ภาคที่ 1 บทที่ 99 เจตนาโจมตี

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 99 เจตนาโจมตี

หลินเย่เม่ายืนอยู่บนยอดไม้สูงจ้องมองลงมาที่ซูเฉินด้วยความตื่นเต้น

ให้ตายเถอะ ในที่สุดข้าก็จับตัวไอ้เวรนี้ได้เสียที

หลินเย่เม่าใช้ความพยายามไปเล็กน้อยในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเพื่อไล่ตามซูเฉิน

แม้ว่ากระจกส่องต้นกำเนิดที่หลินเย่เม่าครอบครองจะสามารถติดตามร่องรอยของพลังต้นกำเนิดได้ แต่มันก็ยังต้องใช้เวลาในการเปิดใช้งานและมีจำนวนจำกัดในการใช้ ในช่วง 10 วันที่ผ่านมาเพื่อไล่ตามซูเฉินเขาได้เปิดใช้งานมันไปถึง 3 ครั้ง นับได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าซูเฉินสามารถวิ่งแบบนี้ได้อย่างไร เด็กหนุ่มย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไม่มีสถานที่เป็นหลักเป็นแหล่งที่แน่นอน ต้องรู้ก่อนว่าเทือกเขาสีเลือดนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับต่ำจะสามารถวิ่งไปมาได้ตามอำเภอใจ ในสายตาของหลินเย่เม่า การกระทำที่เสี่ยงเช่นนี้ ก็เท่ากับการมองหาความตาย

ในขณะที่เขาติดตามซูเฉินไปทั่วทุกที่ ทว่าระหว่างทางหลินเย่เม่าไม่ได้เจอกับสัตว์อสูรมากนัก เขาเชื่อว่าซูเฉินช่างโชคดีจริง ๆ จึงหลบเลี่ยงสัตว์ร้ายได้อย่างง่ายดาย

หลังจากที่ข้าจับมันได้ ข้าจะทรมานมันเพื่อระบายความโกรธเสีย ! หลินเย่เม่าคิดพร้อมเจตนาฆ่าที่พลุ่งพล่านของเขา

ในขณะนี้ซูเฉินก็จ้องมองไปที่หลินเย่เม่าด้วยความตกใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ คนผู้นี้ถึงมาปรากฏตัวที่นี่

จากการปรากฏตัวของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าหลินเย่เม่ามาเพื่อซูเฉิน เป็นเพราะการทะเลาะกันเล็กน้อยที่เกิดขึ้นที่คฤหาสน์วายุเหนือน้ำ มันทำให้หลินเย่เม่าโกรธมากถึงขนาดไล่เพื่อตามมาฆ่าเขาถึงนี่ ?

มันคุ้มกันหรือ ?

หลินเย่เม่ากล่าวว่า “ซูเฉิน เมื่ออยู่ในที่แห่งนี่ ก็ไม่มีใครสามารถปกป้องเจ้าได้อีกแล้ว ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะหยิ่งได้อีกนานแค่ไหน ! ”

“เอ่อ … ดูเหมือนว่าคนที่หยิ่งอยู่ตอนนี้มันเป็นเจ้าไม่ใช่หรอกหรือ ? ” ซูเฉินถาม “ต้องขออภัยด้วย คุณชายหลินเย่เม่า ข้าเคยไปทำให้เจ้าขุ่นเคืองตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ”

หลินเย่เม่าหัวเราะเสียงดัง “อะไร ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะรู้ถึงความหมายของความกลัวงั้นหรือ ? ”

… ข้าแค่พยายามจะให้เหตุผล ข้าไม่ได้กลัวเจ้า เข้าใจหรือไม่ ?

ซูเฉินพูดไม่ออก

อย่างไรก็ตาม ในบางมุมการพยายามหาเหตุผลเป็นเรื่องง่ายที่จะตีความไปว่ามันคือความอ่อนแอและความกลัว

คนที่อ่อนแอกว่ามักจะชอบให้เหตุผลมากมาย

ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีกและพูดตรง ๆ “แค่บอกข้ามาว่าเหตุใดเจ้าถึงได้มองหาข้า”

หลินเย่เม่าหงุดหงิด “ซูเฉิน ข้าจะไม่มัวเสียเวลากับเจ้า เจ้ามันเป็นคนตาบอด แต่กลับสามารถเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมากมาย ทั้งยังเป็นที่ 1 ในการประเมินสิ้นปีของตระกูลซู และเข้าไปในเทือกเขาสีเลือด 2 ครั้งแต่กลับมีชีวิตรอดกลับมาได้ ไม่มีทางที่สิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เจ้าหลอกคนอื่นได้แต่หลอกข้าไม่ได้ ข้ากล้าพูดเลยว่าในตัวเจ้าต้องมีความลับที่ไม่ธรรมดาอยู่อย่างแน่นอน ! ”

“หือ ? ” ซูเฉินตกตะลึง

ปรากฏว่าหลินเย่เม่าไล่ตามซูเฉินมาตลอด เพียงเพราะอีกฝ่ายเชื่อว่าเขามีความลับที่ไม่ธรรมดาบางอย่าง ?

หลินเย่เม่า “หากเจ้าฉลาดเลือกและส่งมอบความลับมาให้ข้า ข้าสามารถไว้ชีวิตเจ้าได้”

ซูเฉินกล่าวว่า “เจ้าไล่ตามข้ามาหลายวันจนขนมิ้งค์ของเจ้าเละเทะ เพียงแค่เพื่อจะได้รู้ว่าความลับของข้า ? ”

“นั่นยังไม่ใช่เหตุผลเพียงพอหรือ ? ความลับนั้นเพียงพอที่จะทำให้คนตาบอดสามารถทำให้ตระกูลซูเคลื่อนไหวได้ หากข้าได้รับมัน … ” หลินเย่เม่าหัวเราะอย่างมืดมน “ข้าจะสามารถก้าวขึ้นสู่อันดับที่สูงกว่าได้อย่างแน่นอน ข้าจะไม่ใช่แค่ต้นกล้าอันดับสามของตระกูลหลินอีกต่อไป”

ร่องรอยของความเห็นอกเห็นใจฉายผ่านแววตาของซูเฉิน “ข้าเกรงว่าเรื่องนั้นคงจะค่อนข้างยาก ความลับของข้ามีประโยชน์กับตัวข้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีประโยชน์กับเจ้า”

หลินเย่เม่าพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว “หากเจ้าไม่เอาออกมา แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่มีประโยชน์สำหรับข้า ? ”

ซูเฉินถอนหายใจ “ปัญหาคือข้าเอามันออกมาแล้ว แต่เจ้าก็ตาบอดมองไม่เห็นเอง ข้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ! ”

หลินเย่เม่าโกรธ “เจ้าเยาะเย้ยข้างั้นหรือ ? ”

ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้ล้อเลียนเจ้า ข้าเพียงแค่เตือนสติ บางทีอาจเป็นเพราะเจ้ายืนอยู่ในที่สูงเกินไปและมีความสามารถในการรับรู้ไม่เพียงพอ เหตุใดไม่ลงมาเพื่อให้ความฉลาดที่เลี้ยงอยู่ที่เท้าของเจ้ากลับขึ้นไปที่หัวดูล่ะ บางทีเจ้าอาจจะสามารถกู้คืนความสามารถในการรับรู้บางอย่างได้ก็เป็นได้”

เมื่อหลินเย่เม่าได้ยินดังนั้นวิสัยทัศน์ของเขาก็พร่ามัว เขาเงียบลงชั่วขณะก่อนที่จะตระหนักว่าซูเฉินกำลังล้อเลียนตน ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง และชี้ไปที่ซูเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้า … เจ้า … เจ้ามองเห็นข้า ? ”

เขาก้มศีรษะลงดูสภาพตัวเอง

เสื้อคลุมขนมิงค์ของเขาถูกกิ่งไม้เกี่ยวขาดอย่างชัดเจน มันเป็นรอยเกิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่เขากำลังไล่ตามซูเฉินในช่วง 10 วันที่ผ่านมา

เช่นเดียวกับความจริงที่ว่าเขายืนอยู่บนที่สูง … นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินได้จากการได้ยินเพียงอย่างเดียว !

ซูเฉินถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าบอกว่าเมื่อครู่แล้วไม่ใช่หรือว่า ข้าเปิดเผยความลับของข้ากับเจ้าไปแล้ว แต่เจ้าก็ตาบอดมองไม่เห็นมันเอง”

ตั้งแต่ประโยคแรกที่ซูเฉินพูดว่า ‘เป็นเจ้า’ เด็กหนุ่มไม่เคยปิดบังความจริงที่ว่าเขาไม่ได้ตาบอดเลย หลังจากที่ซูฉางเช่อค้นพบความลับของเขา เรื่องที่ซูเฉินกลับมามองเห็นได้ก็มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า หลินเย่เม่าจะเพิ่งมาตอบสนองเช่นนี้

หลินเย่เม่าราวกับว่าเขาถูกฟ้าผ่า

ซูเฉินไม่ได้ตาบอด !

จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตาบอด !

เขาจะตาบอดได้อย่างไร !

ไอ้บัดซบนี่มันหลอกทุกคน

ไม่น่าแปลกใจที่ซูเฉินบอกว่าความลับของเขาใช้กับคนอื่นไม่ได้

มันใช้ไม่ได้จริง ๆ !!

หลินเย่เม่าแทบจะเงยขึ้นฟ้าและคำราม

หลินเย่เม่าไล่ตามซูเฉินมาตั้งหลายวัน ไล่ตามความลับอันทรงพลังของอีกฝ่าย ในที่สุดเขาก็รู้แล้ว ทว่ามันกลับไร้จุดหมายอย่างสมบูรณ์

ไร้จุดหมายโดยสิ้นเชิง !

หลินเย่เม่ากำลังจะบ้าคลั่ง

ซูเฉินมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ “ข้าสงสัยนะจากสติปัญญาของเจ้า เจ้าจะคิดออกว่าข้ามีความลับได้อย่างไร ? มันดูไม่น่าเป็นไปได้ที่นั่นจะเป็นความคิดของเจ้าเอง คงจะมีใครบางคนบอกกับเจ้าสินะ ? ”

เมื่อเห็นการแสดงออกของหลินเย่เม่าชะงักไปและจากสายตาประหลาดใจของเขาที่มองมายังซูเฉิน ซูเฉินรู้ว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง

“เป็นหลินจิ้งซวน ? ” ซูเฉินลองถาม

ลูกตาของหลินเย่เม่าแทบจะถล่นออกมาจากเบ้า

“ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูกอีกแล้ว” ซูเฉินพยักหน้า “ไม่น่าแปลกใจเลยที่จู่ ๆ เจ้าถึงมาที่นี่เพื่อรบกวนข้า เป็นเพราะเจ้าถูกคนอื่นหลอกใช้”

“เจ้าพูดอะไร ? ” หลินเย่เม่าตะลึง

ซูเฉินจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยาม

“ข้าบอกว่าเจ้าถูกหลอกใช้แล้วไง เจ้างี่เง่า หากเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเจ้าเอง แม้เจ้าจะฆ่าข้าก็ไม่มีใครรู้ และยังไม่ต้องกังวลกับผลที่จะตามมา ผลประโยชน์ทั้งหมดก็จะเป็นของเจ้า อย่างไรก็ตามหลินจิ้งซวนกลับรู้เกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ รู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร ? หมายความว่าถ้าข้าตายมันก็เท่ากับว่าเจ้าวางด้ามมือไว้ในมือของมัน … เจ้าคงไม่ได้คิดจริง ๆ ว่าตระกูลซูกับตระกูลหลินจะนั่งดูเฉย ๆ ในขณะที่เราเข่นฆ่ากันใช่ไหม ? ”

ในใจของหลินเย่เม่าตกตะลึงอย่างมาก

นั่นถูกต้อง ในเทือกเขาสีเลือดการที่ถูกสัตว์อสูรฆ่าเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าการถูกฆ่าโดยใครบางคนนั้นถือเป็นเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิง

หากหลินเย่เม่ามาด้วยความตั้งใจของตนเอง ทุกอย่างก็จะเรียบง่ายขึ้น

น่าเสียดาย ที่อีกฝ่ายมาที่นี่เพราะถูกยุยงให้มา ซึ่งหมายความว่าหลินจิ้งซวนรู้ว่าซูเฉินมีความลับ และถ้าหลินเย่เม่าได้รับประโยชน์จากเขากลับไปจริง ๆ หลินจิ้งซวนก็มีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งเช่นกัน

ในทางกลับกัน …

“ในทางกลับกันหากเจ้าเสียชีวิต มันก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน ตำแหน่งของหมอนั้นคงจะอยู่ต่ำกว่าเจ้าใช่หรือไม่ ? และหากเจ้าตายตำแหน่งของมันในตระกูลก็จะเพิ่มขึ้นอีกขั้น” ซูเฉินกล่าวต่อ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเย่เม่าก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

เขาไม่เคยสงสัยว่าหลินจิ้งซวนจะมีความตั้งใจเช่นนั้น หลินเย่เม่าไม่อยากที่จะเชื่อและส่ายหัวซ้ำ ๆ “นั่นไม่จริง เจ้าโกหก ! มันเป็นพี่ชายของข้านะ ! “

ซูเฉินส่ายหัว “เชื่อข้า ข้าเข้าใจดีว่าพี่ชายเป็นอย่างไร คนที่ต่อต้านข้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็คือผู้ที่ถูกนับเป็นพี่น้องของข้า ตระกูลซูไม่ได้ขาวสะอาด ตระกูลหลินเองก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก อีกาทั่วโลกล้วนแล้วแต่มีสีดำเหมือน ๆ กัน”

เมื่อหลินเย่เม่าได้ยินดังนั้น มือและเท้าของเขาก็รู้สึกเย็นเฉียบ

หลินเย่เม่าออกมาตามหาซูเฉินด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง แต่จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขากลับดับวูบลง ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคจากซูเฉิน

ความสนใจทั้งหมดของหลินเย่เม่าถูกซูเฉินดึงดูดไป จนเขาไม่ได้สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของกังเหยียนเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้น ซูเฉินก็รู้สึกผิดหวังไปอยู่พักหนึ่ง “เดิมทีข้าคิดว่าคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาถึงแล้ว แต่ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเจ้าก็แค่แกล้งทำ เจ้าได้รับเลือกให้เป็นต้นกล้าเข้าไปยังตระกูลกู่เพราะพ่อของเจ้างั้นหรือ ? พ่อของเจ้าคือหลินซิงหรงหรือหลินซิงเหยากัน?”

หลินซิงหรงกับหลินซิงเหยาเป็นลูกชายของหลินหยวนซาน สถานะของพวกเขาคล้ายกันกับซูเฉิงอันกับซูเค่อจี่ในตระกูลซู

เมื่อซูเฉินพูดแบบนั้นออกไป ร่องรอยของความโกรธและอับอายปรากฏบนใบหน้าของหลินเย่เม่าในทันที แต่ทว่าเขากลับไม่กล้าที่จะยืนยันหรือปฏิเสธมันออกไป

เมื่อเห็นดังนั้นซูเฉินก็รู้ว่าเขาเดาถูกอีกครั้ง

เขาส่ายหัวและถอนหายใจ “ก็เป็นไปตามคาด ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้ายังคงหยิ่งยโสแม้ว่าจะไม่มีสมองก็ตาม กลายเป็นว่าเพราะข้างหลังเจ้ามีบรรพบุรุษรุ่น 2 อยู่”

หลินเย่เม่าตะโกนด้วยความโกรธ “ซูเฉิน เจ้ากล้าดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ !? ”

ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้ดูถูกเจ้า ข้าถึงเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษ เตรียมเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ พร้อมรับศึกหนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนการเตรียมการทั้งหมดนี้จะไร้ประโยชน์เสียแล้ว … เจ้ามันเป็นแค่ขยะจริง ๆ การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการกับเจ้าแล้ว”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ ? ” ดวงตาของหลินเย่เม่าลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธ “ข้าจะฆ่าเจ้า ! ”

ในขณะที่พูด หลินเย่เม่าดึงดาบยาวออกมาและกระโดดขึ้นไปในอากาศ ในเวลาเดียวกันดาบของเขาเปล่งประกายออร่าสีเลือดจาง ๆ ขณะที่เขาแทงตรงเข้าไปที่ซูเฉิน

ในขณะนั้นความสนใจทั้งหมดของหลินเย่เม่าจดจ่ออยู่ที่ซูเฉิน

แต่เมื่อเขาบินลงมา ทันใดนั้นดินทรายก็กระจายออกไปทุกที่

แมลงกินเหล็กขนาดใหญ่โผล่ออกมาและพุ่งเข้าใส่หลินเย่เม่าอย่างดุร้าย

หลินเย่เม่าไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหันนี้ เขาหมุนดาบกลับมาเพื่อป้องกัน ในขณะเดียวกันก็เปิดใช้งานก้าวย่างหมอกอสรพิษเพื่อหลบเลี่ยง แต่เมื่อเห็นแสงวูบวาบในดวงตาของซูเฉิน ทันใดนั้นหัวของหลินเย่เม่าก็สั่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด การมองเห็นของเขาก็พลันพร่ามัว

จังหวะต่อมา เจ้าแมลงกินเหล็ก กังเหยียนที่สวมเกราะหลอมทองและซูเฉินต่างก็กระโจนเข้าหาหลินเย่เม่า พวกเขาพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างแรงจากทั้ง 3 ทิศทาง

หลินเย่เม่าเป็นเหมือนแซนวิช เมื่อโดนคน 2 คนและแมลง 1 ตัวกระแทกเข้าไป ดวงตาของเขากลอกกลับไปที่ด้านหลังศีรษะและหมดสติไป

หลินเย่เม่าล้มลงไปกองอยู่กับพื้น

ซูเฉินยักไหล่และพูดว่า “เจ้าไม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ในระหว่างที่สู้ เจ้าไม่ได้ป้องกันตัวเองเมื่อโจมตี และเจ้าไม่เหลือพื้นที่ให้ตัวเองปรับเปลี่ยนทางท่าได้เมื่อลงมือโจมตีออกไป ข้าบอกไปแล้วว่าข้าเตรียมของขวัญให้เจ้า ทว่าเจ้าก็ไม่ได้มองไปรอบ ๆ เพื่อตรวจดูว่ามีกับดักอยู่ใกล้ ๆ หรือไม่แม้แต่น้อย … คนอย่างเจ้ามันก็เป็นเพียงขยะ ไม่ว่าเจ้าจะมีพลังมากแค่ไหนก็ตาม”