ตอนที่ 198 ฮานส์กับมอลลี่

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ถ้าตอนนี้ฉีหย่วนเหิงยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาคงควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องสับฉีหย่วนเหิงออกเป็นหมื่นๆ ชิ้นแน่! 

 

 

“นายค้นหาต่อไป ขยายพื้นที่การค้นหาให้กว้างขึ้น อย่าจำกัดอยู่แค่บริเวณใกล้เคียง ทำทุกวิถีทางให้ได้เบาะแสมา แล้วก็พยายามติดต่อคนในพื้นที่เอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาเธอให้เจอ เข้าใจหรือยัง!” 

 

 

“ครับ” สวี่จิ้งรับคำสั่งทันควัน 

 

 

จิ้นหยวนโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งแล้วกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอน เขาหมุนตัวกลับมาก็เห็นหร่วนเซียงเซียงยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้ว เธอกำลังมองเขาอย่างเคอะเขินด้วยใบหน้าแดงซ่านเหมือนกับครั้งแรกที่เธอเจอเขาไม่มีผิด “อาหยวน… คุณจะไปไหนคะ?” 

 

 

จิ้นหยวนชำเลืองมองเธอแวบหนึ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก “ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ” เขาไม่อยากพูดกับเธอแม้แต่คำเดียว จึงสาวเท้าเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว 

 

 

หร่วนเซียงเซียงหน้าถอดสีทันที 

 

 

จิ้นหยวนไม่สนใจมองสีหน้าของเธอด้วยซ้ำ ในใจเขายามนี้เต็มไปได้เฉียวซือมู่ที่หายตัวไปเท่านั้น เขาก้าวลงบันไดอย่างรวดเร็ว จากนั้นสั่งพ่อบ้านให้เตรียมรถให้พร้อม เพราะเขาจะต้องรีบไปให้ถึงสนามบินให้เร็วที่สุด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากประตู พลันเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นมาจากข้างหลัง “จิ้นหยวน!” 

 

 

เขาหมุนกายหันกลับไปมองพลันหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล “คุณพ่อ” 

 

 

ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลจิ้นเฮ่าก็นั่งอยู่บนรถเข็นตลอด ต่อให้เขาต้องนั่งอยู่บนรถเข็น แต่เขายังคงเชิดหน้าด้วยความหยิ่งผยอง “นี่แกจะไปไหน? คืนนี้เป็นคืนส่งตัวเข้าหอของแกนะ” 

 

 

จิ้นหยวนมองจิ้นเฮ่านิ่ง “ผมยอมแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงแล้ว ผมคิดว่าคุณพ่อน่าจะพอใจได้แล้วนะครับ” 

 

 

“เหลวไหล แกแต่งงานกับเขาแต่กลับทิ้งๆ ขว้างๆ เขาแบบนี้ แล้วมันต่างอะไรกับการไม่ได้แต่งงาน?” จิ้นเฮ่าโกรธจัด 

 

 

จิ้นหยวนมองจิ้นเฮ่าด้วยความขมขื่นใจ “คุณพ่อจะให้ผมอยู่กับผู้หญิงเจ้ามารยาตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอครับ?” 

 

 

“นี่แก!” จิ้นเฮ่าเริ่มไอค่อกแค่ก “นี่แก… นี่แกจะทำให้ฉันโมโหตายให้ได้ใช่ไหม…?” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงใช้เวลาขับรถประมาณชั่วโมงกว่าๆ เพื่อพาเฉียวซือมู่ไปยังคฤหาสน์ชนบทหลังงามที่ตั้งอยู่ห่างจากเขตชุมชน เขาโทรศัพท์ติดต่อเพื่อนคนนั้นชั่วครู่ เพียงไม่นานประตูเหล็กลายดอกไม้ก็เปิดออก เขาค่อยๆ ขับรถเข้าไปข้างในอย่างช้าๆ 

 

 

เขาอธิบายให้เธอฟังระหว่างทางที่ขับรถมาที่นี่ ทำให้เธอได้รู้ว่าครอบครัวนี้นามสกุลมาร์กีซ เป็นชาวอิตาลีแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าฉีหย่วนเหิงที่มาจากประเทศจีนเป็นเพื่อนกับพวกเขาได้อย่างไร เขาไม่ยอมบอกอะไรมากนัก แต่ให้เธอรู้เอาไว้ว่าครอบครัวนี้ร่ำรวยมาก ที่ดินระหว่างสองข้างทางตลอดระยะทางหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ที่เขาขับรถผ่านมานั้นเป็นของตระกูลมาร์กีซทั้งหมด 

 

 

ยามแรกเมื่อเธอได้ยินเรื่องราวของพวกเขาเธอรู้สึกกังวลใจไม่น้อย เพราะพวกเศรษฐีมักจะมีนิสัยแปลกประหลาดไม่เหมือนชาวบ้าน แต่พอได้เจอตัวจริง ความกังวลทั้งหลายกลับสลายหายไปพลัน เพราะเธอเห็นคุณผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่เหมือนหมีตัวโตๆ กับคุณผู้หญิงรูปร่างผอมบางดูน่ารักยิ้มตาหยีเข้ามาต้อนรับพวกเธออย่างอบอุ่น 

 

 

เธอแอบคิดว่าคนที่ยิ้มได้สดใสราวแสงอาทิตย์เช่นนี้คงไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกมั้ง 

 

 

และการต้อนรับของพวกเขาหลังจากนั้นเป็นข้อพิสูจน์ความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี สองสามีภรรยาเป็นมิตรและมีน้ำใจมาก ความสัมพันธ์ระหว่างฉีหย่วนเหิงกับพวกเขาก็ดีมากเหมือนกัน มีการพูดคุยหยอกล้อกันตลอดเวลา 

 

 

แต่เธอกลับรู้สึกลำบากใจไม่น้อย เพราะพวกเขาคุยภาษาอังกฤษเร็วมาก คนที่ไม่ค่อยได้ไปต่างประเทศอย่างเธอจึงฟังบทสนทนาของเขาไม่ทัน ได้แต่ฟังไปเดาไปด้วยความยากลำบากจนมอลลี่รู้เข้า มอลลี่จึงตั้งใจพูดให้ช้าลง 

 

 

ความเอาใจใส่ที่มอลลี่มีให้ทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่หลังจากนั้นเธอกลับพบปัญหาใหม่เพิ่มขึ้น นั่นก็คือ สองสามีภรรยาผู้เป็นมิตรเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นคนรักของฉีหย่วนเหิง ทั้งสองมักจะมองเธอและพูดจาแปลกๆ จนทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจมาก พวกเขายังเข้าใจผิดอีกด้วยว่าที่เธอพยายามอธิบายเป็นเพราะเธอเขินอายต่างหาก และไม่คิดใส่ใจคำอธิบายของเธอแม้แต่น้อย 

 

 

ไม่รู้ว่าฉีหย่วนเหิงคิดอะไรอยู่ เพราะเขาไม่ยอมชี้แจงอะไรเลย เวลาเธอพยายามอธิบายเขาก็เอาแต่ยิ้มโดยไม่ยอมพูดอะไรสักคำ จนทำให้สองสามีภรรยาเข้าใจผิดคิดว่าเธอกำลังเขินอาย และไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพยายามบอก 

 

 

 จนกระทั่งหลังอาหารค่ำแสนอร่อย สองสามีภรรยาจัดห้องพักให้เธอกับฉีหย่วนเหิงนอนห้องเดียวกัน และนั่นทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

ฉีหย่วนเหิงเห็นว่าสถานการณ์เลยเถิดเกินไปแล้วจึงยอมเปิดปากอธิบายเสียที และนั่นทำให้สองสามีภรรยาถึงบางอ้อว่าทั้งสองไม่ใช่คู่รักกัน ชายเจ้าของบ้านมองฉีหย่วนเหิงด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นพูดอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว เธองงเป็นไก่ตาแตกเพราะฟังไม่ออกเลยสักคำ ได้แต่มองหน้ามอลลี่อย่างขอความช่วยเหลือ 

 

 

แต่มอลลี่ที่ทำหน้าที่เป็นล่ามให้เธอมาตลอดทั้งคืน เวลานี้กลับเพียงแค่ยิ้มเม้มริมฝีปากเท่านั้นโดยไม่เอ่ยอันใด มอลลี่พาเธอไปยังห้องพักที่จัดเอาไว้ให้เธอใหม่ จากนั้นพาเธอเดินชมห้องพักโดยรอบอย่างกระตือรือร้น ตบท้ายด้วยคำถามที่ว่าเธอยังต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ 

 

 

เธอดูท่าทางแล้วมอลลี่คงไม่ยอมพูดอะไรแน่ จึงไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบอีก เธอมองสำรวจห้องพักที่มีของใช้ครบครันแล้วเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ มอลลี่เพียงหัวเราะเบาๆ “คุณเป็นเพื่อนของฉี ก็เท่ากับเป็นเพื่อนของเราด้วย คุณไม่ต้องเกรงใจนะคะ” เอ่ยจบแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป 

 

 

มอลลี่เดินออกมาจากห้องนอนของเฉียวซือมู่ก็ไม่เห็นสามีของตัวเองกับฉีหย่วนเหิงอยู่หน้าห้องแล้ว เธอเดินไปยังหน้าประตูห้องนอนของฉีหย่วนเหิง ยังไม่ทันเปิดประตูออกก็ได้ยินเสียงของสามีที่กำลังเอ่ยถามฉีหย่วนเหิงดังลอดออกมา “สาวสวยขนาดนั้นทำไมคุณถึงไม่จีบเธอล่ะ คนในประเทศของคุณหัวโบราณมากเลยเหรอ? ทำไมผมถึงได้ยินมาว่าความจริงแล้วพวกคุณเปิดกว้างมากล่ะ หรือว่ามันเป็นความเข้าใจผิด?” 

 

 

ชายเจ้าของบ้านชื่อฮานส์เป็นชาวตะวันตกเต็มขั้น เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉีหย่วนเหิงชอบหญิงสาวคนนั้นอย่างเห็นได้ชัดแต่กลับไม่กล้าจีบเธอเสียอย่างนั้น 

 

 

มอลลี่เดินเข้าไปร่วมวงด้วยอีกคน เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ฉี หญิงสาวคนนั้นเป็นคนสวยมาก ทั้งน่ารัก ทั้งเรียบร้อย ฉันว่าสมองคุณต้องมีปัญหาแน่ที่ไม่ยอมจีบเธอ” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงยิ้มเจื่อนพลางส่ายศีรษะเบาๆ “เธอมีคนที่ชอบแล้ว” 

 

 

ฮานส์และมอลลี่พร้อมใจกันเงียบในฉับพลัน สักพักมอลลี่จึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน แล้วคนรักของเธอล่ะ? ทำไมคนรักของเธอถึงไม่มาด้วย?” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงหันไปตอบ “เธอเพิ่งอกหัก คนที่เธอรักไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ตอนนี้เธอกำลังเสียใจมาก” 

 

 

ฮานส์คิดได้ทันที เขาขยิบตาให้ฉีหย่วนเหิงพลางจับหัวไหล่ของเขาเอาไว้ จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นี่เป็นโอกาสของคุณแล้ว หญิงสาวที่กำลังเสียใจอ่อนไหวง่ายที่สุด ผมพูดจริงนะ” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงไม่อยากจะเชื่อ เพราะเขาเห็นเองกับตามาแล้วว่าเธอเศร้าโศกเสียใจมากมายแค่ไหน เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าจะสามารถแทนที่จิ้นหยวนได้ “จริงเหรอ? คุณไม่ได้หลอกผมนะ” 

 

 

“ก็จริงนะสิ!” เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตัวเอง ฮานส์ยอมเสียสละเล่าเรื่องของตัวเองเป็นตัวอย่างให้เขาฟัง “ตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมก็ใช้วิธีนี้จีบดาวมหาวิทยาลัยจนติดนะแหละ โอ้ พระเจ้า ตอนนั้นเธอ… โอ๊ย!” 

 

 

ยังไม่ทันจะเอ่ยจบพลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากติ่งหูของตัวเองจนต้องหยุดพูด ฮานส์เพิ่งจะสนุกได้ไม่นานก็ต้องพบกับความทุกข์เสียแล้ว ใบหน้าของเขาเหยเกพลางร้องโอดโอยอย่างขอความเมตตา “ที่รัก ผมผิดไปแล้ว…” 

 

 

มอลลี่ไม่สนใจคำร้องขอของฮานส์สักนิด เธอหยิกหูของฮานส์เอาไว้ไม่ปล่อยพลางหันไปเอ่ยกับฉีหย่วนเหิงพลาง “ฉันคิดว่าเธอเหมาะสมกับคุณมาก เพราะฉะนั้น กล้าๆ หน่อย ตามจีบเธอเลย ฉันต้องขอตัวก่อน เพราะต้องกลับไปฟังเรื่องของคุณฮานส์ว่าจีบสาวสวยที่สุดในมหาวิทยาลัยติดได้ยังไงที่ห้องต่อ…”