ภาคที่ 4 ตอนที่ 144 เอามันกลับมาให้ข้าใช้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เพราะการแย่งสมบัติตระกูลของตระกูลฟาง เจ้าพนักงานในที่ว่าการอำเภอหยางเฉิงจึงวุ่นวายหัวไหม้ ส่วนนายท่านขุนนางของอำเภอหยางอู่ในเขตเหอเหนานก็ปวดหัวอยู่บ้างเช่นกัน 

 

 

“นี่เป็นเรื่องใหญ่! เรื่องใหญ่หลวง! รีบเรียกกำลังพลค้นหาจับกุม!” 

 

 

เสียงตะโกนเช่นนี้คงอยู่ในที่ว่าการอำเภอมาครึ่งวันแล้ว โวยวายจนปวดหัว 

 

 

นายอำเภอของหยางอู่ยื่นมือกุมหน้าผาก เลิกเปลือกตามองบุรุษที่ผู้ชายก็ไม่ใช่ผู้หญิงก็ไม่เชิง จะว่าพ่อค้าแผงลอยก็ไม่เหมือนพ่อค้าแผงลอย จะว่าเศรษฐีก็ไม่คล้ายเศรษฐีห้าคนตรงหน้า 

 

 

เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่หลวง หยางอู่เคยมีเรื่องใหญ่หลวงเกิดขึ้นเรื่องเดียว 

 

 

“งั้นหรือ?” เขาลากเสียงยาวเอ่ยขึ้น “มีจอมพลังทุ่มหินอีกแล้วหรือไง? ข้าต้องรับบัญชาค้นหาทั่วหล้าสิบวันรึ?” 

 

 

เล่ากันว่าจางเหลียงรวบรวมจอมพลังลอบสังหารฉินสื่อหวงที่หาดปั๋วหลางอำเภอหยางอู่แต่พลาดถูกรถที่ติดตาม เพราะหาตัวไม่พบ จึงบัญชาให้ค้นหาทั่วหล้าสิบวัน 

 

 

ได้ฟังคำนี้ปุบทั้งห้าคนในโถงก็ตอบสนองไม่ทัน 

 

 

“ไม่ว่าสิบวันหรือห้าวัน ก็ต้องจับโจรนี่มาให้ได้” คนหนึ่งในนั้นยังเอ่ยอีก 

 

 

พวกบ้านนอกมาจากที่ไหน รองนายอำเภอหยางอู่หัวเราะพรืดแล้ว 

 

 

“ไม่ยักรู้ว่าที่แท้ฝ่าบาทฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว” เขาเอ่ย 

 

 

ทั้งห้าคนตะลึงนิดหนึ่ง ตอนนี้ถึงฉับพลันคิดได้ อับอายหงุดหงิดโดยพลัน 

 

 

“เจ้าลูกกระจ๊อก…” คนหนึ่งในนั้นกลั้นอารมณ์โกรธไม่อยู่ก้าวเข้าไปจะคว้ารองนายอำเภอ 

 

 

“พวกเจ้าจะทำอะไร?” รองนายอำเภออยู่กับนักเลงและอันธพาลจนคุ้นชินแล้ว ถอยหลังตะโกนเสียงแหลมทันที 

 

 

เจ้าพนักงานที่ยืนอยู่สองด้านพลันชูกระบองน้ำไฟ[1]ทิ่มล้อมพวกเขาไว้ 

 

 

เจ้าพนักงานที่ยามปกติได้แต่ขมขู่ชาวบ้านไม่กี่คนนี้ไม่อยู่ในสายตาพวกเขาสักนิด แต่ตอนนี้ก่อเรื่องไม่ได้ 

 

 

คนที่เป็นหัวหน้าห้ามพรรคพวกไว้ สีหน้าทะมึน 

 

 

“ใต้เท้า ของของพวกเราถูกขโมยที่โรงเตี๊ยม” เขาเอ่ยเสียงขรึม “เพราะของที่ถูกขโมยล้ำค่านัก อย่างไรก็ขอให้ใต้เท้าประกาศจับขโมยด้วย” 

 

 

รองนายอำเภอก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ได้ยินเข้าก็ยิ้ม 

 

 

“ถูกขโมยก็ถูกขโมยสิ ไม่ต้องโวยวายประหนึ่งสังหารคน” เขาเอ่ย พลางกวักมือเรียกนายท่านเข้ามา “เล่าสิ อะไรหาย?” 

 

 

“เงินหมื่นตำลึง” เขาเอ่ย 

 

 

รองนายอำเภอเบิกตาโต 

 

 

“เงินหมื่นตำลึง?” 

 

 

 เขาเอ่ยถามอย่างตกตะลึง จากนั้นหรี่ตาลงอีกหน “พวกเจ้าทำอันใด?” 

 

 

“เจ้าสนทำไมว่าพวกเราทำอะไร…” ในห้าคนมีคนอดไม่ได้ตวาดอีกหน 

 

 

รองนายอำเภอหัวเราะมองสำรวจพวกกเขาอย่างสงสัย 

 

 

“ข้าต้องพิสูจน์ความจริงลวงของเรื่องราวนี่ เงินหมื่นตำลึงมาอย่างไร?” เขาเอ่ยขึ้น 

 

 

“ของที่หายเป็นของพวกเรา ท่านไม่ไปจับโจร สอบสวนพวกเราทำอะไร?” คนผู้นั้นกลั้นความโกรธไม่ได้อีกต่อไป ก้าวเข้าไปแจกหนึ่งหมัดให้รองนายอำเภอ 

 

 

รองนายอำเภอกุมปลายจมูกร้อง ในจวนที่ว่าการอำเภอตกอยู่ในความโกลาหลทันที 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

“ตัวไร้ประโยชน์!” 

 

 

ในห้องมืดสลัว หยวนเป่าสีหน้าบึ้งตึงเอ่ย มองห้าคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า หลังร่างพวกเขายังมาสิบกว่าคนยืนกระจายอยู่อีก 

 

 

“ข้าให้พวกเจ้าแสร้งร้องทุกข์ ไม่ใช่ให้พวกเจ้าไปวิวาท” 

 

 

ทั้งห้าคุกเข่าอยู่บนพื้นตัวสั่นระริก 

 

 

“ใต้เท้า ขุนนางคนนั้นน่าโมโหเกินไปแล้ว” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงแหบ 

 

 

“น่าโมโห?” เสียงหยวนเป่าฉับพลันแหลมสูง “พวกเจ้าก็รู้จักน่าโมโหด้วยรึ? น่าโมโหอีกเท่าใด มีน่าโมโหกว่าพวกเจ้าตัวโง่งมเหล่านี้รึ?” 

 

 

เขาเดินไปมาในห้อง เหวี่ยงสองแขนอย่างโกรธเกรี้ยว 

 

 

“รถสามคัน ถูกขโมยใต้หนังตา พวกเจ้าเป็นคนตายรึ?” 

 

 

คนทั้งหมดในห้องก้มศีรษะ แต่เวลานั้นในตัวพวกเขามียาสลบ ไม่แตกต่างกับคนตาย แน่นอนคำนี้ไม่กล้าพูดออกมา 

 

 

“ใต้เท้า ขโมยรถสามคันอย่างเงียบเชียบไม่ใช่คนผู้เดียวทำแน่นอน นี่ต้องเป็นมหาโจรโจรภูเขาอะไร ดูท่าพวกเราถูกจับจ้องตั้งแต่แรกแล้ว” พ่อค้าวัยกลางคนผู้นั้นก้าวออกมาเอ่ย “ในเมื่อตัวตนเปิดเผยแล้ว…” 

 

 

เขาพูดพลางมองห้าคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เพื่อเอาตัวพวกเขาออกมาจากในที่ว่าการอำภออู่หยาง ไม่อาจไม่แสดงตัวตน 

 

 

“ก็เคลื่อนทางการทหารท้องถิ่นจับกุมเลยเถอะขอรับ” เขาเอ่ยต่อ “ไม่เช่นนั้นพวกเราลอบสืบหา ไม่สะดวกจริงๆ” 

 

 

“หาเอิกเกริก ก็สะดวกรึ?” หยวนเป่าคิ้วตั้งตวาด 

 

 

“ใต้เท้า ไม่มีสิ่งใดไม่สะดวก” พ่อค้ากัดฟันทีหนึ่ง ทำท่ามือฟันศีรษะทีหนึ่ง “อย่างมาก หลังจบก็จัดการให้หมด” 

 

 

ไม่ว่าโจร หรือทหารที่ช่วยจับกุม ขอเพียงเกี่ยวข้องกับเงินนี่ ไม่ว่าพวกเขาเห็นหรือไม่เห็นคำที่จารึกบนเงินหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องสนว่าพวกเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจความนัยของคำที่จารึกเหล่านี้ล้วนต้องตาย 

 

 

มีเพียงคนตายถึงปลอดภัยที่สุด 

 

 

หยวนเป่าสีหน้ายิ่งเย็นยะเยือก 

 

 

คนอื่นตายไม่ตายเขาไม่รู้ เขารู้แต่ว่าพวกเขาจะต้องตายด้วยแล้ว 

 

 

ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ใครทำ? เขาไม่ใช่โง่ถึงกับไม่เตรียมป้องกันสักนิด ออกจากหยางเฉิงพวกเขาก็สร้างตัวปลอมปิดบังสิบกว่าคน รถใส่เงินที่แยกกันออกไปก็มีตั้งยี่สิบกว่าคัน ปลอมปะปนจริงจนเขาเองยังแยกไม่ชัด 

 

 

ตลอดทางที่เดินทางมานี้กำลังคนของพวกเขาไม่ขาด อ้อมทางเปลี่ยนตัวตน ถึงขั้นยังถูกคนจับจ้องปล้นรถเงินไปอย่างเงียบเชียบได้อีก 

 

 

นี่เป็นการวางแผนล่วงหน้าหรือพบโดยบังเอิญ? 

 

 

“ตระกูลฟางด้านนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติสักนิดจริงหรือ?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

มีคนก้าวออกมาขานรับว่าใช่ 

 

 

“คนของพวกเราจับตาตั้งแต่ต้นจนจบ ตระกูลฟางด้านนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิด” เขาเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินกับท่านชายล้วนยังอยู่ที่ตระกูลฟางในหยางเฉิง ที่ศาลยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที ตอนนี้คุณหนูสามตระกูลฟางได้เปรียบแล้ว…” 

 

 

“ข้าไม่สนว่าใครได้เปรียบ” หยวนเป่าเสียงแหลมขัดเขา ท่าทางโมโห “ข้าเพียงอยากรู้ว่าใครปล้นเงินของข้าไป!” 

 

 

“ใต้เท้า ฝีมือนี่ ความเร็วนี่ย่อมต้องเป็นโจรเก่าสั่งสมมานานปีถึงทำได้” พ่อค้าเอ่ย สีหน้าขอคำสั่ง “ใต้เท้า จับขโมยกวาดล้างโจรเถอะ” 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

“พูดขึ้นมา ก็ต้องขอบคุณพวกเขาที่ระวังรอบคอบเช่นนี้” จูจั้นเอ่ย พลางสาดถังน้ำมันในมือขึ้นไปบนรถ “กวาดเงินมาได้มากกว่าที่คาดไว้ก่อนตั้งหนึ่งคัน” 

 

 

ถังน้ำมันรินรดหมดหยดสุท้าย คุณหนูจวินก็โยนคบไฟที่ลุกไหม้อยู่เข้าไป เสียงบึ้มทีหนึ่ง รถสามคันฉับพลันตกอยู่ในทะเลเพลิง 

 

 

แสงไฟร้อนระอุรวมถึงควันหนาทึบทิ่มแทงจมูก คุณหนูจวินถอยหลังก้าวหนึ่ง หลังจากนั้นมองคนสิบกว่าคนย้ายเงินลงมาจากรถแยกย้ายใส่ในสัมภาระ ในหีบหนังสือ ในตะกร้าสมุนไพร รถลากล้อเดียว ถึงขั้นยังมีอยู่ในชะลอมหมูด้วย 

 

 

พวกเขารูปร่างอ้วนผอมไม่เหมือนกัน บนหน้าก็ซื่อๆ ตรงไปตรงมา โยนไปในหมู่คนก็ไม่มีทางถูกมองเพิ่มสักหนประเภทนั้น เวลานี้สวมชุดก็แตกต่างไม่เหมือนกัน 

 

 

นี่ก็คือคนตัดฟืนในคำเล่าลือหรือ? 

 

 

“ไม่สู้บอกว่าเป็นโจร” จูจั้นลูบปลายจมูกท่าทางภาคภูมิใจอยู่บ้าง “โจรที่อยู่มานานปี โจรจินต้องสังหาร เงินก็ต้องปล้น” 

 

 

“คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่แดนเหนือหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยพลางมองเขา “ที่แท้ท่านล้วนพามาแล้ว” 

 

 

จูจั้นหัวเราะ แสงไฟส่องดวงหน้าของเขาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง 

 

 

“ข้าเคยบอกแล้ว ข้าระแวงฮ่องเต้ยิ่งนัก” เขาเอ่ย “โดยเฉพาะฮ่องเต้ที่เห็นชัดว่าไม่ชอบพวกเราพระองค์นี้” 

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว 

 

 

“พี่ใหญ่” 

 

 

ด้านนั้นมีคนเดินเข้ามาเอ่ยขึ้น 

 

 

“พวกเราเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วขอรับ” 

 

 

จูจั้นพยักหน้าให้พวกเขาแล้วโบกมือทีหนึ่ง 

 

 

“ไปเถอะ” เขาเอ่ยสั้นกระฉับแบไว 

 

 

คนสิบกว่าคนนี่ก็หมุนตัวอย่างฉับไวทันที บ้างขี่ม้า บ้างก้าวเดิน เข็นรถ แบกหาบกระจัดกระจายไปเช่นนี้ พริบตาก็หายไปจากในสายตา 

 

 

คุณหนูจวินมองจนเหม่อลอยอยู่บ้าง จนกระทั่งนางพลันคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งได้ 

 

 

“เงินเหล่านี้ท่านจะให้พวกเขาซ่อนไว้ที่ไหน?” นางเอ่ยถาม 

 

 

จูจั้นร้องเอ๋ 

 

 

“ไม่ซ่อนสิ หลอมเสีย ใช้จ่ายเสีย” เขาเอ่ย กะพริบตา คล้ายคำถามที่นางถามแปลกนัก เงินไม่ใช่เอามาใช้จ่ายหรือ? 

 

 

คุณหนูจวินขานอาคำหนึ่ง คล้ายประหลาดใจยิ่งกับคำตอบของเขาเช่นกัน 

 

 

“ปล้น จริงๆ รึ?” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

เดิมทีนางอยากติดตามขบวนรถขนเงิน พูดไปแล้วน่าอดสูยิ่ง นางถึงขั้นยังต้องปกป้องไม่ให้เงินเหล่านี้เกิดปัญหา แต่จูจั้นกลับเรียกให้นางไปทำเรื่องบางอย่างด้วยกัน 

 

 

‘พวกเราไปปล้นมัน’ เขาเอ่ย ‘ให้เขาลิ้มรสการถูกผู้อื่นตลบหลังเสียบ้าง’ 

 

 

เขาคนนี้ที่ว่าย่อมคือฮ่องเต้ 

 

 

ใช่แล้ว นางไม่มีทางให้เงินเหล่านี้เปิดเผยแก่ผู้คน แต่ก็ไม่ใช่ทำได้แค่ให้ฮ่องเต้เอาเงินเหล่านี้ไป 

 

 

ตรงกันข้ามไม่มีทางให้เขาเอาไปได้เด็ดขาด 

 

 

ไม่มีทางให้เขาตั้งแต่นี้หนุนหมอนไร้กังวล กำเริบเสิบสานข้ามแม่น้ำรื้อสะพานปลดโม่สังหารล่าได้ 

 

 

ดังนั้นนางจึงติดตามจูจั้นตลอดทาง จูจั้นก็เรียกคนของเขามา รอคอยอย่างอดทน จัดการสะกดรอยอย่างระวัง ในที่สุดก็หาโอกาสลงมือ 

 

 

แต่นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังปล้นมาแล้วจะทำอย่างไร ได้แต่คิดว่าจะเก็บซ่อนไว้ 

 

 

“การเก็บซ่อนที่ดีที่สุดก็คือใช้มันเสีย ให้มันหายไป” จูจั้นเอ่ย “นอกจากนี้ เก็บมันไว้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด หรือเจ้าอยากใช้มันข่มขู่เขาหรือ?” 

 

 

ใช้เรื่องเช่นนี้ข่มขู่ฮ่องเต้ ไม่มีประโยชน์อันใดกับนางเช่นกัน คุณหนูจวินยิ้มแล้ว แต่… 

 

 

“ยกประโยชน์ให้ท่านแล้ว” นางเอ่ย มองจูจั้นที่ใบหน้ายิ้มแย้มปิดไม่มิด 

 

 

นี่เป็นถึงเจ้าคนที่ชอบเงินคนหนึ่ง ครั้งแรกที่พบกันก็ปล้นเงินจากแผนการโคมไฟของนางไป คิดถึงเรื่องเก่า บนหน้าคุณหนูจวินพลันผุดรอยยิ้ม 

 

 

“พริบตาปล้นเงินได้มากเช่นนี้ เบิกบานใจล่ะสิ?” นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย 

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วหุบรอยยิ้ม 

 

 

“ที่ข้าเบิกบานใจเพราะใช้ของให้ได้ประโยชน์ที่สุด เงินเหล่านี้ให้คนดีเช่นนี้อย่างข้าใช้เป็นความยุติธรรมของสวรรค์” เขาเอ่ยสีหน้าจริงจัง 

 

 

คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ หันหน้ามองรถที่ยังลุกไหม้อยู่ทีหนึ่ง ใช่แล้ว ให้คนดีได้ดีให้คนชั่วไม่อาจสมใจ ยุติธรรมจริงๆ 

 

 

นางโบกมือ ยกเท้าจะไปข้างหน้า 

 

 

จูจั้นรีบตาม 

 

 

“นั่นน่ะ” เขาพลันกระแอมเสียงเบาทีหนึ่ง บีบนิ้วมือ “เจ้าลืมอะไรนิดหน่อยหรือไม่?” 

 

 

ลืมอะไร? คุณหนูจวินคิดอย่างตั้งใจ งานก็ทำได้น่าจะไม่มีช่องโหว่อันใดหรือทิ้งรองรอยไว้ใหญ่เกินไปกระมัง? เพราะหยวนเป่าคนเหล่านั้นทำงานลับๆ ล่อๆ จึงสะดวกให้พวกเขาลงมือยิ่งนัก 

 

 

“นี่ข้านับว่าช่วยงานเจ้าแล้วกระมัง” จูจั้นเอ่ย “ตลอดมาเจ้าไม่ใช่ช่างเกรงใจนัก ชอบแสดงความขอบคุณรึ” 

 

 

ต้องการเงินรึ? คุณหนูจวินเหล่ตามองเขา เป็นเจ้าพวงเงินคนหนึ่งจริงๆ ช่วงก่อนหน้านี้เพราะรู้ว่าตนคือองค์หญิงจิ่วหลิงกะทันหันจึงยั้งตนเองไว้ไม่น้อย ดูท่าตอนนี้คุ้นชินแล้ว ฟื้นท่าทางก่อนหน้านี้กลับมาอีกแล้ว 

 

 

“ท่านพูดผิดแล้วกระมัง” นางมองเขา “น่าจะเป็นข้าช่วยท่านแล้ว แม้ท่านกำลังคนมาก แต่กับดักเป็นข้าวาง ยาสลบเป็นข้าผสม ที่สำคัญที่สุดคือท้ายที่สุดเงินเป็นท่านเอาไป ท่านสิควรขอบคุณข้า” 

 

 

จูจั้นร้องอ้อ มองนางคล้ายเข้าใจอยู่บ้าง 

 

 

“เช่นนี้เอง ก็ถูก” เขาพยักหน้าอย่างตั้งใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าควรขอบคุณเจ้า” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นท่านจะ…” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย 

 

 

คำยังพูดไม่ทันจบ จูจั้นพลันยื่นมือกอดนางไว้ การเคลื่อนไหวของเขารีบเร่งอยู่บ้างแข็งทื่ออยู่บ้างเงอะงะยิ่งนัก 

 

 

แต่ยังดี ครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีตที่ติ้งโจวแสร้งทำท่าเป็นสามีภรรยาปลอมๆ โอบกอดชนถูกจมูกนาง 

 

 

แต่ ปัญหาไม่ใช่เรื่องนี้ ปัญหาคือนี่เขากำลัง… 

 

 

คุณหนูจวินได้สติกลับมา กำลังจะเอ่ยวาจา จูจั้นก็ปล่อยมืออกแล้ว 

 

 

“ขอบคุณ” เขาเอ่ย ก้มศีรษะถูกปลายเท้าบนพื้น เดินแซงนางไปข้างหน้า 

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าอึ้งงัน มองบุรุษที่เดินสามก้าวเป็นสองก้าว สองก้าวแล้วเป็นสามก้าวอีกด้านหน้า 

 

 

อะไรกัน? 

 

 

…………………