ภาคที่ 4 ตอนที่ 143 เรื่องไม่เป็นดังปรารถนา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นสบาย ในวังไทเฮายิ่งบุปผานานาสีสัน ยามฮ่องเต้เสด็จมานางกำนัลและขันทีทั้งหลายกำลังจัดกระถางดอกไม้ ดอกเบญจมาศนานาสีสันแข่งกันอวดโฉม 

 

 

ในตำหนักเสียงหัวเราะของสตรีทั้งหลายดังมา ขนาบด้วยเสียงเอะอะของพวกเด็กน้อย 

 

 

ฮ่องเต้ห้ามขันทีไม่ให้แจ้ง ดำเนินเข้าไป เห็นด้านในตำหนักไทเฮาพระสนมองค์หญิงพระชายาทั้งหลายนั่งล้อมวงอยู่ แล้วมีเด็กน้อยทั้งหลายอายุมากอายุน้อยมีนางกำนัลและขันทีทั้งหลายเล่นเป็นเพื่อน เห็นภาพครอบครัวสุขสันต์นี่ ฮ่องเต้ก็ทรงเผยรอยยิ้ม 

 

 

“ฮ่องเต้มาแล้ว” ไทเฮาแย้มสรวลตรัส 

 

 

ผู้คนในตำหนักตอนนี้ถึงรู้สึกตัว คำนับต้อนรับอย่างยินดี สนทนาพาทีกันอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนก็ขอตัวออกไปตามสัญญาณที่ไทเฮาส่งมา 

 

 

“ฮ่องเต้พักนี้สำราญพระทัยมากนะ” ไทเฮาตรัส 

 

 

ฮ่องเต้ตรัสรับ 

 

 

“ประเทศร่มเย็นประชาชนสงบสุขการปกครองโปร่งใส” พระองค์ตรัสตอบ 

 

 

ไทเฮาพยักหน้าอย่างพอพระทัย 

 

 

“นี่ก็ถูกต้องแล้ว เดิมก็ควรสำราญพระทัย” นางเอ่ย “ส่วนขุนนางที่ไม่เชื่อฟังไม่กี่คน พระองค์เป็นฮ่องเต้คนหนึ่ง ไปพิโรธอะไรพวกเขา ลดตัว” 

 

 

ฮ่องเต้ขานรับอย่างเคารพ 

 

 

“ขุนนางนี่ใช้หรือไม่ใช้ ใช้อย่างไรล้วนเป็นเจ้าตัดสิน พวกเขาอยู่บนฝ่ามือของเจ้า ถูกพวกเขาจับวางซ้ายขวาได้ที่ไหน” ไทเฮาตรัส 

 

 

พูดง่าย ท่านไม่ได้เผชิญหน้ากับพวกเขาเสียหน่อย ฮ่องเต้แย้งในใจ บนหน้าไม่กล้าเผยออกมาสักนิด ยิ่งขานรับอย่างเคารพ 

 

 

“เสด็จแม่สั่งสอนได้ถูกต้อง” พระองค์ตรัสตอบ 

 

 

ไทเฮาทอดพระเนตรเขาทีหนึ่ง บุตรของตนตนรู้จักดีแก่ใจ คงเพราะตั้งแต่เล็กเล่นละครเล่นจนชินแล้ว จึงมักหน้าอย่างใจอย่าง ปากเอ่ยวาจาน่าฟัง ในใจไม่แน่ว่ากำลังบ่นอะไรอยู่ แต่รอยสรวลบนพระพักตร์ฮ่องเต้วันนี้กว้างอยู่ตลอด 

 

 

“มีเรื่องดีอะไรหรือ?” นางเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ 

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรซ้ายขวานิดหนึ่ง คล้ายระวังอะไร 

 

 

“มองอะไรเล่า” ไทเฮาคิ้วตั้งทันที “ข้าล่ะทนมองท่าทางเช่นนี้ของเจ้าไม่ได้! วันนี้เจ้าเป็นฮ่องเต้แล้ว นี่เป็นใต้หล้าของเจ้า เจ้าลับๆ ล่อๆ ทำอะไร?” 

 

 

“เสด็จแม่โปรดระงับโทสะ” ฮ่องเต้รีบตรัส ขยับเข้าใกล้อีกครั้ง กดเสียงเบาเอ่ย “ของเหล่านั้นเมื่อตอนนั้นเอากลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไทเฮามองเขาทีหนึ่ง 

 

 

“ตอนนั้นของมากมายปานนั้น? อันไหนเล่า?” นางตรัสถาม 

 

 

ฮ่องเต้ยิ่งขยับเข้าใกล้ 

 

 

“เงิน” พระองค์ตรัสเสียงเบา 

 

 

ไทเฮาสีหน้าเปลี่ยนไปมาวูบหนึ่ง 

 

 

“ของนั่นยังใช้ไม่หมดอีกรึ?” นางขมวดคิ้วเอ่ย 

 

 

“ยังเหลือไม่น้อย” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเบา “ก็คิดไม่ถึงว่าคนแซ่ฟางนั่นจะเก่งกาจเช่นนี้ ตั้งตระกูลแล้วเงินยังเหลือไม่น้อย แล้วยังซื่อสัตย์ เขามีเงินแล้วก็ไม่ใช่เงินนั่นอีกต่อไป” 

 

 

“ซื่อสัตย์? ข้าว่าเขาเจ้าเล่ห์ รอคอยเก็บของนี่ไว้บีบน่ะสิ” ไทเฮาตรัสเสียงเย็น 

 

 

ฮ่องเต้ขานรับ 

 

 

“เวลานั้นเสด็จพ่อยังอยู่ จึงไม่กล้าบีบบังคับมากเกินไป กลัวว่าหาก…” พระองค์ตรัสอธิบาย “แต่ตอนนี้ดีแล้ว ล้วนเอากลับมาแล้ว ราชโองการก็ดี เงินก็ดี ไม่มีช่องโหว่อีกต่อไป” 

 

 

ไทเฮาขานตอบ 

 

 

“ในเมื่อเรื่องจัดการเสร็จแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเขารีบตายรีบเกิดใหม่เถอะ” นางเอ่ย แล้วขานอ้ออีกครั้ง “ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็นับว่ามีความชอบต่อฝ่าบาท เกียรติยศที่ควรได้ยามเป็นยามตายล้วนไม่อาจขาด” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็โบกหัตถ์ 

 

 

“มากหน่อยล่ะ” 

 

 

ฮ่องเต้ขานรับ ในดวงตาซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ แล้วก็คล้ายยกหินมหึมาออกจากหัวใจผ่อนคลายอย่างยากจะปิดบัง 

 

 

“ดูท่าท่างนี่ของเจ้า” ไทเฮาถลึงตาอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องแค่เท่านี้มีค่าให้เป็นเช่นนี้รึ” 

 

 

ฮ่องเต้เพียงสรวลขานรับ 

 

 

ไทเฮาก็สรวลด้วยแล้ว 

 

 

“ข้ารู้พระทัยของท่าน ที่จริงไม่จำเป็นอย่างสิ้นเชิง” นางสีหน้าติดจะเย็นเยียบมองไปด้านในตำหนัก “ราชบัลลังก์นี่เดิมทีก็เป็นของท่าน ใต้หล้านี่ก็เป็นของท่านเช่นกัน ส่วนรัชทายาทพี่ชายของท่าน เขาน่ะสมควรตาย” 

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางด้านในตำหนักโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ด้านนอกแสงตะวันสว่างงดงาม ยิ่งขับเน้นด้านในตำหนักให้มืดหม่นขึ้นหลายส่วน ในความมืดคล้ายมีบุรุษคนหนึ่งยืนอยู่ 

 

 

เขาสวมชุดผ้าไหมหรูหรา ศีรษะสวมรัดเกล้าหยก ท่วงท่าสูงส่งสง่างาม 

 

 

“เสด็จแม่พักนี้เสวยพระกระยาหารได้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” พระองค์ตรัส เสียงนุ่มสุขุม ทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นไยแต่ก็ไม่จงใจ เหมือนความชิดใกล้ที่เกิดจากใจเช่นนั้นระหว่างมารดาและบุตรอย่างแท้จริง 

 

 

พระหัตถ์ที่วางอยู่บนพระชานุกำหมัด 

 

 

ที่จริงพระองค์จำหน้าตาของพี่ชายองค์รัชทายาทคนนี้ได้ไม่ชัดแล้ว ตอนเล็กพระองค์ได้แม่นมเลี้ยงจนโต ต่อมาอายุยังน้อยก็ออกจากเมืองหลวงไปซานตง จำนวนครั้งที่กลับมานับนิ้วได้ 

 

 

แต่พระองค์กลับจำบุคลิกของเขาได้ ทุกคนล้วนชื่นชมบอกว่าฮองเฮาอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี เป็นภาพเหมือนของฮองเฮา 

 

 

เขาถึงเป็นโอรสแท้ๆ ของฮองเฮา ทว่าเขาเดินออกมากลับมีแต่ถูกคนล้อเลียน 

 

 

“นั่นไม่ใช่ล้อเลียน นั่นคืออดกลั้น” ฮ่องเฮาเตือนพระองค์เสียงเย็นชา 

 

 

อดกลั้น? ในใจฮ่องเต้หัวเราะหยัน ในเมื่อพระองค์เดิมก็ควรเป็นฮ่องเต้ ไยต้องอดกลั้นเช่นนี้? ทำไมพระองค์ต้องเหนื่อยยากปานนี้ถึงได้เป็นฮ่องเต้คนนี้เล่า? อาศัยอะไรเขาต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ 

 

 

พูดเสียตนเองร้ายกาจนัก ถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้อาศัยตัวเขาเองถึงทำได้ 

 

 

ฮ่องเต้มองไปด้านในตำหนัก แววตาเหี้ยมเหรียมยกพระหัตถ์สะบัดวูบหนึ่ง คนในภาพลวงตาผู้นั้นฉับพลันกลายเป็นความว่างเปล่า 

 

 

นอกตำหนักเสียงหัวเราะของเด็กๆ ลอยมา ไม่ทราบพวกนางกำนัลกำลังเล่นการละเล่นอันใดเป็นเพื่อนพวกเขา 

 

 

ได้ยินเสียงหัวเราะนี่ ใบหน้าของไทเฮาพลันผ่อนคลายลงหลายส่วน 

 

 

“ครอบครัวเดียวกันก็คือครอบครัวเดียวกัน แต่ให้กำเนิดเองกับผู้อื่นให้กำเนิด อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน” นางตรัส พลางมองฮ่องเต้ “เจ้าจำไว้ เขาเดิมทีก็ต้องตาย เพียงแค่เรื่องช้าเร็วเท่านั้น การที่เจ้าเป็นฮ่องเต้นี่ก็เป็นเพียงเรื่องช้าเร็วเท่านั้นเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจโต้แย้งได้” 

 

 

ฮ่องเต้ขานรับอย่างเคารพ 

 

 

“เรียกเด็กๆ เข้ามาเถอะ” ไทเฮาตะเบ็งเสียงเอ่ย “วันนี้อารมณ์ดี รับสำรับที่นี่ให้หมด” 

 

 

พูดพลางก็มองฮ่องเต้ทีหนึ่ง 

 

 

“ฮ่องเต้ไม่ต้องแล้ว ราชกิจเร่งด่วน” 

 

 

คนงามไม่ให้รับ งานเลี้ยงรื่นเริงไม่อนุญาต ในดวงตานางเขาก็เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งสินะ? คนที่ตนเลี้ยงกับคนที่คนอื่นเลี้ยง อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ในใจฮ่องเต้หัวเราะหยัน 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” พระองค์แย้มสรวลเอ่ยอย่างนอบน้อม เพิ่งเดินออกจากตำหนักก็เห็นขันทีคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งมา 

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท” เขาไม่ทันสนใจฐานะพิธีการ กระทั่งคำนับยังลืม ประชิดเข้ามา “จดหมายจากหยวนกงกงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮ่องเต้รับไปท่าทางไม่ใส่ใจ แกะครั่งออก จดหมายสั้นกระชับยิ่ง กวาดตามองทีหนึ่งสีหน้าอ่อนโยนของเขาพลันเปลี่ยนไป หมุนร่างดำเนินเข้าไปในตำหนักของไทเฮา 

 

 

ฮองเฮาพระสนมองค์หญิงทั้งหลายเพิ่งเข้ามายังไม่ทันนั่งมั่นคงก็รีบลุกขึ้นอีก 

 

 

ฮ่องเต้ไม่สนใจก้าวเร็วไวไปถึงตรงหน้าไทเฮา 

 

 

“เสด็จแม่ ไม่ดีแล้ว เงินไม่อยู่แล้ว” พระองค์เอนตัวมาที่หูเอ่ยเสียงเบา 

 

 

ไทเฮาสีหน้าตะลึง จากนั้นโกรธจัด 

 

 

“ตัวไร้ประโยชน์!” นางตวาด 

 

 

ฮ่องเต้กลัวตัวสั่นเทาวูบหนึ่ง ฮองเฮาพระสนมทั้งหลายยิ่งสีหน้าซีดขาวลุกขึ้น 

 

 

“ออกไปให้หมด” ไทเฮาคิ้วตั้งเอ่ย 

 

 

ฮองเฮาไม่กล้าชักช้ารีบพาคนรีบร้อนถอยอออกไป ฮ่องเต้ไม่ทันรู้ตัวจะดำเนินตามไปด้วย 

 

 

“ใครให้เจ้าไป?” ไทเฮาตวาด 

 

 

ฮ่องเต้รีบหยุดยืน 

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ไทเฮาตวาด 

 

 

“รายละเอียดยังไม่ทราบชัด บอกเพียงว่าตอนเดินทางมาถึงเหอหนานถูกปล้น” ฮ่องเต้ตรัส “หยวนเป่ากำลังไล่สืบอยู่” 

 

 

ไทเฮามองเขา 

 

 

“ไร้ประโยชน์จริงๆ” นางกัดฟันเอ่ย “เรื่องเช่นนี้ยังทำให้เรียบร้อยไม่ได้” 

 

 

บางทีนางอาจกำลังด่าคนที่ลงมือทำเรื่องอย่างเช่นหยวนเป่าอยู่ แต่ได้ยินอยู่ในพระกรรณฮ่องเต้ รู้สึกว่าคือด่าพระองค์ 

 

 

ไร้ประโยชน์… 

 

 

ฮ่องเต้ก้มเศียร แววตาอับอายโกรธเกรี้ยว 

 

 

นางคิดว่านางเป็นใคร ก็แค่ขยับปากนิดเดียว ส่วนพระองค์ตั้งแต่เล็กจนโตทำงานเท่าไร งานเท่าไรล้วนเป็นเขาทำเอง ไร้ประโยชน์ นางคิดว่าอาศัยแค่นางก็เป็นฮ่องเต้ได้หรือ? 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

“ในวังเกิดเรื่องรึ?” 

 

 

ได้ยินคำนี้ ลู่อวิ๋นฉีพลันเงยหน้าขึ้น 

 

 

“ไม่มีทาง” เขาส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างไม่ลังเล 

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงลังเลครู่หนึ่ง 

 

 

“รู้เพียงฮ่องเต้ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ไทเฮาก็บันดาลโทสะ” เขาเอ่ย พูดถึงตรงนี้ก็เก็บซ่อนความโกรธไว้อยู่บ้าง “จดหมายนี่ส่งมาทางลูกน้องของขันทีแซ่หยวนคนนั้น ฝ่าบาทจัดสรรตำแหน่งเจ้าพนักงานจับกุมอะไรอันหนึ่งจากกรมขันทีพิธีการให้เขา ทำงานแปลกประหลาดทั้งยังโอหัง กระทั่งพวกเราล้วนยุ่งไม่ได้”  

 

 

นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่หมายความว่าฮ่องเต้ไม่ไว้วางพระทัยพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรเช่นนั้นแล้วหรือ? การมีอยู่ของพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรขึ้นอยู่กับความไว้วางพระทัยของฮ่องเต้อย่างสิ้นเชิง หาก… 

 

 

สีหน้าลู่อวิ๋นฉีนิ่งเฉย 

 

 

               “ล้วนทำงานเพื่อฝ่าบาท” เขาเอ่ยเรียบๆ “ไม่มีสิ่งใดแปลก เชื่อฟังฝ่าบาทก็พอ คนอื่นเรื่องอื่นล้วนไม่ใช่ธุระ” 

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงทิ้งมือขานรับ 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงียบงันครู่หนึ่ง 

 

 

“น่าจะเป็นเรื่องที่หยางเฉิง” เขาเอ่ย 

 

 

นี่คือตอบคำพูดก่อนหน้านี้ หัวหน้ากองพันเจียงขมวดคิ้ว 

 

 

“หยางเฉิงก็ไม่มีเรื่องอันใด แค่การแย่งสมบัติตระกูล” เขาเอ่ยขึ้นแล้วท่าทางละอายอยู่บ้าง “พวกผู้น้อยจะสืบทิศทางที่คุณหนูจวินไปออกมาให้เร็วที่สุดแน่นอนขอรับ” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีกลับลูบโต๊ะ 

 

 

“นาง ไม่ได้อยู่ที่หยางเฉิงหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น 

 

 

ตระกูลฟางแสร้งทำทีว่าคุณหนูจวินอยู่ที่หยางเฉิง หัวหน้ากองพันเจียงตะลึง แต่นางไม่อยู่นะ 

 

 

ถ้าเช่นนั้นความหมายของลู่อวิ๋นฉีก็คือจะปิดบังให้นาง? 

 

 

หากฮ่องเต้พิโรธเพราะเรื่องที่หยางเฉิงจริงๆ นั่นใช่เกี่ยวข้องกับคุณหนูจวินหรือไม่? 

 

 

จะปิดบังหรือ? 

 

 

“ขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงทิ้งมือลงขานรับ 

 

 

………………………