หลังจากที่มู่เฉียนซีสลบไป พลังเย็นยะเยือกพลังหนึ่งแผ่เข้ามาทางคิ้วของนาง และเข้าไปบำรุงรักษาวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บของนาง
ผลสุดท้าย…
พลังที่ไร้รูปแบบพลังหนึ่งก็ดูดเอาพลังวิญญาณของจิ่วเยี่ยไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้จิ่วเยี่ยผู้เย็นยะเยือกและไม่เคยแสดงอารมณ์ต่อสิ่งใด ในตอนนี้กลับมีอาการของความตกใจปรากฏออกมา เขารู้สึกได้ว่านางในอ้อมกอดของตนเองกำลังดูดเอาพลังวิญญาณของเขาไปอย่างต่อเนื่อง จากนั้นพลังวิญญาณของทั้งสองก็ได้ผสมรวมเข้าด้วยกัน ทว่าเขาไม่มีท่าทีที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย
ในฐานะของผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่ง การที่ตนเองถูกบังคับดูดเอาพลังวิญญาณไปเช่นนี้ จะต้องทำให้ผู้ที่สูญเสียพลังวิญญาณระเบิดความเกรี้ยวโกรธออกมาอย่างแน่นอน ยิ่งพลังความสามารถแข็งแกร่งมากเท่าใด พลังวิญญาณก็ยิ่งมีความสำคัญเท่านั้น เวลานี้ จิ่วเยี่ยทำได้เพียงป้อนพลังวิญญาณให้แก่มู่เฉียนซีที่ไม่รู้จักพออย่างช่วยไม่ได้ เขาคิดเพียงว่าสูญสิ้นพลังวิญญาณไปน้อยนิดคงไม่เป็นปัญหาอะไร หากว่านางนั้นชอบก็จงดูดเอาไป
ไม่นานนักมู่เฉียนซีก็ตื่นขึ้นมาด้วยเพราะได้กลืนกินเอาสิ่งที่สามารถบำรุงรักษาชุดใหญ่เข้าไป
นางไม่รู้สึกมึนศีรษะเลย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกกระปรี้กระเป่าขึ้นมาเป็นเท่าตัว มิได้ใช้ยาช่วยก็สามารถฟื้นฟูได้ดีเช่นนี้ นี่มันล้วนแต่อยู่เหนือความคาดหมายของนางทั้งนั้น
“เอาล่ะ ข้าจะไปล่าต่อ!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างกระตือรือร้น
ในพื้นที่แห่งหนึ่ง พลังของมู่เฉียนซีแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ *‘…หึ ๆ ๆ เจ้าวิญญาณสัตว์ทั้งหลาย จากนี้ไปพวกเจ้าจะหนีไม่รอดแม้แต่ตัวเดียว’*จิ่วเยี่ยมองตามหลังเงาร่างอันบอบบางนั้น พลันดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งก็กลับกลายฉายแววลึกซึ้งออกมา
อืม… เขานึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าจะมีกลิ่นหอมของซีติดมาด้วย วิญญาณของนางเป็นสิ่งที่เย้ายวนเป็นที่สุดในโลกมนุษย์
มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะเป็นรอยยิ้ม
ขณะที่มู่เฉียนซีกำลังต่อสู้อยู่กับสัตว์วิญญาณนั้น นางพลันรู้สึกว่าที่ด้านหลังของตนเหมือนถูกสัตว์ดุร้ายจ้องมองอยู่ และพร้อมที่จะกินนางเข้าไปในทันที
คงมิใช่ว่าคำสาปของจิ่วเยี่ยสำแดงฤทธิ์อีกแล้วกระมัง!
เมื่อมู่เฉียนซีหันกลับไปมอง ก็เห็นจิ่วเยี่ยกำลังจ้องมองนางเหมือนดั่งปกติ มู่เฉียนซีจึงโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง …นางคงจะคิดมากเกินไป
— ปัง! ปัง! ปัง! —
มู่เฉียนซีต่อสู้ต่อไป
ผลสุดท้าย ปรากฏว่าเป็นเพราะนางนั้นยโสโอหังมากเกิน ผลที่ได้จึงไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรนัก นางมิเพียงแค่ไปทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่โกรธแล้วมุ่งหน้าเข้ามาเท่านั้น แม้แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าเองก็ออกโรงแล้ว
มู่เฉียนซีรีบร้องตะโกนขึ้น “จิ่วเยี่ยช่วยข้าด้วย! นี่เป็นการทดสอบของเราทั้งสองคน เจ้าก็ควรออกมือได้แล้วกระมัง!”
เงาร่างสีดำกระโดดลงมาที่ด้านข้างตัวนางอย่างรวดเร็ว จิ่วเยี่ยกล่าว “ซี… ในที่สุดเจ้าก็เรียกร้องให้ข้าเข้ามาช่วย” แม้จะมีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต สิ่งที่นางนึกถึงมาโดยตลอดก็คือสัตว์พันธสัญญาของนาง หรือไม่ก็เป็นศาลาเลือนรางเก้าชั้น แต่มิใช่เขา
ทว่าในสถานการณ์อันตรายเป็นพิเศษเช่นนี้ นางจำต้องเปลี่ยนจริง ๆ!
“โฮกกกก!”
สัตวศักดิ์สิทธิ์ทั้งระดับสี่และระดับห้าพุ่งเข้ามาเพื่อที่จะฉีกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้น ๆ แต่ปรากฏว่าเมื่อมาถึงตัวทั้งสอง สายตาที่เย็นยะเยือกของบุรุษชุดดำจิ่วเยี่ยมองตกกระทบไปที่พวกมัน
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็ได้กลายเป็นเถ้าธุลีไปในฉับพลัน!
ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีจะไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ทว่านางก็รู้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทุกสิ่งอย่าง สีหน้าของนางแฝงไปด้วยความตกตะลึง แกร่ง! ช่างแกร่งเหลือเกิน สามารถพิฆาตฆ่าสัตว์พวกนั้นได้ภายในชั่วเวลาหยดน้ำหล่นไม่ถึงพื้น
เครื่องกลไกวิญญาณแห่งหอฉงโหลวบนเมฆามองเห็นภาพฉากนี้เข้าก็ถึงกับสั่นสะท้าน ช่างเป็นผู้ที่น่ากลัวเสียจริง แม้แต่มันเองยังรู้สึกว่าเจ้าคนผู้นี้สามารถจับเอาตัวมันไปได้อย่างง่ายดาย แล้วทำลายมันให้มลายหายไปเสีย
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวขึ้น “พลังความสามารถแข็งแกร่งมาก จากนี้ไปพวกเรามาแบ่งงานที่ต้องร่วมมือกันแล้วรีบผ่านด่านนี้ไปกันเถอะจิ่วเยี่ย”
การฝึกฝนของนางใกล้สิ้นสุดลงแล้ว จะต้องรีบตามตาเฒ่านั่นให้ทันให้ได้
ถ้าหากว่าปล่อยให้เจ้าเฒ่าบ้านั่นไปที่ชั้นบนแล้วเอาหลินเอ๋อร์เป็นเครื่องบูชายันแล้วได้กุญแจแห่งเจดีย์เทพไป เช่นนั้นเกิดเรื่องใหญ่แน่ “ตกลง!” จิ่วเยี่ยพยักหน้าเบา ๆ เตรียมเริ่มลงมือ
ไม่นานนัก สัตว์สักดิ์สิทธิ์ที่ระดับสูงกว่าระดับที่สามในมิติที่แตกละเอียดแห่งนี้ ท้ายที่สุดก็ถูกจัดการเสียเป็นเถ้าธุลีไปหมด
ด้วยประการฉะนี้ จึงทำให้มู่เฉียนซีนั้นจนปัญญาอย่างที่สุด นางอดคิดไม่ได้ว่าจิ่วเยี่ยนี่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ดูเหมือนว่าการที่นางอยากจะมีพลังความสามรถที่แกร่งกว่าเขา มันช่างยากเย็นอย่างเป็นที่สุดโดยแท้
มู่เฉียนซีกัดฟันกล่าว “จิ่วเยี่ยเจ้าสบายใจได้ ข้าก็ไม่ได้ช้าไปกว่าเจ้าเท่าไรนักหรอก”
จากนั้นการล่าสัตว์ของมู่เฉียนซีก็เริ่มขึ้น
— ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! —
หลังจากตรวจสอบที่รอบด้านแล้ว ไม่มีผู้อื่นเหลืออยู่แม้แต่ผู้เดียว มู่เฉียนซีจึงกล่าวขึ้น “หอฉงโหลวบนเมฆา พวกเรานั้นถือว่าผ่านด่านแล้ว” “อะแฮ่ม! ผ่านแล้ว พวกเจ้าเป็นผู้เข้ามาท้าสู้ที่ผ่านระดับความยากเช่นนี้ได้รวดเร็วที่สุด อีกทั้งยังวิปริตที่สุดอีกด้วย พวกเจ้าเป็นที่สุดแห่ง…” เครื่องกลไกวิญญาณนั้นกล่าวคำว่าที่สุดออกมาโดยตลอด
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้มาท้าทายผู้ใดทำให้มันตกตะลึงได้เช่นนี้เลย
ต่อมา จิ่วเยี่ยกับมู่เฉียนซีถูกส่งตัวไปที่กลางหอฉงโหลว
เครื่องกลไกวิญญาณกล่าวขึ้น “ตอนนี้พวกเจ้ามีคุณสมบัติที่จะขึ้นไปชั้นบนแล้ว ทว่าบันใดทางขึ้นของทั้งหอฉงโหลวนั้นมีเพียงแค่ทางเดียว พวกเจ้าจะต้องไปให้ถูกต้อง หากว่าเดินไปผิดทางก็จะต้องพบกับความยุ่งยาก”
เสียงของหอฉงโหลวบนเมฆาค่อย ๆ จางหายไป ขณะเดียวกันจิ่วเยี่ยก็มองมู่เฉียนซีแล้วกล่าวขึ้น “ซี นำทาง”
“หืม ? เจ้าบอกว่าให้ข้านำทางรึ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น หากว่ากันตามหลักแล้วจิ่วเยี่ยรู้เรื่องต่าง ๆ ไม่น้อย ให้เขานำทางน่าจะไปได้ถูกทางกว่า
“อืม เจ้าเดินไปตามความรู้สึกก็เพียงพอแล้ว” จิ่วเยี่ยยืนกราน
“ได้ ในเมื่อเจ้าเชื่อความรู้สึกข้ามากนัก เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
ที่ชั้นล่างของทั้งหอฉงโหลวมีหนทางที่คดเคี้ยวราวกับว่าเป็นเขาวงกตอยู่ แม้แต่พื้นที่ที่สามารถให้มู่เฉียนซีเปิดร้านยาได้ก็ยังมี แล้วยังเป็นพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่อีกมาก มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “หอฉงโหลวบนเมฆาแห่งนี้ไม่เลวเลย หากว่าสามารถเอามาเป็นจวนส่วนตัวได้ก็คงดี”
“ข้าว่ามันเก่าย่ำแย่เกินไป ไม่เหมาะกับซี”
“เก่าย่ำแย่รึ ?” มู่เฉียนซีตะลึงงัน
ดูเหมือนว่าหอฉงโหลวบนเมฆาแห่งนี้จะสมบูรณ์แบบไม่มีสิ่งใดบกพร่อง อีกทั้งยังมีสภาพสะอาดใหม่ ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่ย่ำแย่อย่างที่จิ่วเยี่ยว่า
“เจ้าโรคจิตนี่… เจ้าโรคจิตนี่บอกว่าข้าเก่าย่ำแย่ ฮือ ๆ ๆ! ข้าไม่อยากอยู่บนแผ่นดินนี้อีกต่อไปแล้ว” เครื่องกลไกลวิญญาณร้องไห้ออกมาเป็นการใหญ่ แน่นอนว่ามันนั้นไม่กล้าที่จะพุ่งออกไปร้องไห้ต่อหน้าจิ่วเยี่ย แต่มันกลับหลบอยู่ในซอกมุมเล็ก ๆ “หอฉงโหลวบนเมฆาเก่าแก่ย่ำแย่แล้ว มีแต่เพียงตอนที่มันยังอยู่บนโลกเท่านั้นที่ถือว่าสภาพดี แต่เมื่อมันเข้าสู่มิติแห่งความว่างเปล่า มันก็ไม่มีพลังอันใดที่จะสามารถช่วยเหลือคนที่อยู่ในหอฉงโหลวบนเมฆาได้” จิ่วเยี่ยกล่าวอธิบายมู่เฉียนซี
เครื่องกลไกวิญญาณจนปัญญา เจ้าคนเย็นชาผู้นี้พูดความจริงอะไรออกมา ? ช่างน่ารังเกียจอย่างแท้จริง
เอ้อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
“พลังของมันมีไม่มากแล้ว คงอยู่ที่ด้านนอกได้อีกไม่นาน”
ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างแรกในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครต้องการ เวลานี้ หัวใจของเครื่องกลไกวิญญาณแห่งหอฉงโหลวบนเมฆาเต้นแรงเสียจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
มู่เฉียนซีพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าไม่นึกเลยจริง ๆ ว่ามันจะย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเจดีย์เทพ”
หอฉงโหลวบนเมฆา “หึ! ข้าจะไปแย่กว่าเจ้าหมอนั่นได้อย่างไร อย่างน้อยข้าก็ยังขยับตัวได้ ส่วนมันนั้นแม้แต่จะขยับยังไม่ได้เลย”
“แต่ว่ามันยังสามารถที่จะจัดการเรื่องของมนุษย์ให้ได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยฝึกยุทธ์ให้ยอดฝีมือได้ ส่วนเจ้านั้น หากเข้าไปในมิติแห่งความว่างเปล่า หอฉงโหลวบนเมฆาเสร็จแน่!”
“ข้า… เอ่อ… เป็นเจ้าหมอนั่นที่บอกเจ้าใช่หรือไม่ ตอนนั้นข้าหลอกพนันกับมัน ทำให้มันไม่สามารถขยับตัวได้ตลอดมา มันจึงส่งเจ้ามาทำให้ข้าโกรธใช่หรือไม่ ?!” เครื่องกลไลวิญญาแค่นเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอย่างยิ่งยวด มู่เฉียนซี “ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก หากเจ้าไม่บอกข้าก็ไม่รู้หรอกว่าที่กุญแจของเจดีย์เทพมาอยู่ที่นี่กับเจ้า เป็นเพราะว่าเจ้าไปหลอกพนันมันมา”
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าฟังผิดไปแล้วสาวน้อย เด็กสาวที่น่ารักเช่นข้าจะไปหลอกผู้อื่นได้อย่างไรเล่า ?!” หอฉงโหลวบนเมฆากล่าวพลางหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
ในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีชี้ไปยังบันไดสีแดงที่อยู่ด้านหน้าแล้วกล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย ข้าคิดว่าเป็นบันไดนั้น มันน่าจะเป็นบันไดไปสู่ชั้นความยากระดับปานกลาง”
“ดี เราไปกันได้” จิ่วเยี่ยพามู่เฉียนซีเดินขึ้นไป
“เจ้าจะไม่ถามหน่อยหรือว่าเหตุใดข้าถึงเลือกบันไดนี้ ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
“ไม่ว่าจะถูกหรือผิด สิ่งที่เจ้าเลือกก็คือสิ่งที่ข้าเลือก” จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้นอย่างขึงขัง
.