ฉีหย่วนเหิงยกยิ้มมุมปากอย่างกลั้นไม่ไหว เขาทำไม้ทำมือเป็นเชิงบอกให้ฮานส์รักษาตัวรอดเองก็แล้วกัน ฮานส์หน้าเ**่ยวหน้าแห้ง คงกำลังเสียใจอย่างสุดซึ้งที่พูดออกไปแบบนั้น 

 

 

เสียงปิดประตูดังปังกั้นเสียงโมโหของมอลลี่เอาไว้นอกห้อง 

 

 

ประตูห้องที่ปิดลงทำให้รอยยิ้มมุมปากของฉีหย่วนเหิงค่อยๆ หุบลงไปด้วย 

 

 

เพราะความบังเอิญวันนี้เขาถึงมีโอกาสได้ใกล้ชิดเธอ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองสามารถเอาชนะใจเธอได้ง่ายๆ เพราะเขารู้ดีแก่ใจว่าในใจเธอมีแต่จิ้นหยวนคนเดียวเท่านั้น 

 

 

เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ไม่ต้องรีบ ยังมีเวลาอีกเยอะ ขอแค่จิ้นหยวนยังอยู่กับหร่วนเซียงเซียงไปเรื่อยๆ สักวันโอกาสก็ต้องเป็นของเขา 

 

 

ตอนนี้ยังมีเรื่องที่เขาต้องทำอีกเยอะ เขาจะมัวเสียเวลาไม่ได้แล้ว 

 

 

เขาครุ่นคิดสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้ววางแผนทีละข้อๆ เขารอเธออยู่ตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ วันที่เธอยอมตัดใจจากจิ้นหยวน แล้วทำไมเขาจะไม่ยื่นมือช่วยเหลือเธอล่ะ? 

 

 

 ในขณะเดียวกัน เฉียวซือมู่ที่จัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วกำลังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงนุ่มหลังใหญ่ เธอจ้องมองฝ้าเพดานนิ่งด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย 

 

 

วันนี้เธอเพิ่งจะประสบเหตุการณ์ที่ตัวเองไม่เคยนึกฝันมาก่อน และเธอไม่เคยได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจมากขนาดนี้มาก่อนจนเป็นเหตุทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ 

 

 

เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ หัวใจเธอเจ็บปวดราวถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ต่อหน้าฉีหย่วนเหิง เธอไม่อาจเผยให้เขาเห็นความเจ็บปวดเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเธออยู่ จึงได้แต่เก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ส่วนลึกสุดในจิตใจ แต่ความเงียบสงัดในยามค่ำคืนเช่นนี้ ทำให้ความเจ็บปวดที่ถูกกักเก็บเอาไว้ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาเมื่อตอนกลางวันทะลักทลายออกมาจากกรงขังที่เธอสร้างขึ้น ความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาทำให้เธอทรมานจนแทบหายใจไม่ออก  

 

 

ทำไมเขาถึงทำกับเธอแบบนี้? ทำไม? เธอทำผิดอะไร? จิ้นหยวน คุณช่างโหดร้ายเหลือเกิน… 

 

 

ความเศร้าโศกเสียใจครอบงำจิตใจเธอ ดวงตาเลื่อนลอยเบิกกว้าง หยาดน้ำใสค่อยๆ ไหลริน… 

 

 

ค่ำคืนนี้ เสียงร้องไห้ไม่ขาดสาย จนกระทั่งรุ่งเช้าเสียงร้องไห้จึงค่อยๆ เงียบเสียงลง 

 

 

ฉีหย่วนเหิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องนอนอันมืดมิดตลอดทั้งคืน สีหน้าของเขาเย็นเยียบ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสารและจนปัญญา เสียงร้องไห้ของเธอทำให้เขาเกือบจะไปปลอบใจเธออยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ สองมือจับที่พักแขนเอาไว้แน่น เขาจับที่พักแขนที่ทำจากไม้มะฮอกกานีแรงมากจนเกือบจะทำให้มันแหลกคามือ 

 

 

เขาได้แต่นั่งฟังเสียงร้องไห้เสียใจจนแทบขาดใจของเธออยู่ในห้องมืดๆ อย่างเงียบๆ เขาเจ็บปวดรวดร้าวราวหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ไม่ต่างกัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าค่ำคืนอันมืดมิดจะยาวนานขนาดนี้ มันยาวนานจนเขากลัวว่าฟ้าสว่างคงไม่มาเยือนอีกแล้ว 

 

 

ในที่สุดเขาก็หมดความอดทน เสี้ยววินาทีที่คิดว่าตัวเองทนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วนั้น พลันฟ้าสว่างขึ้น และเสียงร้องไห้ของเธอก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง 

 

 

เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูห้อง จากนั้นหยิบกุญแจห้องที่มอลลี่ “ไม่ได้ตั้งใจ” ทิ้งเอาไว้เปิดประตูห้องนอนเธอออกอย่างเบามือ แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทำให้เขาสามารถมองเห็นเฉียวซือมู่ที่หลับสนิทไปแล้วได้อย่างชัดเจน 

 

 

เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอนแล้วมองใบหน้าของเธอ สิ่งที่ปรากฎแก่สายตาของเขาคือเปลือกตาบวมเป่งเหมือนลูกท้อที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เขาสูดหายใจลึกๆ หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาชุบน้ำแล้วบิดจนหมาด จากนั้นวางผ้าขนหนูผืนนั้นลงบนเปลือกตาที่ปิดสนิทของเธอ 

 

 

เธอร้องไห้หนักจนเหนื่อย นิ้วมือเธอกระดิกเล็กน้อยหลังรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเขา จากนั้นเธอจมดิ่งสู่ห้วงนิทราอีกคราโดยที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ อีก 

 

 

เขาเปลี่ยนผ้าขนหนูผืนใหม่ให้เธออย่างเบามือ รอจนกระทั่งเห็นว่าเปลือกตาที่บวมเป่งของเธออาการทุเลาลงแล้วจึงลุกขึ้น เขาเก็บผ้าขนหนูให้เรียบร้อย จากนั้นเดินกลับไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอนของเธออีกครั้ง เขาค่อยๆ โน้มกายลงแล้วฝังจุมพิตลงบนแก้มเธอเบาๆ จากนั้นเอ่ยเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างหูเธอ “สักวันคุณต้องเป็นของผม ถึงตอนนั้นผมจะไม่มีวันทำให้คุณต้องร้องไห้เสียใจอีก” 

 

 

เธอยังคงหลับสนิทและไร้ปฏิกิริยาตอบรับใดๆ เหมือนเดิม 

 

 

เขายืนตัวตรงแล้วมองเธอนิ่งอีกสักพัก จากนั้นเดินออกจากห้องไป 

 

 

เฉียวซือมู่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าทุกการกระทำของตัวเองที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ถูกใครบางคนคอยเฝ้ามองดูอยู่เงียบๆ และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกคนอื่นแต๊ะอั๋งเข้าให้แล้ว เธอไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับความประหลาดใจยามมองหน้าตัวเองในกระจก ตอนแรกเธอคิดว่าตาของเธอคงจะบวมเป่งจนออกไปพบหน้าผู้คนไม่ได้เสียแล้ว แต่ปรากฎว่าสภาพของมันดูดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก  

 

 

น่าแปลก เธอจำได้ว่าทุกครั้งที่เธอร้องไห้ ตาของเธอจะต้องบวมเป่งทุกครั้งนี่นา เมื่อคืนเธอร้องไห้หนักและนานมากขนาดนั้น แต่ทำไมถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ถ้าไม่เห็นว่าดวงตาเธอยังแดงอยู่ เธอคงคิดว่าเมื่อคืนตัวเองฝันไปทั้งคืน ไม่ใช่ร้องไห้ทั้งคืน 

 

 

เธอพยายามเพ่งมองตัวเองในกระจกแต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา สุดท้ายเธอก็ต้องยอมแพ้แล้วไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เธอเก็บซ่อนความเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้ในใจแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง 

 

 

เมื่อคืนมอลลี่แนะนำที่ต่างๆ ในคฤหาสน์หลังนี้ให้เธอรู้จักคร่าวๆ แล้ว ทำให้เธอรู้ว่าแม้คฤหาสน์หลังนี้จะใหญ่โตมโหฬารมาก แต่กลับมีคนอยู่น้อยเหลือเกิน นอกจากสองสามีภรรยามาร์กีซแล้ว ที่เหลือเป็นพ่อบ้าน สาวใช้และคนสวน รวมกันแล้วยังไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ 

 

 

เธอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย คฤหาสน์หลังใหญ่โตขนาดนี้แต่มีคนดูแลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แล้วจะดูแลอย่างไรไหว? 

 

 

แต่เมื่อคิดได้ว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น เธอจึงไม่เอามาใส่ใจอีก 

 

 

เธอค่อยๆ เดินไปยังห้องรับแขกตามความทรงจำเมื่อคืนนี้ ฮานส์กับฉีหย่วนเหิงไม่ได้อยู่ตรงนั้น มีเพียงมอลลี่คนเดียวที่กำลังนั่งดูแท็บเล็ตในมืออย่างเซ็งๆ เธอเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาคือเฉียวซือมู่เธอจึงคลี่ยิ้มสดใสพลางเอ่ยทักทายเธออย่างกระตือรือร้น “ไฮ อรุณสวัสดิ์” 

 

 

รอยยิ้มของมอลลี่สดใสมากจนเฉียวซือมู่อารมณ์ดีตามไปด้วย เธอยิ้มตอบ “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” 

 

 

มอลลี่เป็นคนร่าเริงแจ่มใสและเป็นกันเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอรู้สึกดีกับเฉียวซือมู่มาก ยิ่งรู้ว่าเฉียวซือมู่เป็นผู้หญิงที่ฉีหย่วนเหิงชอบด้วยแล้ว เธอยิ่งกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเห็นเฉียวซือมู่เดินเข้ามาในห้องรับแขก เธอจึงรีบเข้าไปจูงมือเฉียวซือมู่ให้ไปนั่งลงบนโซฟาแล้วพูดจ้อไม่หยุดราวกับรู้จักกันมานานมาก เมื่อคืนเธอพยายามพูดภาษาอังกฤษช้าๆ เพื่อให้เฉียวซือมู่เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ตอนนี้เธอตื่นเต้นมากจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องพูดภาษาอังกฤษเร็วเป็นไฟแลบด้วย 

 

 

เฉียวซือมู่ฟังออกแค่ประโยคแรกๆ เท่านั้น ที่เหลือเธอได้แต่มองริมฝีปากของมอลลี่ที่ขยับไปมาด้วยความงุนงงและลำบากใจยิ่งนัก 

 

 

จนกระทั่งเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มคนหนึ่งช่วยเธอเอาไว้ “มอลลี่ คุณพูดเร็วขนาดนั้นเดี๋ยวแขกของเราก็ตกใจหมดหรอก” 

 

 

เธอจำได้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของฮานส์ที่เป็นชายเจ้าของบ้าน เธอหันไปมองเขาด้วยความโล่งอก แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นฉีหย่วนเหิงอยู่กับเขา 

 

 

 ฮานส์สังเกตเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของเธอแล้วยักไหล่เล็กน้อย “ฉีออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว เขาบอกว่ามีธุระต้องไปจัดการ น่าจะกลับช่วงบ่ายๆ” 

 

 

อย่างนั้นเหรอ? เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จู่ๆ ก็ต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย แม้ท่าทางของสองสามีภรรยาคู่นี้จะเป็นคนดีมากก็เถอะ แต่พวกเขาก็เป็นคนแปลกหน้าที่เธอเพิ่งรู้จักเมื่อคืนนี้เอง เธอจึงรู้สึกยังไม่สนิทใจสักเท่าไหร่ แล้วจู่ๆ ฉีหย่วนเหิงยังหายตัวไปอีก มันทำให้เธอรู้สึกว้าเหว่มากยิ่งขึ้น