บทที่ 100 การสอบสวน
เมื่อหลินเย่เม่าตื่นขึ้น เขาก็พบว่าตัวเองถูกมัดทิ้งไว้ที่มุมถ้ำ
ซูเฉินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและมองดูเขาด้วยสีหน้าแปลก ๆ
“ซูเฉินเจ้ากล้าวางกับดักข้า ! ” หลินเย่เม่ากระโจนเข้าหาซูเฉินทันทีที่เขาลุกขึ้นนั่งได้
ทันใดนั้นร่างขนาดใหญ่ของกังเหยียนก็ปรากฏขึ้น เขาผลักหลินเย่เม่ากลับไปได้อย่างง่ายดาย
แรงผลักนี้แม้จะไม่แรงนักแต่หลินเย่เม่าไม่อาจต้านทานไว้ได้ และในตอนนั้นเองเขาก็ได้พบว่าไม่สามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดของตนได้
“เกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดข้าถึงใช้พลังต้นกำเนิดไม่ได้” หลินเย่เม่าอุทานด้วยความประหลาดใจ
ซูเฉินถอนหายใจ “ขอล่ะ ครั้งต่อไปที่เจ้าจะลงมือ เจ้าจะช่วยดูสถานการณ์ของตัวเองก่อนจะได้ไหม ? เจ้าไม่คิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่การใช้พลังต้นกำเนิดกลับเป็นเรื่องผิดปกติหรอกงั้นหรือ ? ”
หลินเย่เม่าตะลึงงัน เขาอ้าปากกว้างและพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หลังจากรวมสติอยู่ครู่ใหญ่ หลินเย่เม่าก็พูดด้วยความโกรธว่า “ซูเฉิน ถ้าเจ้ายังเป็นลูกผู้ชายก็มาสู้กับข้าอย่างยุติธรรม ลูกผู้ชายประเภทไหนกันที่สู้ด้วยการลอบโจมตี ? ”
เพี้ยะ !
เสียงตบดังขึ้นจากใบหน้าของหลินเย่เม่า ส่งให้เขาหมุนกลิ้งเป็นวงกลม
ซูเฉินเก็บมือของเขากลับและพูดอย่างเฉยเมย “ข้าหวังว่าการตบครั้งนี้จะช่วยทำให้เจ้าเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองนะ”
การตบครั้งนี้ทำให้หลินเย่เม่าเงียบลงอย่างสมบูรณ์
หลินเย่เม่ามาจากตระกูลใหญ่ เขาที่ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยและเอาแต่ใจ ไม่ต้องพูดถึงการถูกตีและถูกดุ แม้แต่การถูกคนเถียงกลับก็ยังเป็นเรื่องหายาก ด้วยเหตุนี้หลินเย่เม่าจึงกลายเป็นพวกชอบใช้อำนาจและมีบุคลิกที่หยิ่งยโส
หลังจากไปยังตระกูลกู่และได้รับสายเลือดของอสรพิษทะยานมา เขาก็ทรงอำนาจยิ่งขึ้นไปอีก ! เมื่อความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ความเย่อหยิ่งของเขาเพิ่มขึ้นตามมาด้วย อาจกล่าวได้ว่าภายใต้สวรรค์นี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้หลินเย่เม่าหันมองได้
หลินเย่เม่าไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าในระหว่างที่เขาพยายามสร้างปัญหาให้กับซูเฉิน กลับกลายเป็นว่าเขาได้ล้มเหลวจากสงครามคำพูด จากนั้นก็ถูกซูเฉินจับตัวมา แล้วตอนนี้เขายังมาถูกซูเฉินตบตีอีก
มันทำได้อย่างไร ? มันกล้าทำแบบนี้ได้อย่างไร ?
ซูเฉินยังคงมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาที่บอกว่า ‘หากเจ้าไม่ยอมทำตัวดี ๆ ข้าจะทุบตีเจ้าอีก’
ทั้ง 2 มองหน้ากันอยู่แบบนั้น
บางทีหลินเย่เม่าอาจจะกำลังทุกข์ทรมานและขัดแย้งกับตัวเองอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตามซูเฉินไม่ได้ตั้งใจที่จะให้โอกาสหลินเย่เม่าหาข้อสรุปในใจของเขานานขนาดนั้น
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พยักหน้าและจ้องมองตนนิ่ง ๆ ซูเฉินก็เหลือบมองไปยังกังเหยียน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ช่วยมันหน่อย”
“ขอรับนายท่าน” กังเหยียนคว้าตัวหลินเย่เม่าแล้วกระแทกเขาลงกับพื้น
“อา ! ” เสียงโหยหวนที่น่าสังเวชดังก้องไปทั่วถ้ำ
หลังจากนั้นไม่นานกังเหยียนก็ปล่อยตัวเขา
เท้าของซูเฉินเหยียบไปที่ใบหน้าของหลินเย่เม่า “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้ว ? ”
“ข้า … ข้าเข้าใจแล้ว” หลินเย่เม่าตอบอย่างคร่ำครวญ
“เยี่ยม เช่นนั้นข้าถามเจ้าตอบ” ซูเฉินกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้ารู้จักทักษะต้นกำเนิดมากแค่ไหน ? ”
“อะไรนะ ? ” หลินเย่เม่าไม่คาดคิดว่าซูเฉินจะถามเขาเรื่องนี้
“คำตอบของเจ้ายังไม่ถูก” ซูเฉินส่งสัญญาณไปให้กังเหยียน
ผัวะ !
กังเหยียนชกเข้าไปที่กลางลำตัวของหลินเย่เม่าอย่างแรง
“ข้า … ไม่ได้บอกว่าข้าจะไม่ตอบ” หลินเย่เม่ารู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนหน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“งั้นก็เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว”
“ข้าจะพูด ข้าจะพูด ข้าได้เรียนรู้ทักษะต้นกำเนิดมา 2 อย่าง กำแพงเหมันต์เย็นเฉียบกับดาบเมฆาทะยาน”
“โกหก”
กังเหยียนต่อยเขาอีกครั้ง
หลินเย่เม่าคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด “ข้าไม่ได้โกหก ! ”
“แล้วก้าวย่างหมอกอสรพิษล่ะ ? เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้งั้นหรือ ? ”
หลินเย่เม่าตัวสั่นและพูดว่า “นั่นเป็นทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือด ข้าคิดว่าเจ้ากำลังพูดถึงทักษะต้นกำเนิดทั่วไป”
“เจ้าจักรู้ทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดมากแค่ไหน?”
“ 2 ก้าวย่างหมอกอสรพิษกับฝ่ามือดอกไม้บิน”
“เจ้าได้เรียนรู้ 2 ใน 3 วิชาสัมบูรณ์ของตระกูลกู่ นับได้ว่าไม่เลว”
ซูเฉินไม่แปลกใจเลย
ภายใต้สถานการณ์ปกติ หากผู้ฝึกฝนต้องการจะทะลวงผ่านด่านก่อเกิดลมปราณไปสู่ด่านกลั่นโลหิตนั้น ต้องใช้เวลากว่า 10 ปี
ช่วงเวลาการเปิดรับสมัครเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะเริ่มในครึ่งปี
ตราบใดที่สมาชิกตระกูลหลินไม่ใช่คนโง่เขลา ก็ย่อมจะทำให้ต้นกล้าทั้งสี่ของตระกูลตนได้ฝึกฝนทักษะต้นกำเนิดและเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขา
ซูเฉินโยนปากกาและกระดาษลงไปตรงหน้าหลินเย่เม่าและพูดว่า “เขียนทักษะต้นกำเนิดทั้งหมดมาให้ข้า”
“อะไรนะ?” หลินเย่เม่าตกใจ “อย่าคิดแม้แต่น้อยว่า เจ้าจะปล้นทักษะของข้าไปได้”
“คำตอบนั้นยังไม่ถูก!”
ผัวะ!
หมัดอันรุนแรงอัดเข้าที่หน้าท้องของหลินเย่เม่าอีกครั้งหนึ่ง
น้ำเสียงของซูเฉินเย็นชาขึ้น “นอกจากนี้นี่ไม่ใช่การปล้น แต่เป็นการฉกฉวย!”
หลินเย่เม่าจ้องมองไปที่ซูเฉินอย่างว่างเปล่า
หลังจากได้สัมผัสกับการถูกทุบตีอย่างหนัก ในที่สุดจิตใจที่เย่อหยิ่งของเขาก็เริ่มรู้สึกตัวและรับรู้สถานการณ์ที่เขาเป็นอยู่
หลินเย่เม่าไม่ได้ขัดขืนต่อไป เขาหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มคัดลอกทักษะต้นกำเนิดที่เขาได้เรียนรู้มา
เมื่อทักษะต้นกำเนิดทั้ง 4 ถูกเขียนลงไปเรียบร้อยแล้ว ซูเฉินก็เหลือบมองพวกมัน จากนั้นหยิบกระดาษขึ้นมา 2-3 ฉบับและพูดว่า “เขียนอีกที หากมีอะไรแตกต่างไปจากเดิม ข้าจะตัดนิ้วเจ้าเสีย”
หลินเย่เม่าตกใจกลัวและตะโกนเสียงดัง “ไม่ ไม่ ข้ารู้ว่ามันผิด ข้าจะเขียนทั้งหมดให้เจ้าใหม่ ! ”
ทักษะต้นกำเนิดที่หลินเย่เม่าได้เขียนไปเมื่อครู่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงจนผิดพลาดไปมากมาย แต่เขาไม่คาดคิดว่าซูเฉินจะเปิดเผยโดยการให้เขาเขียนขึ้นมาใหม่
ในการเขียนใหม่ครั้งที่ 2 หลินเย่เม่าก็ใส่ใจมากขึ้น
หลังจากที่หลินเย่เม่าเขียนทักษะต้นกำเนิดใหม่เสร็จแล้ว ซูเฉินไม่ได้มองไปที่พวกมัน เขาพูดกับอีกฝ่ายว่า “ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ยังมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ? ถ้าเจ้าทำเจ้ายังมีโอกาสให้แก้ไขอยู่ หากมีบางอย่างผิดปกติข้ายอมต้องพบในไม่ช้าก็เร็ว … ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าอีกแล้ว”
หลินเย่เม่าตัวสั่น เขารีบหยิบกระดาษกลับมาและทำการเปลี่ยนแปลง 2-3 อย่าง จากนั้นเขาก็ส่งพวกมันให้ซูเฉินอย่างเชื่อฟัง “คราวนี้ไม่มีอะไรอีกแล้วจริง ๆ ”
ซูเฉินหยิบพวกมันไปและเริ่มอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับก้าวย่างหมอกอสรพิษ
ซูเฉินเองก็รู้ก้าวย่างหมอกอสรพิษ เขาสามารถตัดสินความจริงได้ง่าย ๆ โดยการเปรียบเทียบสิ่งที่เขารู้กับสิ่งที่หลินเย่เม่าเขียน
หลังจากตรวจสอบและพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ซูเฉินก็เก็บทักษะต้นกำเนิดไปด้วยความพึงพอใจ
เหตุผลที่เด็กหนุ่มต้องการให้หลินเย่เม่าเขียนทักษะต้นกำเนิด ไม่ใช่เพียงเพราะเขาต้องการพวกมัน แต่ยังเพื่อประโยชน์ของกู่ชิงลั่ว นางได้แอบสอนเขาอย่างผิดกฎและหากเรื่องมันแพร่กระจายออกไปมันจะไม่ดีสำหรับนาง ตอนนี้เขามีหลินเย่เม่าแล้ว ซูเฉินสามารถพูดได้ว่าเขาข่มขู่เอามาจากหลินเย่เม่า
ส่วนที่ดีที่สุดก็คือ แม้แต่หลินเย่เม่าเองก็ยังคิดว่าตนเองเป็นต้นที่ก้าวย่างหมอกอสรพิษหลุดออกไป เขาไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าซูเฉินได้เรียนรู้ทักษะนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
“บอกข้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลินกับตระกูลกู่ แล้วเหตุใดกู่ชิงลั่วถึงได้มาอยู่ที่เมืองหลินเป่ย และเหตุใดความสัมพันธ์ของเจ้ากับตระกูลกู่ถึงได้ดีนัก? ดีพอที่จะให้พวกเขามอบโอสถสืบสายเลือดและสอน3วิชาสัมบูรณ์ให้เจ้า”
ราวกับทำซ้ำตามสูตร ซูเฉินยังคงถามคำถามในสิ่งที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว ด้วยวิธีนี้เด็กหนุ่มจึงสามารถปกป้องกู่ชิงลั่วและยังสร้างแรงกดดันให้กับหลินเย่เม่าต่อไปได้อีก หากหลินเย่เม่าโกหก ซูเฉินจะรู้ทันทีและสามารถลงโทษอีกฝ่ายอย่างหนักได้
หลังจากการทุบตีหลายครั้ง เกราะป้องกันในจิตใจของหลินเย่เม่าก็ได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เขาไม่กล้าโกหกซูเฉินต่อไป
ขณะที่หลินเย่เม่าอธิบายสถานการณ์ ซูเฉินก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันของตระกูลหลิน
อย่างที่คาดไว้ หลินเย่เม่าเป็นเพียงคนไม่เอาไหนที่ค่อยแต่พึ่งพาพ่อของตนเพื่อให้เติบโตขึ้น แต่อีก 3 คนไม่ได้อ่อนแอ ความจริงแล้วความแข็งแกร่งของหลินเย่เม่าก็ไม่ได้นับว่าอ่อนแอเช่นกัน ทว่ามันกลับถูกสมองที่เรียบง่ายจำกัดเอาไว้
ในการต่อสู้แบบทุ่มสุดตัว ซูเฉินอาจจะสามารถสังหารคู่ต่อสู้ของเขาได้ด้วยประสบการณ์อันยาวนานและจิตใจที่สงบนิ่ง แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งที่แท้จริง หลินเย่เม่าผู้มีทักษะต้นกำเนิด 4 อย่างไม่ได้ด้อยไปกว่าซูเฉินที่มีทักษะต้นกำเนิด 7 อย่างเลย
เรื่องนี้จริงยิ่งขึ้นสำหรับหลินชูเยว่กับไป๋หลี พวกเขาทั้งหมดเป็นคนที่ใช้ยาสายเลือดอสรพิษทะยานของตระกูลกู่ และมีสายเลือดที่สอดคล้องกับทักษะ ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลย
อย่างไรก็ตามตามสิ่งที่หลินเย่เม่ากล่าวมา แม้ว่าพวกเขาจะได้รับสายเลือดมาเช่นเดียวกัน แต่ผลของการกระตุ้นยังก็แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่นหลังจากสายเลือดอสรพิษทะยานของหลินเย่เม่าได้ตื่นขึ้น มันก็เพียงพอที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดที่เขามีอยู่แล้ว ให้เพิ่มขึ้นอีก
นี่เป็นสถานการณ์ที่พบบ่อยที่สุด กู่ชิงลั่วเองก็จัดอยู่ในหมวดนี้ อย่างไรก็ตามสายเลือดของนางได้รับการถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรม และเมื่อสายเลือดของนางตื่นพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ทว่าสายเลือดผสมไม่มีข้อได้เปรียบนี้ เมื่อความสามารถทางสายเลือดปรากฏขึ้นมาแล้วก็เป็นอันสิ้นสุด
ส่วนหลินชูเยว่กับไป๋หลี หลินเย่เม่าไม่รู้ถึงสถานการณ์เฉพาะของพวกเขา แต่จากคำบอกเล่าพวกเขาทั้งสองได้รับทักษะต้นกำเนิดอื่นมาจากการปลุกสายเลือดของพวกเขา คนในตระกูลกู่ยกย่องพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอัจฉริยะ 2 คนได้ปรากฏตัวมาในตระกูลหลินแล้ว และได้ถ่ายทอด 3 วิชาสัมบูรณ์ของตระกูลกู่ กับวิชาปรอทเย็นให้กับพวกเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทั้ง 2 คนนนี้มีทักษะต้นกำเนิดอย่างน้อย 6 ทักษะและ 4 ในนั้นเป็นทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือด
เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว ซูเฉินก็ตกใจเช่นกัน
ซูเฉินไม่ได้มีความมั่นใจว่าเขาจะเอาชนะหลินเย่เม่าได้ ไม่ต้องพูดถึงอีก 2 คนที่แข็งแกร่งกว่า
อย่างไรก็ตามยิ่งคู่ต่อสู้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของซูเฉินก็มีมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อซูเฉินเข้าสู่เทือกเขาสีเลือดเป็นครั้งแรกเขายังคงอยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณ และตอนนี้เขาได้ควบคุมทักษะต้นกำเนิด 7 อย่างรวมถึงหินพลังต้นกำเนิดมูลค่าสุทธิอีกนับแสน
ยังคงมีเวลาครึ่งปีก่อนที่การเปิดรับสมัครเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะเริ่ม ใครจะรู้ว่าเขาจะสามารถพัฒนาก้าวขึ้นไปได้อีกกี่ขั้น ?
ยิ่งคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเท่าไหร่การต่อสู้ก็จะยิ่งมีรสชาติมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับฝ่ายตรงข้ามเช่นซูชิงหรือหลินเย่เม่า ซูเฉินรู้สึกว่ามันไม่สนุกเลยที่จะต่อสู้กับพวกเขา เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะลืมคู่ต่อสู้อย่างอูเอ่อร์หลี่หรือหลี ที่ซูเฉินถูกบังคับให้ต้องทุ่มทุกอย่างที่มีออกไปเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย
หลังจากถามสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดกับหลินเย่เม่าไปแล้ว ซูเฉินก็เงียบลงอีกครั้ง
ราวกับว่าซูเฉินกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่าง คิ้วของเขาขมวดแน่นด้วยความลังเล
หลินเย่เม่าคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะฆ่าตน เขาจึงกลัวมากจนน้ำเสียงสั่นอย่างรุนแรง “อย่าฆ่าข้าเลยได้โปรด ข้าบอกเจ้าทุกอย่างที่ข้ารู้แล้ว”
ซูเฉินเหลือบมองเขา ความรังเกียจของเขาเพิ่มขึ้นเมื่อเห็นท่าทางขี้ขลาดของอีกฝ่าย
เขากำลังคิดถึงเรื่องที่เสี่ยงมากและยังคงลังเลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย ซูเฉินไม่แน่ใจว่าควรเสี่ยงดีหรือไม่
แต่ตอนนี้หลังจากได้เห็นท่าทางของหลินเย่เม่า ความรู้สึกรังเกียจก็เกิดขึ้นในใจของเขา
สุดท้ายเขาพูดกับตัวเองว่า ‘ลูกผู้ชายควรก้าวไปข้างหน้าโดยไม่เกรงกลัว จะมีอนาคตอะไรสำหรับคนขี้ขลาดแบบนี้’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ความภาคภูมิใจของซูเฉินก็เพิ่มขึ้นและในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ
ซูเฉินตบต้นขาแล้วยืนขึ้นและพูดว่า “กังเหยียน ! ”
ซูเฉินชี้ไปที่หลินเย่เม่า “ถอดเสื้อผ้ามันออก”