ภาคที่ 4 ตอนที่ 145 เจอผีแล้ว

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ฝนฤดูใบไม้ร่วงรอบหนึ่งลมหนาวรอบหนึ่ง  สายลมสอดแทรกด้วยสายฝนพัดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง อาลักษณ์หลินที่นั่งอยู่ในห้องทำงานอดไม่ได้ตัวสั่นเทา กระชับชุดขุนนางบนร่างนิดหนึ่ง เอียงหูฟังเสียงดังเบาที่ดังๆ หยุดๆ

 

 

นี่เป็นเสียงของเจี่ยงซื่อซานหมอความชื่อดังของเมืองไท่หยวน

 

 

“…พูดเหลวไหลให้มันน้อยๆ หน่อยๆ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินกฎหมายเช่นนี้?”

 

 

“…นายหญิงใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่ศาลต้าหลี่ยกขึ้นมาตอนคดีหวังซานเหนียงที่กานโจว ไม่ได้อยู่บนกฎหมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ยอมรับ…”

 

 

ฟังถึงตรงนี้ อาลักษณ์หลินพลันหาววอดหนึ่ง คุณหนูจวินคนหนึ่งก็จัดการยากแล้ว ยังเชิญหมอความที่จัดการยากคนนี้มาอีก ดูท่านายหญิงผู้เฒ่าฟางครั้งนี้อยากสลัดหลุดโดยไม่เสียเนื้อไม่ง่ายดายเช่นนั้น

 

 

ในความเป็นจริงตอนนี้นายหญิงผู้เฒ่าฟางเสียเงินไปไม่น้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นท่านนายอำเภอจะไม่มีเวลากระทั่งหยอกแมว วันๆ นั่งอยู่ในศาลฟังพวกเขาเถียงกัน ยังไม่ใช่เพื่อเงินรึ

 

 

แต่เงินนี่เขาไม่กล้าต้องการ ตัวก่อเภทภัยนั่นอย่างไรก็อยู่ห่างหน่อยเป็นดี อาลักษณ์หลินยื่นมือยกชาบนโต๊ะ พลันมีคนเลิกม่านเข้ามากะทันหัน

 

 

อาลักษณ์หลินคิดว่าเป็นขุนนางตำแหน่งน้อยในที่ว่าการอำเภอ เงยสายตาขึ้นกลับเป็นสตรีชราแปลกหน้าคนหนึ่ง

 

 

“เฮ้ย เจ้าทำอะไรน่ะ?” เขาขมวดคิ้วเอ่ยถาม

 

 

สตรีชรากระอักกระอ่วน

 

 

“ข้า ข้ามาหาคุณหนูจวิน” นางเอ่ยขึ้น คุกเข่าดังตึกลง “ขอร้องคุณหนูจวินช่วยชีวิตด้วย”

 

 

มาหาคุณหนูจวินรักษาโรค หลายวันนี้พบไม่น้อย อาลักษณ์หลินโบกมืออย่างรำคาญ

 

 

“ไปไป คุณหนูจวินไม่ได้อยู่ที่นี่” เขาเอ่ยพลางร้องเรียกคน

 

 

เจ้าพนักงานหลายคนวิ่งเข้ามาหิ้วสตรีชราเดินไปด้านนอก

 

 

“ทำไมให้คนบุกเข้ามาได้” อาลักษณ์หลินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ารู้ว่าพักนี้คนที่มาดูเรื่องสนุกมาก แต่ที่ว่าการอำเภอก็ไม่ใช่เหลาสุราโรงน้ำชาที่ผู้ใดก็บุกเข้ามาได้นะ”

 

 

เจ้าพนักงานทั้งหลายขานรับ หิ้วสตรีชราเดินออกไป

 

 

“ข้าต้องการพบคุณหนูจวิน” สตรีชรายังคงวิงวอนอย่างกระวนกระวาย

 

 

“คุณหนูจวินไม่อยู่” เจ้าพนักงานคนหนึ่งถูกโวยวายจนเอ่ยอย่างรำคาญ

 

 

คุณหนูจวินไม่อยู่? ในดวงตาสตรีชราประกายแสงจางๆ เส้นหนึ่งแล่นผ่าน

 

 

“คุณหนูจวิน…” นางคว้าแขนเสื้อเจ้าพนักงานไว้รีบร้อนเอ่ย เสียงคำยังไม่ทันจบ ก็เห็นประตูที่ว่าการอำเภอวุ่นว่ายครู่หนึ่ง มีคนก้าวเท้าช้าๆ เข้ามา

 

 

ผ้าคลุมสีเหลืองลูกห่านปิดบังเรือนร่างอ้อนแอ้นไม่อยู่ คุณหนูจวินนั่นเอง

 

 

เจ้าพนักงานทั้งหลายอึ้งไปชั่วครู่ รีบคว้าสตรีชราไม่ให้นางพุ่งเข้าไป

 

 

สตรีชรากลับคล้ายอึ้งงันไม่ตอบสนอง มองคุณหนูจวินเดินเข้าศาลไปเช่นนี้

 

 

“คุณหนูจวินเพิ่งกลับมาไม่พักสักหน่อยก็มาแล้ว” เจ้าพนักงานทั้งหลายได้สติกลับมาคุยกันเสียงเบา

 

 

ได้ยินประโยคนี้ แววตาของสตรีชราพลันทอประกายอีกหน

 

 

“คุณหนูจวินไปที่ไหนมาหรือ? ทำไมข้ามาหานางไม่พบตลอด” นางเอ่ยเสียงสั่น

 

 

เจ้าพนักงานทั้งหลายตวัดตามองนาง แล้วพยักเพยิดคางไปทางศาลอีกหน

 

 

“คุณหนูจวินไปเมืองไท่หยวนเชิญเจี่ยงซื่อซาน” เจ้าพนักงานคนหนึ่งในนั้นเอ่ย

 

 

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง สตรีชราแววตาคล้ายคิดบางสิ่ง

 

 

“คุณหนูจวิน ช่วยครอบครัวข้า…” นางคล้ายเพิ่งได้สติกลับมาจะพุ่งเข้าไปในศาล

 

 

เจ้าพนักงานทั้งหลายขวางนางไว้ โยนออกไปอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป

 

 

สตรีชราผู้นั้นนั่งอยู่หน้าประตูที่ว่าการอำเภอเช็ดน้ำตาครู่หนึ่งกลับไม่ได้อยู่ที่นี่รอคอยตามตื๊อ ลุกขึ้นโขยกเขยกจากไปแล้ว ออกจากสายตาของชาวบ้านทั้งหลายเลี้ยวเข้าซอยน้อยปุบ รูปร่างของนางพลันเหยียดตรง ฝีเท้าก็ไม่เห็นโขยกเขยกเช่นกัน ก้าวเท้าเร็วไวประหนึ่งบินเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง

 

 

“ร่องรอยไม่น่าสงสัยจริงๆ รึ?”

 

 

ฟังรายงาน บุรุษในเรือนพลันสีหน้ายุ่งยาก

 

 

“ตอนนี้อยู่ที่หยางเฉิง นอกจากนี้ที่ๆ ช่วงก่อนหน้านี้ไปก็คือไท่หยวน เชิญหมอความเจี่ยงซื่อซาน”

 

 

เขาเดินไปมา นี่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลฟางแล้ว ถ้าเช่นนั้นที่แท้ใครทำเล่า?

 

 

เขายกเท้าถีบม้านั่งเตี้ยออกไป

 

 

“เจอผีแล้วจริงๆ”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

หยวนเป่าก้มศีรษะเดินอย่างรีบร้อน ท่าทางเทียบกับยามปรากฏตัวในวังครั้งก่อนหน้านี้ลดลงมากนัก เพราะก้มศีรษะจนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมแผ่วเบาด้านนั้นถึงพบว่ามีคน

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นเห็นลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ตรงหน้า ข้างกายองครักษ์เสื้อแพรสี่คนสีหน้าเย็นชาจ้องเขาอยู่

 

 

“ใต้เท้าลู่” เขารีบคำนับอย่างเคารพ คิดถึงอะไรได้จึงค้อมร่างลงอีกหน “ฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักฉินเจิ้งหรือไม่?”

 

 

เสียงของเขาติดจะประจบ

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานอืม เบี่ยงกายหลีกทาง

 

 

หยวนเป่าคำนับอีกหนเดินผ่านพวกเขาไป

 

 

“เจ้าหนูนี่ทำไมแสร้งทำเป็นผู้น้อยเช่นนี้กะทันหันเล่า?” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งมองแผ่นหลังของหยวนเป่าแล้วเอ่ยขึ้น ไม่ใช่แอบเรียกตนเองว่าตนถึงจะเป็นคนโปรดอันดับหนึ่งของฝ่าบาทหรือ?”

 

 

“ใช่แล้ว เจ้าพวกไม่มีอัณฑะกลุ่มนั้นยิ่งเหิมเกริมขึ้นทุกทีแล้ว ถึงขั้นกล้าแตะสายของพวกเรา” องครักษ์เสื้อแพรอีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชา

 

 

“รู้จักคำว่าฝ่าบาทก็พอ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ล้วนทำงานให้ฝ่าบาท”

 

 

ใครยังสูงส่งกว่าใคร ล้วนเหมือนกัน

 

 

หยวนเป่าคุกเข่าดังตึกลงบนพื้น ทั้งตัวค้อมลงไปคล้ายฟุบหมอบ

 

 

“ฝ่าบาท บ่าวสมควรตาย” เขาร่ำไห้เอ่ย

 

 

ฮ่องเต้บนพระที่นั่งด้านหน้าในมือถือฎีกาคล้ายจดจ่อสมาธิทั้งหมด ไม่ได้ยินแล้วก็มองไม่เห็น

 

 

เปลี่ยนเป็นผู้อื่นอาจไม่กล้าเอ่ยวาจาแล้ว แต่อย่างไรหยวนเป่าก็ติดตามตั้งแต่เล็กจนโต

 

 

“หาพบเพียงร่องรอยรถที่ถูกเผา” เขาฟุบอยู่บนพื้นน้ำหูน้ำตาไหลเอ่ย “เงินเหล่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบหาไม่พบ ตระกูลฟางด้านนั้นก็สืบไม่พบสิ่งใด บ่าวสมควรตาย”

 

 

เขาพูดพลางโขกศีรษะตึกตึก บนหน้าผากพริบตาเป็นจ้ำเขียวม่วงแดง

 

 

“พอแล้ว” เสียงของฮ่องเต้ลอยลงมาจากเบื้องบนพร้อมกับเสียงดังปังทีหนึ่ง

 

 

หยวนเป่าไม่กล้าส่งเสียงอีกทันที ฟุบอยู่บนพื้นนิ่งไม่กระดิก

 

 

“หายไปแล้วก็หายไปแล้ว หาไม่พบก็หาไม่พบ ก็ไม่มีอะไรใหญ่โต” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

ไม่มีอะไร? หยวนเป่าเงยศีรษะขึ้นอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง เห็นฮ่องเต้สีพระพักตร์อ่อนโยน ไม่มีความพิโรธสักนิด

 

 

ฮ่องเต้น้อยครั้งนักจะกริ้ว แน่นอนนี่เป็นเพียงภายนอก แต่ตอนนี้หยวนเป่าสัมผัสได้ว่าฮ่องเต้ไม่มีความกริ้วโกรธจริงๆ

 

 

ฝ่าบาทนี่คือคิดถึงไมตรีเก่า ดังนั้นจึงปล่อยเขาหรือ? หยวนเป่าคิดอย่างคลางแคลง เขาจะมองตนเองสูงไปหรือไม่? อย่างไรเงินนั่นก็ไม่ใช่เงินธรรมดา…

 

 

“เงินก็คือเงิน” ฮ่องเต้เอ่ย บนพระพักตร์มีรอยพระสรวลอยู่นิดหน่อย “เงินมีเพียงอยู่ในมือคนที่เจาะจงถึงไม่ธรรมดา”

 

 

หยวนเป่าไม่เข้าใจอยู่บ้าง น้ำมูกน้ำตานองหน้ามองฮ่องเต้

 

 

“โง่เง่าเหมือนกับยัยแก่นั่น” ฮ่องเต้พลันโพล่งออกมาหนึ่งประโยคท่าทางรังเกียจ “ตนเองโง่เขลาชัดๆ ยังด่าผู้อื่นว่าโง่”

 

 

ยัยแก่…

 

 

คนแก่ในวังมีเพียงพระองค์เดียวแล้ว…

 

 

หากผู้อื่นได้ยินคำนี้เกรงว่าคงตกใจไม่น้อย ทว่าหยวนเป่าเพียงสีหน้าลนลานนิดหนึ่งเท่านั้น

 

 

“ฝ่าบาท โปรดระวังวาจาด้วย” เขากล่อมห้ามอย่างวิตกอยู่บ้าง

 

 

ฮ่องเต้เคาะฎีกาบนโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

“ระวังอะไร ข้าระวังมาครึ่งชีวิตแล้ว ระวังจนไล่ตัวปัญหาสองคนได้แล้ว ก็เหลือแต่คนนี้ นานปีเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว” พระองค์ตรัส

 

 

กลัวก็ไม่ใช่กลัว แต่ไม่ว่าพูดอย่างไรก็เป็นเสด็จแม่ของตนเอง หยวนเป่ากระอักกระอ่วน

 

 

“เงินนี่แน่นอนสำคัญ” ฮ่องเต้ตรัสต่อ ท่าทางเสียดสีอยู่บ้าง “ทว่าพวกเจ้าล้วนไม่ได้คิดเข้าใจเรื่องหนึ่ง”

 

 

เรื่องอันใด?

 

 

หยวนเป่ามองฮ่องเต้อย่างไม่เข้าใจ

 

 

“เงินนี้ขอเพียงออกจากตระกูลฟางแล้ว ไม่ว่าโผล่ออกมาที่ใดล้วนอธิบายได้” ฮ่องเต้เอ่ย “อาจเป็นขโมย อาจเป็นปล้น ถึงขนาดอาจไหลมาจากในมือชาวจิน นี่เกี่ยวอันใดกับข้าอีกเล่า?”

 

 

มีเพียงอยู่ที่ตระกูลฟาง เต๋อเซิ่งชาง ร้านแลกเงิน ก่อตั้งตระกูลที่ซานตง ภูมิหลังที่เกี่ยวพันสายนี้ถึงนำปัญหามาได้

 

 

หยวนเป่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ พูดเช่นนี้เหมือนไม่ได้น่ากลัวปานนั้นแล้วจริงๆ

 

 

“มีสิ่งใดน่ากลัว” ฮ่องเต้ไล้ผิวโต๊ะ “พวกเจ้าลืมสิ้นแล้วใช่หรือไม่ ข้าคือฮ่องเต้ กลัวไม่กลัวนี่ ข้าเป็นผู้ตัดสิน ข้าบอกกลัว ก็คือให้พวกเจ้ารู้สึกว่าข้ากลัวแล้ว ข้าบอกว่าไม่กลัว…”

 

 

พระองค์สรวลเล็กน้อย ฉวยฎีกาด้านหน้าติดมือขึ้นมาโยนทีหนึ่ง

 

 

“ข้าย่อมจะให้พวกเจ้ารู้ว่า ข้าไม่กลัว”

 

 

…………………………