก็ยังไม่สามารถนับได้ มันไม่แข็งแรง มู่เฉียนซีจึงสามารถกําจัดมันได้อย่างง่ายดาย

ต่อไปที่จะเจอ นางจะต้องได้ประลองกับวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!

มิติที่รกร้างนี้ ยังมีวิญญาณสัตว์ของสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังอยู่ไม่น้อย  ทว่าระดับของสัตว์วิญญาณที่มู่เฉียนซีสามารถเอาชนะได้นั้นสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อเหนื่อยแล้วนางยังมียาไว้ใช้ฟื้นฟูพลังและประสิทธิภาพของมันก็เห็นผลรวดเร็วมากด้วย

เครื่องกลไกวิญญาณที่แอบมองอยู่อย่างลับ ๆ ตกใจจนพูดไม่ออก ‘นี่มัน… ช่างวิปริตจริง ๆ!’

ระดับหนึ่ง…

ระดับสอง…

……

หลังจากที่เชียนอ้าวเซี่ยขึ้นไปที่หอฉงโหลวก็ไม่พบมู่เฉียนซีแล้ว เขาก่นด่าจิ่วเยี่ยไปได้สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเครื่องกลไกวิญญาณกล่าวขึ้นมา

เชียนอ้าวเซี่ยถามว่า “เครื่องกลไกวิญญาณ เจ้าน่าจะให้คําแนะนําตามความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของข้า!” กล่าวจบเขาก็ยิ้มอย่างมีเสน่ห์

สุดท้าย เครื่องกลไกวิญญาณที่หน้าแดงหัวใจเต้นรัวก็ไปไม่เป็น มันกล่าว “แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ข้าแนะนําให้เจ้าไปประลองระดับสาม”

เชียนอ้าวเซี่ย “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าด้วย”

“พูดได้ดี… พูดได้ดี!”

เชียนอ้าวเซี่ยเลือกระดับความแข็งแกร่งระดับสาม ส่วนน่าหลานอวี้นั้นรู้ว่าตนเองไม่สามารถเอาชนะระดับมหาจักรพรรดิอย่างเซี่ยได้ จึงเลือกเป็นระดับปานกลาง

……

ท่ามกลางรอยแยกของมิติ บริเวณโดยรอบมีแต่ความรกร้างว่างเปล่า ไม่มีกลางคืนและกลางวัน มู่เฉียนซีไม่รู้สึกถึงกาลเวลาอีกต่อไปและยิ่งนางฆ่ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งหลงใหลมันมากขึ้นเท่านั้น

นางสามารถสัมผัสได้ว่าพลังจิตของตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก เมื่อเดินออกจากที่นี่ นางจะต้องมีพลังมากขึ้นในการปรุงยาน้ำและหลอมยาเม็ดให้ดีขึ้นกว่านี้เป็นแน่

มู่เฉียนซีทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ แต่จิ่วเยี่ยกลับมองอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ  ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่มีวิญญาณสัตว์ตัวใดกล้าเข้าใกล้จิ่วเยี่ย  สัญชาตญาณของพวกมันบอกพวกมันว่าเขาผู้นี้เป็นบุคคลอันตรายมาก บุคคลผู้ที่สามารถทําให้พวกมันกลายเป็นเถ้าถ่านได้ทุกเมื่อ

เครื่องกลไกวิญญาณพึมพํากับตัวเอง “แม้ว่าที่นี่คือสนามทดสอบที่หนึ่งของหอฉงโหลวบนเมฆา แต่มันได้กลายเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสําหรับให้สาวน้อยผู้นี้ได้ใช้ในการฝึกฝนพลังเชื่อมสัตว์วิญญาณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?”

“เห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นการสุ่ม แล้วเหตุใดข้าถึงได้มีความรู้สึกว่าชายผู้นี้จงใจที่จะเลือกเข้ามา…?”

คำตอบของคำถามนี้แน่นอนว่าจิ่วเยี่ยคงจะไม่บอกมัน

“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง จัดการเรียบร้อย!”

ในตอนที่มู่เฉียนซีใช้พลังจิตในการสะกดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งตัวหนึ่งเอาไว้  ใบหน้าของนางก็เผยแววแห่งความยินดีออกมา

“ทำต่อไป!”

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

เมื่อต้องเผชิญกับผู้ฝึกยุทธ์ที่บ้าคลั่งเช่นมู่เฉียนซี วันสุดท้ายของสัตว์วิญญาณเหล่านี้ก็ได้มาถึงแล้ว

ระดับที่หนึ่ง ระดับที่สอง ไล่ไปยังระดับที่สาม  จนระดับที่สี่โผล่ออกมา!

— บึ้ม! —

มีบางอย่างระเบิดขึ้นในหัว ทันใดนั้นมู่เฉียนซีรู้สึกเพียงแต่ว่าในหัวของนางนั้นว่างเปล่าไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบ

พลังความแข็งแกร่งของสัตว์วิญญาณระดับที่สี่นั้นเทียบได้กับระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูต สถานะของวิญญาณของมันมิใช่สิ่งที่บุคคลระดับราชาเช่นนางจะสามารถต่อกรด้วยได้

— ปัง! —

ทันใดนั้นจิ่วเยี่ยรีบคว้าร่างมู่เฉียนซีที่สลบไป

“บุ่มบ่ามเกินไป” จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงต่ำ

“อืม… ข้าง่วง ให้ข้าหลับสักครู่เถอะ” มู่เฉียนซีไม่รีรอ นางทิ้งตัวลงไปในอ้อมอกของจิ่วเยี่ย เรียกได้ว่านางหลับไปจนศีรษะปักอกจิ่วเยี่ยเลยก็ว่าได้

.